วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

เวทมนต์ คาถา ความสำคัญอยู่ที่ “ดวงจิต” สำรวมเป็นสมาธิ

หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ

เวทมนต์ คาถา การใช้เวทย์มนต์คาถา จะสำเร็จขึ้นได้นั้น ก็อยู่ที่ “ดวงจิต”สำรวมเป็นสมาธิ ส่วนใหญ่เข้าใจว่า"เวทมนต์" เมื่อรู้คาถาและท่อง"เวทย์มนต์ คาถา" ได้ก็ใช้ได้ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดหลักการใช้ เวทมนต์
เกี่ยวกับเรื่องใช้มนต์คาถานั้น พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าคณะพราหมณ์หลวง สำนักงานราชวัง และหัวหน้าคณะพราหมณ์ โบสถ์เทวสถาน บอกว่า เวทมนต์คาถาเป็นตัวสื่อทำให้เกิดสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิจิตก็ไม่ฟุ่งซ่าน การรู้คาถา และท่องคาถา ได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสมาธิและศีลธรรมกำกับ คาถา นั้นๆ จึงสัมฤทธิ์มรรคผล แต่คนในปัจจุบันคิดว่า การรู้คาถา และท่องคาถา ได้เท่านั้น ก็สามารถผูกใจเพศตรงข้ามได้ โดยเฉพาะคาถา ที่เกี่ยวกับความรัก ความเมตตา คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า สามารถทำให้เพศตรงข้ามมาสนใจได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว คาถา ไม่สามารถบังคับจิตใจเพศตรงข้ามได้ กลับเป็นการบังคับฝ่ายผู้ที่ใช้คาถา ให้เป็นไปตามคาถา บทนั้นๆ ที่สำคัญ คือ หากนำไปใช้ในด้านกามารมณ์ และผิดศีลธรรม นอกจากไม่เป็นมรรคผลแล้ว ยังเป็นการสร้างบาปให้เกิดกับผู้ใช้คาถา ด้วย
ด้าน อ.โสภณ พัฒน์ชัยชนะ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอักขระเลขยันต์ บอกว่า ในคำปรารภของ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ผู้ชำนาญทางไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถาและโหราศาสตร์ คนสำคัญของไทย ได้เขียนไว้ในทุกๆ ครั้งที่พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาต่างๆ คือ ในการใช้เวทมนต์คาถานั้น ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็อยู่ที่ “ดวงจิต” สำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดเป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนาญาณ ถึงหากว่า ปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูง ไม่เกินขั้นฌานสมาบัติก็ตาม ถึงกระนั้นก็สามารถที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ ตามภูมิของตน ดังเช่น พระเทวทัต หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอยังสามารถบิดเบือนแปลงกาย กระทำอวดให้อชาตศัตรูกุมาร หลงใหลเลื่อมใสได้
"คาถา ใด ๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเราจะต้องท่องเวทมนต์ให้จำได้ ก็จะต้องทำใจให้บริสุทธิ์ อาบน้ำชำระล้างสิ่งโสโครกให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ แล้วก็ระลึกเป็นการขอพรบารมี ให้ท่องเวทมนต์ได้ง่ายจำได้แม่น เมื่อจะท่องหรือจะใช้พระคาถา ใดๆ ทุกๆ พระคาถา จะต้องตั้งนะโม ๓ จบก่อน การใช้เวทมนต์คาถานั้น ผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ ที่ใช้คาถาบริกรรมนั้น ผู้บริกรรม จะรู้ถึงเนื้อความของคาถาที่บริกรรมนั้น หรือไม่ก็ตาม นั่นมิใช่สิ่ง ที่เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะความมุ่งหมายต้องการแต่จะให้สมาธิเท่านั้น" ลองสังเกตว่า คำพูดของคนไทยเรา แต่ละจังหวัดเหมือนกันหรือเปล่า ภาคเหนือ กลาง ใต้ อีสาน สำเนียงภาษาก็ต่างกัน บทสวดมนต์ เวทมนต์ต่างๆ สำเนียงภาษาก็ต่างกัน บางอย่างผิดเพี้ยนต่างกันไปเลย แต่ทำไมยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์และเห็นผล แต่ความสำคัญอยู่ที่ “ดวงจิต” สำรวมเป็นสมาธิ

