วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

ท้าวกุเวรมหาราช (ไฉ่ชิ๋งเอี้ย)



ภาพถ่าย ท้าวกุเวร จากหน้าผาของประเทศจีน

ตามตำนาน องค์ท้าวกุเวร
บางตำนานก็เรียก...พระเศรษฐี
เรียก....ไฉ่ฉิงเอี๊ย เรียก....ท้าวเวสสุวรรณ


ในความเป็นมนุษย์ ย่อมมีศรัทธาเป็นที่ตั้ง
มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ความเชื่อในศาสตร์ ความเชื่อในศิลปวัฒนธรรม
มีตำนาน มากมายอ้างอิงถึงประวัติของแต่ละความเชื่อ
ให้ยึดมั่นถือมั่นในความดี มีศีลธรรม
คิดดีประพฤติดี มีสัจจะ ทั้งทางกาย วาจา ใจ

องค์ท้าวกุเวร (ชัมภล) หรือ เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย
พระหัตถ์ด้านขวาถือลูกแก้ววิเศษ
พระหัตถ์ด้านซ้ายถือพังพอน
ที่กำลังคาย เพชร,นิล,จินดา,แก้วแหวนเงินทอง
พระบาทซ้ายเหยียบหอยโข่ง นั่งท่ามหาราชเทวา
ความเชื่อในพระปางนี้มีมาตั้งแต่อินเดีย
ผ่านไทยไปถึงเมืองจีน
ที่เมืองจีนเรียกไฉ่ฉิงเอี้ย
สลักที่หน้าผาหิน

ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
หากเอ่ยถึงเทพเจ้าต่างๆ ที่ชาวจีนกราบไหว้บูชาแล้ว จะเห็นได้ว่ามีอยู่ด้วยกันนับสิบสิบองค์ และองค์หนึ่งที่ชาวจีนมัก
บูชาเพื่อความโชคดี ความมั่งคั่ง ความร่ำรวยมีโชคมีลาภก็คือ ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์แรก
ที่ชาวจีนทุกครอบครัวกราบไหว้บูชากันในวันแรกของปีใหม่ ตามคติของชาวจีนคือวันชิวอิก ตรุษจีนของปี เพื่อขอให้ท่านประ
ทานความมั่งมีศรีสุข โชคลาภ ความร่ำรวย ชาวจีนให้ความเคารพนับถือและกราบไว้บูชากันมาหลายพันปีแล้ว

ประวัติความเป็นมาของไฉ่ซิงเอี้ย นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายตำนาน เท่าที่ศึกษาดูและพอจะมีหลักฐาน เค้าความจริงอยู่ด้วย
กันหลายเรื่อง มีอยู่ด้วยกัน 2 ภาค คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ (บูไฉ่ซิงเอี้ย) และเทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น (บุ่งไฉ่ซิงเอี้ย)
ตามตำนานกล่าวกันว่า เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ก็คือ เจ้ากงหมิง ซึ่งบำเพ็ญพรตอยู่บนเขาง้อไบ๊ สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนที่มี
อิทธิฤทธิ์สูงมาก หน้าตาดุร้าย มีหนวดเครารุงรัง มีสมุนร้ายกาจมาก คือ เสือดำ บางตำราว่าเป็นเสือโคร่ง และยังมีของวิเศษ
อีกหลายอย่าง เช่นแส้เหล็ก ไข่มุกวิเศษ เชือกล่ามมังกร แม้แต่ เจียงไท่กง ซึ่งเป็นเทพผู้ใหญ่ซึ่งมีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้าองค์ต่างๆ
ยังสู้เจ้ากงหมิงไม่ได้และตอนหลังยังได้ของวิเศษอีก 4 อย่าง คือเจียป้อ หนับเตียง เจียใช้ หลี่ฉี ซึ่งเป็นของวิเศษที่สามารถเรียก
เงินทองให้ไหลมาเทมา ช่วยให้การค้าราบรื่นได้กำไรงาม ประชาชนจึงพากันกราบไหว้ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองความ
มั่งคั่ง เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น ตามตำนานกล่าวกันว่า คือ ปี่กาน อัครมหาเสนาบดีของจักรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์
สุดท้ายแห่งราชวงศ์อินหน้าตาสะอาดหมดจด รับใช้ราชสำนักด้วยความจงรักภักดี แต่ถูกนางสนมเอกของจักรพรรดิอินโจ้ว
กลั่นแกล้ง โดยจะขอหัวใจของปี่กานมาเป็นยา ซึ่งปี่กานก็รู้ว่าถูกกลั่นแกล้ง แต่ก่อนที่จะควักหัวใจให้ไปปี่กาน ได้รับยาวิเศษจาก
เจียงไท่กงผู้ใดกินแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจและกินเข้าไปก่อนแล้วก่อนควักหัวใจ จึงทำให้มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีหัวใจ พอควัก
หัวใจให้ไปแล้วก็เดินออกจากวังไป ตอนหลังเร่ร่อนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เที่ยวโปรยเงินโปรยทองกลายเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์
สินเงินทอง และโปรยเงินทองให้ประชาชนอย่างทั่วถึง

ลักษณะที่สำคัญอันเป็นเอกลักษณ์
เนื่องจากไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพแห่งความโชคดี ความมั่งคั่งและความร่ำรวยและเป็นที่นิยมนับถือกันในหมู่ชาวจีนโดยเฉพาะ
ชาวจีนที่ประกอบการค้า ดังนั้นจึงปรากฏว่ามีการสร้างรูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยขึ้นมา
เพื่อสักการะบูชากัน ซึ่งมีตั้งแต่เป็นภาพ
วาด, รูปปั้นเซรามิค (กระเบื้อง) และรูปหล่อโลหะ (มีน้อยไม่ค่อยพบเห็นเพราะจัดสร้างยาก ต้นทุนสูง)
ลักษณะที่ปรากฏในรูป
เคารพดังกล่าว จึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊

รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ จะเป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยที่อยู่ในวัยกลางคนสวมใส่ชุดนักรบจีนโบราณ
อันประกอบ
ไปด้วยชุดเกราะ, หมวกขุนพลจีนโบราณ มือขวาจะถือกระบอง มือซ้ายถือเงินหยวน (หยวนเปา) ใบหน้าดุดันค่อนข้างไปใน
ทางเหี้ยมโหด และมีพาหนะเป็นเสือโคร่งลาดพาดกลอนตัวใหญ่

2. รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น

รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ เป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราณ สวมหมวกขุนนาง
มีปีกออกไปสองข้าง (ลักษณะเดียวกับหมวกของเทพลก) ชุดขุนนางจีนชั้นผู้ใหญ่ก็จะครบเครื่องครบครันทั้งเสื้อนอกเสื้อใน
มือซ้ายจะถือเงินหยวน (หยวนเปา) หรือบางที่ไม่ได้ถืออะไรดังกล่าวเลย แต่มือทั้งสองจะถือแผ่นผ้าจารึกอักษร (ปัก) ที่คลี่ออก
มาเป็นคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชาท่าน

อานุภาพของไฉ่ซิงเอี้ย

ไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความร่ำรวยของชาวจีนย่อมจะต้องมีอานุภาพในด้านอำนวยความมี
โชคลาภ ความมั่งคั่ง และความร่ำรวยให้แก่ผู้บูชา ซึ่งหากบูชาได้ถูกวิธีก็จะดียิ่งขึ้น
สำหรับอานุภาพของไฉ่ซิงเอี๊ยนั้นขอจำแนก
ออกเป็นภาคเพื่อจะได้เข้าใจได้ชัดเจนดียิ่งขึ้น

1. ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊นี้ชาวจีนที่นับถือเชื่อกันว่าจะมีอานุภาพ
ให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สินกล่าว
คือ จะช่วยดลบันดาลให้ผู้บูชาที่เป็นเจ้าหนี้สามารถทวงหนี้
จากลูกหนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ลูกหนี้ไม่คิดที่จะเบี้ยวหรือหนีให้เจ้าหนี้
ต้องลำบากลำบน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอานุภาพ
ในการช่วยดูแลควบคุม
บริวารลูกจ้างทั้งหลายให้อยู่ในกรอบในระเบียบให้
ขยันทำการทำงาน โดยเฉพาะตามโรงงานใหญ่หรือบริษัทใหญ่ๆ ตลอดจนกิจการงานที่มีลูกน้องมากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ย
ในภาคบู๊นี้ด้วย มีความเชื่อว่าท่านจะช่วยกำกับดูแล ลูกน้องให้ดีเป็นหูเป็นตาให้แก่ผู้บูชาหรือเจ้าของกิจการ
ทั้งนี้และทั้งนั้นยัง
รวมไปถึงบรรดาข้าราชการทหาร ตำรวจที่อยู่ในระดับหัวหน้า (ชั้นสูงๆ) ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชามากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ยใน
ภาคบู๊ด้วยกันทั้งสิ้น (ของจีน) นอกจากนี้ยังมีอานุภาพ
ในการคุ้มครองบุตร ภรรยา (ของผู้บูชา)
ทั้งที่อยู่ในบ้านและต่างถิ่นแดน
ไกลให้ทำตนเป็นคนดี มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน

2. ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น ชาวจีนเชื่อว่า

ไฉ่ซิงเอี้ยในภาคบุ๋นนี้จะอำนวยพรให้ผู้บูชา
มีความมั่งคั่ง และมีความร่ำรวย และ
มีโชคลาภเป็นประจำ โชคลาภที่ได้เป็นรายได้พิเศษ ที่นอกเหนือไปจากรายได้ประจำไฉ่ซิงเอี้ย
ในภาคนี้จะมีอานุภาพในด้าน
เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ และโชคลาภที่ถือเป็นรายได้รายรับที่จะทำให้ผู้บูชา
ที่มีความมั่งคั่งและมีความร่ำรวยเปรียบดังนักการฑูต
ที่ดีมีความสามารถในการเจรจาโน้มน้าวให้ต่างชาติ
ต่างภาษามีความเชื่อถือในประเทศของตน และเช่นเดียวกัน
ทำให้ลูกค้า
เชื่อถือในคุณภาพสินค้า และบริการและกลายเป็นลูกค้าประจำ
ดังนั้นผู้ที่จะบูชาไฉ่ซิงเอี้ยก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องบูชาไฉ่ซิงเอี้ย
ให้ครบชุด กล่าวคือ จะต้องมีรูปไฉ่ซิงเอี้ยทั้งในภาคบู๊
และภาคบุ๋นคู่กัน เพื่อท่านจะได้อำนวยความเป็นสิริมงคล
ให้ครบทุกๆ ด้าน ดังกล่าวมาแล้ว

รูปแบบการจัดสร้าง เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ซิงเอี้ย"