ท้าวกุเวรมหาราช (ไฉ่ชิ๋งเอี้ย)



ภาพถ่าย ท้าวกุเวร จากหน้าผาของประเทศจีน

ตามตำนาน องค์ท้าวกุเวร
บางตำนานก็เรียก...พระเศรษฐี
เรียก....ไฉ่ฉิงเอี๊ย เรียก....ท้าวเวสสุวรรณ


ในความเป็นมนุษย์ ย่อมมีศรัทธาเป็นที่ตั้ง
มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ความเชื่อในศาสตร์ ความเชื่อในศิลปวัฒนธรรม
มีตำนาน มากมายอ้างอิงถึงประวัติของแต่ละความเชื่อ
ให้ยึดมั่นถือมั่นในความดี มีศีลธรรม
คิดดีประพฤติดี มีสัจจะ ทั้งทางกาย วาจา ใจ

องค์ท้าวกุเวร (ชัมภล) หรือ เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย
พระหัตถ์ด้านขวาถือลูกแก้ววิเศษ
พระหัตถ์ด้านซ้ายถือพังพอน
ที่กำลังคาย เพชร,นิล,จินดา,แก้วแหวนเงินทอง
พระบาทซ้ายเหยียบหอยโข่ง นั่งท่ามหาราชเทวา
ความเชื่อในพระปางนี้มีมาตั้งแต่อินเดีย
ผ่านไทยไปถึงเมืองจีน
ที่เมืองจีนเรียกไฉ่ฉิงเอี้ย
สลักที่หน้าผาหิน

ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
หากเอ่ยถึงเทพเจ้าต่างๆ ที่ชาวจีนกราบไหว้บูชาแล้ว จะเห็นได้ว่ามีอยู่ด้วยกันนับสิบสิบองค์ และองค์หนึ่งที่ชาวจีนมัก
บูชาเพื่อความโชคดี ความมั่งคั่ง ความร่ำรวยมีโชคมีลาภก็คือ ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์แรก
ที่ชาวจีนทุกครอบครัวกราบไหว้บูชากันในวันแรกของปีใหม่ ตามคติของชาวจีนคือวันชิวอิก ตรุษจีนของปี เพื่อขอให้ท่านประ
ทานความมั่งมีศรีสุข โชคลาภ ความร่ำรวย ชาวจีนให้ความเคารพนับถือและกราบไว้บูชากันมาหลายพันปีแล้ว