รูปหล่อบูชาไฉ่ซิงเอี๋ยในชุดนักรบยืนเหยียบเสือขนาดสูง 16 นิ้ว
มือซ้ายถือเงินทองและไข่มุกวิเศษ
มือขวาถือดาบคล้าย
กระบอง สวมใส่เสื้อมังกร เหน็บแส้ไว้ข้างลำตัว
จัดเป็นปางที่สวยสมบูรณ์แบบที่สุดของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยปางบู๊
ก็ว่าได้ซึ่งรูป
แบบจะเห็นได้ถึงความลงตัวของงานศิลปะจีน
ที่สวยงามอลังการยิ่งนัก
ปั้นแบบโดยประติมากรชื่อดังซึ่งปั้นงานศิลปะจีนได้
สวยงามที่สุดแห่งยุค (ขอสงวนนาม)
องค์เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดนักรบเหยียบเสือ สวมใส่เสื้อมังกรชุดนักรบมือซ้ายถือก้อน
เงินก้อนทองจีนมีไข่มุกวิเศษมุกไฟ
ล่อมังกรเป็นการเรียกทรัพย์โชคลาภ
ข้างลำตัวเหน็บแส้เหล็กไว้ พระพักตร์เต็มไปด้วยเมตตา
ปกติบู๊ไฉ่ซิงหน้าตาจะดุมาก
ลักษณะต่างๆ ถูกต้องตามโหงวเฮ้งยิ่งนัก
จมูกเจ้าทรัพย์เป็นมหาเศรษฐี เป็นเคล็ดว่าผู้บูชาจะได้
ร่ำรวยเป็นสิริมงคล มีอำนาจบารมีประกอบกับปางบู๊เหยียบเสือนี้
มีความหมายยิ่งนัก เพราะเสือเป็นราชาแห่งสัตว์ป่าทั้งมวล
บ่งบอกถึงอำนาจ ราชศักดิ์ความสง่าผึ่งผาย ความกล้าหาญ
ความทรงพลังทางอำนาจ ตลอดจนการค้าอีกด้วยและในภาวะ
เศรษฐกิจโลก ปัจจุบันเปิดกว้างถึงกันหมด
การค้าขายก็ไม่ผิดอะไรกับสงครามการค้าดีๆ นี่เอง
จึงควรบูชาบู๊ไฉ่ซิงเอี้ย เพื่อขอ
พระให้ท่านช่วยให้ทำการค้าประสบผลสำเร็จ
และปางเหยียบเสือนี้สอดคล้องกับปีนักษัตรจอ
ที่จะมาถึงในปี พ.ศ.2549 ยิ่งนัก
เพราะเสือกับจอเป็นคู่มิตร (ซาฮะ)
จะหนุนเสริมเติมพลังให้กันและกัน ผู้บูชาจะทำให้ธุรกิจการค้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
และเจริญก้าวหน้า เสื้อที่องค์ไฉ่ซิงเอี้ยสวมใส่นอกจากชุดนักรบยังมีเสื้อมังกรอยู่ทั้งด้านหน้า
และด้านหลัง มังกรนั้นเป็นสัตว์
ในเทพนิยายจีนที่มีรูปลักษณะเด่นสะดุดตาหลายสิ่งหลายอย่าง
รวมกันถึง 9 ประการกล่าวคือ
หัวคล้ายอูฐมีเขาสวมอยู่คล้าย
เขากวางมีตาเหมือนกระต่าย
มีหูเหมือนหูวัว คอเหมือนงู
ลำตัวยาวเหมือนจระเข้ มีเกล็ดยาวตลอด
ลำตัวคล้ายเกล็ดปลา ขากรง
เล็บเหมือนนกเหยี่ยว ฝ่าเท้าเหมือนเท้าเสื้อเลื้อยแล่นวิ่งชอนไช
อยู่บนก้อนเมฆบนท้องฟ้า บางครั้งก็พบกำลังเลื้อยแล่นโต้คลื่น
อยู่ในทะเล ใกล้หัวมังกร มีลูกกลมเป็นไข่มุกไฟลอยหมุนอยู่
มังกรถือเป็นสัตว์เทพเจ้ามีความเป็นอมตะ
จะตายก็ต่อเมื่อสมัคร
ใจเองและไม่มีกำหนด มังกรจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชาวจีน
ซึ่งล้วนแต่เป็นสิริมงคลเป็นพื้นฐาน
ของความเมตตา กรุณา พลัง
อำนาจวาสนาความแคล้วคลาดปลอดภัย
เป็นผู้พิทักษ์อำนาจของเทวดาที่คอยเฝ้าดูอยู่เหนือจักรวาล
และมวลมนุษย์แม้แต่ฉลอง
พระองค์จักรพรรดิจีน ยังต้องมี "มังกร 9 ตัว" เป็นหัวใจ

รูปแบบที่มือขวาถือดาบคล้ายกระบอง
เป็นการช่วยในเรื่องของการค้า การเจรจา
อำนาจให้ดูมีบารมีน่าเกรงขาม แส้เหล็ก
ที่เหน็บข้างลำตัวไว้ปราบเสือ
เหมือนดั่งเอาไว้ควบคุมบริวารให้อยู่ในโอวาทไม่คดโกง
มือซ้ายถือก้อนเงินก้อนทองไข่มุกวิเศษ
ล้วนมีความหมายเป็นสิริมงคล
ให้ผู้บูชามีทรัพย์สินเงินทอง ร่ำรวย มีอำนาจ วาสนา
ยศฐาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียง

____________________________________________________________________


ท้าวกุเวรมหาราช (พระธนบดีศรีธรรมราช)
ผู้ประทานโชคลาภและความมั่งคั่ง แห่งอาณาจักรทะเลใต้

จำลองจากต้นแบบองค์ที่สวยที่สุดในโลก
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์กีเม่ต์ ประเทศฝรั่งเศส

พระธนบดี ศิลปะศรีวิชัย เนื้อสำริดสนิมเขียว อายุประมาณ 1,200 ปี
ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ กีเม่ต์ ประเทศฝรั่งเศส
องค์นี้มีความงดงามสุดยอด เป็นศิลปะศรีวิชัยบริสุทธิ์ นำมาเป็นต้นแบบจัดสร้างในครั้งนี้

พระธนบดีศรีธรรมราช (เจ้าแห่งโชคลาภ)
จัดสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก โดยจำลองแบบมาจากรูปหล่อท้าว
กุเวรเจ้าแห่งขุมทรัพย์ที่สร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย
โดยมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น พระธนบดี พระกุเวร พระรัตนครรภ์
เจ้าพ่อขุมทรัพย์ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
โบราณถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง
ที่มีหน้าที่ประทานความมั่งคั่ง ความมีโชคดีให้
กับผู้บูชา ฯลฯ

ท้าวกุเวร เป็นเทพผู้รักษาทิศเหนือ ตามลัทธิศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ
ประวัติของท้าวกุเวรกล่าวไว้ว่า
พระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นเวลาหลายพันปี จนพระพรหมทรงเห็นใจโปรดให้เป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง
จากมหากาพย์ รามายณะกล่าวว่า เทพกุมาร ได้รับยานที่ขับเคลื่อนไปในอากาศได้ตามประสงค์ของเจ้าของคือ
บุษบก บางตำรากล่าวว่าท้าว
กุเวรมีม้าสีขาวเป็นพาหนะ มีมเหสีนาม จารวี หรือ
ฤทธี มีโอรส 2 องค์ ชื่อ มณีครีพ หรือ วรรณกวี
กับ นุลกุพล หรือ มยุราช
มีธิดา 1 องค์ชื่อ มีนากษี ในรามเกียรติ์กล่าวว่า ท้าวกุเวรทรงเป็นบิดาคันธมาทน์ นายทหารของพระราม
และมีสวนชื่อเจตรถ
อยู่บนยอดเขามันทร ท้าวกุเวรยังมีชื่อเรียกตามเรื่องราวและคุณสมบัติอีกหลายชื่อ
เช่น กุตนุ (มีรูปร่างน่าเกลียด) รัตนครรภ
(มีเพชรเต็มพุง) ราชราช (เจ้าแห่งราชา)
นรราช ธนบดี (เป็นใหญ่ในทรัพย์)
ยักษราช (เจ้าแห่งยักษ์)
รากชเสนทร์ (เป็นใหญ่ในพวกรากษส) ฯลฯ
ตามเรื่องรามเกียรติ์ เรียกชื่อท้าวกุเวรว่าท้าวกุเปรัน
แต่ชื่อที่คนไทยคุ้นเคย คือ ท้าวเวสสุวัณ
(สันสกฤต-ไวศรวณบาลี-เวสสวณ) ในคัมภีร์ไตรเพท
กล่าวว่า ทรงเป็นอธิบดี ของพวกอสูร รากษสและภูติผี
ในกลุ่มพวกนับถือศาสนา
พุทธลัทธิมหายานในประเทศจีนกล่าวว่า
โลกบาลทิศอุดร มีชื่อว่า "โตบุ๋น" แปลว่า " ได้ยินทั่วไป " มีพวกยักษ์เป็นบริวาร
มีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู
ส่วนพวกธิเบตกล่าวว่าถือธงและพังพอน สีกายเป็นสีทองคำ ในประเทศญี่ปุ่นถือว่า โลกบาลทิศ
นี้เป็นเทพเจ้าประจำโชคลาภมีนามว่า
" พิสะมอน " ตรงกับนามว่า " ธนบดี " หรือ ธเนศวร อันเป็นนามหนึ่งของท้าว
กุเวร แปลว่า เป็นเจ้าใหญ่แห่งพชทรัพย์ ส่วนหนึ่งของที่ถือนั้น มีแก้วมณีกับทวนหรือธง

ศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ลัทธิวัชรยานในคัมภีร์สาธนมาา
กล่าวถึงท้าวกุเวรว่ามีหน้าที่เป็นทั้งธรรมบาล
คือ ผู้มีตำแหน่งเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ มีหน้าที่ทำสงครามปราบปรามปีศาจและยักษ์มารต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูต่อพระพุทธ
ศาสนา ทรงเป็นโลกบาล (มีชื่อว่า เวสสุวัณหรือไวศรวีณ) คือ เทพผู้มีหน้าที่ปกป้องทิศทั้ง 4 (เฉพาะทิศเหนือ) อยู่บนเขา
พระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
และคอยเฝ้าคอยดูแลทางเข้าสวรรค์ (ดินแดนสุขาวดี) *

*** พระธนบดีที่เก่าที่สุด เท่าที่พบในประเทศไทย มีการสร้างมาตั้งแต่ครั้งยุคสมัยศรีวิชัย
เมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน แสดงให้
เห็นถึงความสำคัญได้อย่างดี พระธนบดียังถือว่าเป็นนิรมาณกายอีกปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์ และยังเป็นส่วนหนึ่งของพระ
มหากษัตริย์ตามคำภีร์พระมนู
ซึ่งจะหมายถึงปางหนึ่งของจตุคารามเทพก็ได้ ที่จะประทานความอุดมสมบูรณ์และความมั่ง
คั่งให้กับโลกมนุษย์การสร้างพระธนบดีครั้งนี้จึงสร้างขึ้นจากศาสตร์ความรู้ที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
ตามคัมภีร์เก่าแก่กล่าวไว้ว่า
ท่านเป็นผู้ประทานความมั่งคั่ง แผ่นดินใดที่อุดมสมบูรณ์พระมหากษัตริย์ปกครอง
แผ่นดินโดยธรรม ทรงเปี่ยมไปด้วยพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่า
พระราชาทั้งปวงหรือที่เรียกว่า "จักรพรรดิ" ท้าวกุเวร
หรือชัมภลนี้จะเป็นผู้ประทาน "สัตตัตนมณี" แก้วเจ็ดประการหรือสมบัติแห่งจักรพรรดิอันมี
ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว
ขุนคลังแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว จักรแก้ว

การประทานสมบัติเจ็ดประการของมหาจักรพรรดิ เพื่อความรุ่งเรืองแห่งแผ่นดิน มีดังนี้

ประการที่ 1 จักรรัตนะ คือ จักรแก้ว หมายถึง การมีอำนาจหรือเดชานุภาพแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ

ประการที่ 2 หัตติรัตนะ คือ ช้างแก้ว หมายถึง การแสดงออกซึ่งความมีบารมีที่ยิ่งใหม่ความมั่นคง

ประการที่ 3 อัสสรัตนะ คือ ม้าแก้ว หมายถึง การมีบริวารข้าทาสรับใช้ที่ดี

ประการที่ 4 มณีรัตนะ คือ มณีแก้ว หมายถึง ความสว่าง ความมีสติปัญญา ความรู้

ประการที่ 5 อิตถีรัตนะ คือ นางแก้ว หมายถึง ได้คู่ครองที่ดีมีความงดงาม

ประการที่ 6 คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้ว หมายถึง ความมีทรัพย์สิน เงินทองบริบูรณ์

ประการที่ 7 ปริณายกรัตนะ คือ ขุนพลแก้ว หมายถึง ที่ปรึกษาคู่ใจ ผู้ให้ความรู้ ผู้ปกป้องคุ้มครอง บุตรที่ดี