ประวัติความเป็นมาของไฉ่ซิงเอี้ย นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายตำนาน เท่าที่ศึกษาดูและพอจะมีหลักฐาน เค้าความจริงอยู่ด้วย
กันหลายเรื่อง มีอยู่ด้วยกัน 2 ภาค คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ (บูไฉ่ซิงเอี้ย) และเทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น (บุ่งไฉ่ซิงเอี้ย)
ตามตำนานกล่าวกันว่า เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ก็คือ เจ้ากงหมิง ซึ่งบำเพ็ญพรตอยู่บนเขาง้อไบ๊ สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนที่มี
อิทธิฤทธิ์สูงมาก หน้าตาดุร้าย มีหนวดเครารุงรัง มีสมุนร้ายกาจมาก คือ เสือดำ บางตำราว่าเป็นเสือโคร่ง และยังมีของวิเศษ
อีกหลายอย่าง เช่นแส้เหล็ก ไข่มุกวิเศษ เชือกล่ามมังกร แม้แต่ เจียงไท่กง ซึ่งเป็นเทพผู้ใหญ่ซึ่งมีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้าองค์ต่างๆ
ยังสู้เจ้ากงหมิงไม่ได้และตอนหลังยังได้ของวิเศษอีก 4 อย่าง คือเจียป้อ หนับเตียง เจียใช้ หลี่ฉี ซึ่งเป็นของวิเศษที่สามารถเรียก
เงินทองให้ไหลมาเทมา ช่วยให้การค้าราบรื่นได้กำไรงาม ประชาชนจึงพากันกราบไหว้ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองความ
มั่งคั่ง เทพเจ้าแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋น ตามตำนานกล่าวกันว่า คือ ปี่กาน อัครมหาเสนาบดีของจักรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์
สุดท้ายแห่งราชวงศ์อินหน้าตาสะอาดหมดจด รับใช้ราชสำนักด้วยความจงรักภักดี แต่ถูกนางสนมเอกของจักรพรรดิอินโจ้ว
กลั่นแกล้ง โดยจะขอหัวใจของปี่กานมาเป็นยา ซึ่งปี่กานก็รู้ว่าถูกกลั่นแกล้ง แต่ก่อนที่จะควักหัวใจให้ไปปี่กาน ได้รับยาวิเศษจาก
เจียงไท่กงผู้ใดกินแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจและกินเข้าไปก่อนแล้วก่อนควักหัวใจ จึงทำให้มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีหัวใจ พอควัก
หัวใจให้ไปแล้วก็เดินออกจากวังไป ตอนหลังเร่ร่อนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เที่ยวโปรยเงินโปรยทองกลายเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์
สินเงินทอง และโปรยเงินทองให้ประชาชนอย่างทั่วถึง

ลักษณะที่สำคัญอันเป็นเอกลักษณ์
เนื่องจากไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพแห่งความโชคดี ความมั่งคั่งและความร่ำรวยและเป็นที่นิยมนับถือกันในหมู่ชาวจีนโดยเฉพาะ
ชาวจีนที่ประกอบการค้า ดังนั้นจึงปรากฏว่ามีการสร้างรูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยขึ้นมา
เพื่อสักการะบูชากัน ซึ่งมีตั้งแต่เป็นภาพ
วาด, รูปปั้นเซรามิค (กระเบื้อง) และรูปหล่อโลหะ (มีน้อยไม่ค่อยพบเห็นเพราะจัดสร้างยาก ต้นทุนสูง)
ลักษณะที่ปรากฏในรูป
เคารพดังกล่าว จึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊

รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ จะเป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยที่อยู่ในวัยกลางคนสวมใส่ชุดนักรบจีนโบราณ
อันประกอบ
ไปด้วยชุดเกราะ, หมวกขุนพลจีนโบราณ มือขวาจะถือกระบอง มือซ้ายถือเงินหยวน (หยวนเปา) ใบหน้าดุดันค่อนข้างไปใน
ทางเหี้ยมโหด และมีพาหนะเป็นเสือโคร่งลาดพาดกลอนตัวใหญ่

2. รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น

รูปเคารพของไฉ่ซิงเอี้ยในลักษณะนี้ เป็นรูปของไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราณ สวมหมวกขุนนาง
มีปีกออกไปสองข้าง (ลักษณะเดียวกับหมวกของเทพลก) ชุดขุนนางจีนชั้นผู้ใหญ่ก็จะครบเครื่องครบครันทั้งเสื้อนอกเสื้อใน
มือซ้ายจะถือเงินหยวน (หยวนเปา) หรือบางที่ไม่ได้ถืออะไรดังกล่าวเลย แต่มือทั้งสองจะถือแผ่นผ้าจารึกอักษร (ปัก) ที่คลี่ออก
มาเป็นคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชาท่าน

อานุภาพของไฉ่ซิงเอี้ย

ไฉ่ซิงเอี้ยเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความร่ำรวยของชาวจีนย่อมจะต้องมีอานุภาพในด้านอำนวยความมี
โชคลาภ ความมั่งคั่ง และความร่ำรวยให้แก่ผู้บูชา ซึ่งหากบูชาได้ถูกวิธีก็จะดียิ่งขึ้น
สำหรับอานุภาพของไฉ่ซิงเอี๊ยนั้นขอจำแนก
ออกเป็นภาคเพื่อจะได้เข้าใจได้ชัดเจนดียิ่งขึ้น

1. ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊ ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบู๊นี้ชาวจีนที่นับถือเชื่อกันว่าจะมีอานุภาพ
ให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สินกล่าว
คือ จะช่วยดลบันดาลให้ผู้บูชาที่เป็นเจ้าหนี้สามารถทวงหนี้
จากลูกหนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ลูกหนี้ไม่คิดที่จะเบี้ยวหรือหนีให้เจ้าหนี้
ต้องลำบากลำบน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอานุภาพ
ในการช่วยดูแลควบคุม
บริวารลูกจ้างทั้งหลายให้อยู่ในกรอบในระเบียบให้
ขยันทำการทำงาน โดยเฉพาะตามโรงงานใหญ่หรือบริษัทใหญ่ๆ ตลอดจนกิจการงานที่มีลูกน้องมากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ย
ในภาคบู๊นี้ด้วย มีความเชื่อว่าท่านจะช่วยกำกับดูแล ลูกน้องให้ดีเป็นหูเป็นตาให้แก่ผู้บูชาหรือเจ้าของกิจการ
ทั้งนี้และทั้งนั้นยัง
รวมไปถึงบรรดาข้าราชการทหาร ตำรวจที่อยู่ในระดับหัวหน้า (ชั้นสูงๆ) ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชามากๆ ต่างนิยมบูชาไฉ่ซิงเอี๊ยใน
ภาคบู๊ด้วยกันทั้งสิ้น (ของจีน) นอกจากนี้ยังมีอานุภาพ
ในการคุ้มครองบุตร ภรรยา (ของผู้บูชา)
ทั้งที่อยู่ในบ้านและต่างถิ่นแดน
ไกลให้ทำตนเป็นคนดี มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน

2. ไฉ่ซิงเอี๊ยในภาคบุ๋น ชาวจีนเชื่อว่า

ไฉ่ซิงเอี้ยในภาคบุ๋นนี้จะอำนวยพรให้ผู้บูชา
มีความมั่งคั่ง และมีความร่ำรวย และ
มีโชคลาภเป็นประจำ โชคลาภที่ได้เป็นรายได้พิเศษ ที่นอกเหนือไปจากรายได้ประจำไฉ่ซิงเอี้ย
ในภาคนี้จะมีอานุภาพในด้าน
เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ และโชคลาภที่ถือเป็นรายได้รายรับที่จะทำให้ผู้บูชา
ที่มีความมั่งคั่งและมีความร่ำรวยเปรียบดังนักการฑูต
ที่ดีมีความสามารถในการเจรจาโน้มน้าวให้ต่างชาติ
ต่างภาษามีความเชื่อถือในประเทศของตน และเช่นเดียวกัน
ทำให้ลูกค้า
เชื่อถือในคุณภาพสินค้า และบริการและกลายเป็นลูกค้าประจำ
ดังนั้นผู้ที่จะบูชาไฉ่ซิงเอี้ยก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องบูชาไฉ่ซิงเอี้ย
ให้ครบชุด กล่าวคือ จะต้องมีรูปไฉ่ซิงเอี้ยทั้งในภาคบู๊
และภาคบุ๋นคู่กัน เพื่อท่านจะได้อำนวยความเป็นสิริมงคล
ให้ครบทุกๆ ด้าน ดังกล่าวมาแล้ว

รูปแบบการจัดสร้าง เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ซิงเอี้ย"

รูปหล่อบูชาไฉ่ซิงเอี๋ยในชุดนักรบยืนเหยียบเสือขนาดสูง 16 นิ้ว
มือซ้ายถือเงินทองและไข่มุกวิเศษ
มือขวาถือดาบคล้าย
กระบอง สวมใส่เสื้อมังกร เหน็บแส้ไว้ข้างลำตัว
จัดเป็นปางที่สวยสมบูรณ์แบบที่สุดของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยปางบู๊
ก็ว่าได้ซึ่งรูป
แบบจะเห็นได้ถึงความลงตัวของงานศิลปะจีน
ที่สวยงามอลังการยิ่งนัก
ปั้นแบบโดยประติมากรชื่อดังซึ่งปั้นงานศิลปะจีนได้
สวยงามที่สุดแห่งยุค (ขอสงวนนาม)
องค์เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยอยู่ในชุดนักรบเหยียบเสือ สวมใส่เสื้อมังกรชุดนักรบมือซ้ายถือก้อน
เงินก้อนทองจีนมีไข่มุกวิเศษมุกไฟ
ล่อมังกรเป็นการเรียกทรัพย์โชคลาภ
ข้างลำตัวเหน็บแส้เหล็กไว้ พระพักตร์เต็มไปด้วยเมตตา
ปกติบู๊ไฉ่ซิงหน้าตาจะดุมาก
ลักษณะต่างๆ ถูกต้องตามโหงวเฮ้งยิ่งนัก
จมูกเจ้าทรัพย์เป็นมหาเศรษฐี เป็นเคล็ดว่าผู้บูชาจะได้
ร่ำรวยเป็นสิริมงคล มีอำนาจบารมีประกอบกับปางบู๊เหยียบเสือนี้
มีความหมายยิ่งนัก เพราะเสือเป็นราชาแห่งสัตว์ป่าทั้งมวล
บ่งบอกถึงอำนาจ ราชศักดิ์ความสง่าผึ่งผาย ความกล้าหาญ
ความทรงพลังทางอำนาจ ตลอดจนการค้าอีกด้วยและในภาวะ
เศรษฐกิจโลก ปัจจุบันเปิดกว้างถึงกันหมด
การค้าขายก็ไม่ผิดอะไรกับสงครามการค้าดีๆ นี่เอง
จึงควรบูชาบู๊ไฉ่ซิงเอี้ย เพื่อขอ
พระให้ท่านช่วยให้ทำการค้าประสบผลสำเร็จ
และปางเหยียบเสือนี้สอดคล้องกับปีนักษัตรจอ
ที่จะมาถึงในปี พ.ศ.2549 ยิ่งนัก
เพราะเสือกับจอเป็นคู่มิตร (ซาฮะ)
จะหนุนเสริมเติมพลังให้กันและกัน ผู้บูชาจะทำให้ธุรกิจการค้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
และเจริญก้าวหน้า เสื้อที่องค์ไฉ่ซิงเอี้ยสวมใส่นอกจากชุดนักรบยังมีเสื้อมังกรอยู่ทั้งด้านหน้า
และด้านหลัง มังกรนั้นเป็นสัตว์
ในเทพนิยายจีนที่มีรูปลักษณะเด่นสะดุดตาหลายสิ่งหลายอย่าง
รวมกันถึง 9 ประการกล่าวคือ
หัวคล้ายอูฐมีเขาสวมอยู่คล้าย
เขากวางมีตาเหมือนกระต่าย
มีหูเหมือนหูวัว คอเหมือนงู
ลำตัวยาวเหมือนจระเข้ มีเกล็ดยาวตลอด
ลำตัวคล้ายเกล็ดปลา ขากรง
เล็บเหมือนนกเหยี่ยว ฝ่าเท้าเหมือนเท้าเสื้อเลื้อยแล่นวิ่งชอนไช
อยู่บนก้อนเมฆบนท้องฟ้า บางครั้งก็พบกำลังเลื้อยแล่นโต้คลื่น
อยู่ในทะเล ใกล้หัวมังกร มีลูกกลมเป็นไข่มุกไฟลอยหมุนอยู่
มังกรถือเป็นสัตว์เทพเจ้ามีความเป็นอมตะ
จะตายก็ต่อเมื่อสมัคร
ใจเองและไม่มีกำหนด มังกรจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชาวจีน
ซึ่งล้วนแต่เป็นสิริมงคลเป็นพื้นฐาน
ของความเมตตา กรุณา พลัง
อำนาจวาสนาความแคล้วคลาดปลอดภัย
เป็นผู้พิทักษ์อำนาจของเทวดาที่คอยเฝ้าดูอยู่เหนือจักรวาล
และมวลมนุษย์แม้แต่ฉลอง
พระองค์จักรพรรดิจีน ยังต้องมี "มังกร 9 ตัว" เป็นหัวใจ