ดังนั้น อานุภาพแห่งพระธนบดีนี้
สามารถอธิษฐานขอพรได้ 7 ประการดัวยกันตามคุณลักษณะ
ของสมบัติจักรพรรดิ 7 ประการ
ซึ่งประทานให้โดยมหาราชผู้เป็นท้าวจตุโลกบาล
ซึ่งคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ตลอดกาล อาณาจักรศรีวิชัย
เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มีพระราชาธิราชที่มี
พระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชองค์อื่นปกครอง
ทั่วน่านน้ำอาณาจักรทะเลใต้ มีพระมหากษัตริย์ที่ประกาศตนยิ่งใหญ่
ประดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์ มีจารึกกรุงศรีวิชัยประกาศความยิ่งใหญ่
ปรากฏชัดเจน
ในคัมภีร์รามายณะและมหาภารตะได้บันทึกไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณมีอีกนามหนึ่งคือ ท้าวกุเวร
(ท้าวจตุโลกบาล หรือท้าวมหากาพย์ หมายถึง
เทพ ผู้มีภารกิจคุ้มครองปกป้องโลกทั้งสาม) ซึ่งเป็นเทพแห่งยักษ์เป็นอสูรเทพ ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเจ้าแห่งอสูรเทพทั้งมวลนั่นเอง พระปุลัสตย์นั้นเป็นพระบิดาของท้าวเวสสุวรรณ
และท้าวเวสสุวรรณได้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า พระวิศรวัส


ท้าวเวสสุวรรณแม้จะเป็นเทพอสูรแต่เป็นอสูร
ที่มีชาวบ้านชาวเมืองเคารพนับถือเป็นอันมาก
ดังจะเห็นว่าแม้ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีพระรูปของท้าวเวสสุวรรณติดไว้ตามบ้านต่างๆ
เพื่อให้พระองค์ได้คุ้มครองดูแลปกป้องบ้านเรือนของครอบครัวนั้น

ส่วนใหญ่พระรูปของท้าวเวสสุวรรณจะถูกชาวบ้านชาวเมือง
นำมาติดไว้ที่ประตูหรือหน้ารั้วเพื่อให้พระองค์ได้ปกป้องคุ้มครอง
เพราะอีกนัยหนึ่งนั้นมีความเชื่อในหมู่ชาวอินเดียโบราณว่า
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินด้วย

พระนามในบางคัมภีร์ของท้าวเวสสุวรรณ
อาทิ ยักษราช มยุราช รากษสเสนทร์ และธนวดี
ซึ่งหมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์สินนั่นเอง

การที่คนในพุทธศาสนาได้ทำบุญแล้วอธิษฐานอุทิศส่วนกุศล
ให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น จริงๆ แล้วในความเชื่อของพราหม์ถือว่า
หมายถึงท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวจตุโลกบาลนั่นเอง

ท้าวเวสสุวรรณในบางคัมภีร์
เป็นอสูรเทพ เป็นยักษ์ 3 ขา มีฟัน 8 ซี
แต่พระวรกายขาวกระจ่าง สวมอาภรณ์งดงาม
มีมงกุฎทรงอยู่บนพระเศียร แต่มีรูปกายพิการ
และมีพาหนะคือม้าสีขาวนวลราวกับปุยเมฆ
******************************

ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร

ธิเบตเรียก นัม.โถ.เซ.

จีนเรียก ใช้ป๋อเทียนอ๊วงหรือพีซามึ้งเทียนอ๊วงหรือแป๊ะไช้ซิ้ง

ท่านมีสองสถานะคือสถานะเทพผู้ประทานทรัพย์องค์ขาว
และสถานะหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล
ตำนานได้กล่าวไว้ว่า เมื่อก่อนพระศากยะมุนีพุทธเจ้าจะปรินิพพาน
ได้สั่งความแก่ท้าวจตุโลบาลไว้ว่าในอนาคตต่อไป
พุทธศาสนาจะประสพกับอุปสรรคมากมายพวกนอกศาสนา พวกไม่หวังดีต่อพุทธศาสนาจะทำร้ายพุทธศาสนา
ขอให้ท้าวจตุโลกบาลช่วยกันปกป้องรักษาพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษา
พุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติธรรมเสมอมา

คาถาประจำองค์ โอม.ไว.ซา.วา.นา.เย.โซ.ฮา

นำข้อมูลมาจาก(สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ครับ)
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=prachaya555&month=10-2005&date=07&group=17&gblog=2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น