รูปแบบที่มือขวาถือดาบคล้ายกระบอง
เป็นการช่วยในเรื่องของการค้า การเจรจา
อำนาจให้ดูมีบารมีน่าเกรงขาม แส้เหล็ก
ที่เหน็บข้างลำตัวไว้ปราบเสือ
เหมือนดั่งเอาไว้ควบคุมบริวารให้อยู่ในโอวาทไม่คดโกง
มือซ้ายถือก้อนเงินก้อนทองไข่มุกวิเศษ
ล้วนมีความหมายเป็นสิริมงคล
ให้ผู้บูชามีทรัพย์สินเงินทอง ร่ำรวย มีอำนาจ วาสนา
ยศฐาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียง

____________________________________________________________________


ท้าวกุเวรมหาราช (พระธนบดีศรีธรรมราช)
ผู้ประทานโชคลาภและความมั่งคั่ง แห่งอาณาจักรทะเลใต้

จำลองจากต้นแบบองค์ที่สวยที่สุดในโลก
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์กีเม่ต์ ประเทศฝรั่งเศส

พระธนบดี ศิลปะศรีวิชัย เนื้อสำริดสนิมเขียว อายุประมาณ 1,200 ปี
ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ กีเม่ต์ ประเทศฝรั่งเศส
องค์นี้มีความงดงามสุดยอด เป็นศิลปะศรีวิชัยบริสุทธิ์ นำมาเป็นต้นแบบจัดสร้างในครั้งนี้

พระธนบดีศรีธรรมราช (เจ้าแห่งโชคลาภ)
จัดสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก โดยจำลองแบบมาจากรูปหล่อท้าว
กุเวรเจ้าแห่งขุมทรัพย์ที่สร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย
โดยมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น พระธนบดี พระกุเวร พระรัตนครรภ์
เจ้าพ่อขุมทรัพย์ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
โบราณถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง
ที่มีหน้าที่ประทานความมั่งคั่ง ความมีโชคดีให้
กับผู้บูชา ฯลฯ

ท้าวกุเวร เป็นเทพผู้รักษาทิศเหนือ ตามลัทธิศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ
ประวัติของท้าวกุเวรกล่าวไว้ว่า
พระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นเวลาหลายพันปี จนพระพรหมทรงเห็นใจโปรดให้เป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง
จากมหากาพย์ รามายณะกล่าวว่า เทพกุมาร ได้รับยานที่ขับเคลื่อนไปในอากาศได้ตามประสงค์ของเจ้าของคือ
บุษบก บางตำรากล่าวว่าท้าว
กุเวรมีม้าสีขาวเป็นพาหนะ มีมเหสีนาม จารวี หรือ
ฤทธี มีโอรส 2 องค์ ชื่อ มณีครีพ หรือ วรรณกวี
กับ นุลกุพล หรือ มยุราช
มีธิดา 1 องค์ชื่อ มีนากษี ในรามเกียรติ์กล่าวว่า ท้าวกุเวรทรงเป็นบิดาคันธมาทน์ นายทหารของพระราม
และมีสวนชื่อเจตรถ
อยู่บนยอดเขามันทร ท้าวกุเวรยังมีชื่อเรียกตามเรื่องราวและคุณสมบัติอีกหลายชื่อ
เช่น กุตนุ (มีรูปร่างน่าเกลียด) รัตนครรภ
(มีเพชรเต็มพุง) ราชราช (เจ้าแห่งราชา)
นรราช ธนบดี (เป็นใหญ่ในทรัพย์)
ยักษราช (เจ้าแห่งยักษ์)
รากชเสนทร์ (เป็นใหญ่ในพวกรากษส) ฯลฯ
ตามเรื่องรามเกียรติ์ เรียกชื่อท้าวกุเวรว่าท้าวกุเปรัน
แต่ชื่อที่คนไทยคุ้นเคย คือ ท้าวเวสสุวัณ
(สันสกฤต-ไวศรวณบาลี-เวสสวณ) ในคัมภีร์ไตรเพท
กล่าวว่า ทรงเป็นอธิบดี ของพวกอสูร รากษสและภูติผี
ในกลุ่มพวกนับถือศาสนา
พุทธลัทธิมหายานในประเทศจีนกล่าวว่า
โลกบาลทิศอุดร มีชื่อว่า "โตบุ๋น" แปลว่า " ได้ยินทั่วไป " มีพวกยักษ์เป็นบริวาร
มีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู
ส่วนพวกธิเบตกล่าวว่าถือธงและพังพอน สีกายเป็นสีทองคำ ในประเทศญี่ปุ่นถือว่า โลกบาลทิศ
นี้เป็นเทพเจ้าประจำโชคลาภมีนามว่า
" พิสะมอน " ตรงกับนามว่า " ธนบดี " หรือ ธเนศวร อันเป็นนามหนึ่งของท้าว
กุเวร แปลว่า เป็นเจ้าใหญ่แห่งพชทรัพย์ ส่วนหนึ่งของที่ถือนั้น มีแก้วมณีกับทวนหรือธง

ศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ลัทธิวัชรยานในคัมภีร์สาธนมาา
กล่าวถึงท้าวกุเวรว่ามีหน้าที่เป็นทั้งธรรมบาล
คือ ผู้มีตำแหน่งเทียบเท่าพระโพธิสัตว์ มีหน้าที่ทำสงครามปราบปรามปีศาจและยักษ์มารต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูต่อพระพุทธ
ศาสนา ทรงเป็นโลกบาล (มีชื่อว่า เวสสุวัณหรือไวศรวีณ) คือ เทพผู้มีหน้าที่ปกป้องทิศทั้ง 4 (เฉพาะทิศเหนือ) อยู่บนเขา
พระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
และคอยเฝ้าคอยดูแลทางเข้าสวรรค์ (ดินแดนสุขาวดี) *

*** พระธนบดีที่เก่าที่สุด เท่าที่พบในประเทศไทย มีการสร้างมาตั้งแต่ครั้งยุคสมัยศรีวิชัย
เมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน แสดงให้
เห็นถึงความสำคัญได้อย่างดี พระธนบดียังถือว่าเป็นนิรมาณกายอีกปางหนึ่งของพระโพธิสัตว์ และยังเป็นส่วนหนึ่งของพระ
มหากษัตริย์ตามคำภีร์พระมนู
ซึ่งจะหมายถึงปางหนึ่งของจตุคารามเทพก็ได้ ที่จะประทานความอุดมสมบูรณ์และความมั่ง
คั่งให้กับโลกมนุษย์การสร้างพระธนบดีครั้งนี้จึงสร้างขึ้นจากศาสตร์ความรู้ที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
ตามคัมภีร์เก่าแก่กล่าวไว้ว่า
ท่านเป็นผู้ประทานความมั่งคั่ง แผ่นดินใดที่อุดมสมบูรณ์พระมหากษัตริย์ปกครอง
แผ่นดินโดยธรรม ทรงเปี่ยมไปด้วยพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่า
พระราชาทั้งปวงหรือที่เรียกว่า "จักรพรรดิ" ท้าวกุเวร
หรือชัมภลนี้จะเป็นผู้ประทาน "สัตตัตนมณี" แก้วเจ็ดประการหรือสมบัติแห่งจักรพรรดิอันมี
ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว
ขุนคลังแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว จักรแก้ว

การประทานสมบัติเจ็ดประการของมหาจักรพรรดิ เพื่อความรุ่งเรืองแห่งแผ่นดิน มีดังนี้

ประการที่ 1 จักรรัตนะ คือ จักรแก้ว หมายถึง การมีอำนาจหรือเดชานุภาพแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ

ประการที่ 2 หัตติรัตนะ คือ ช้างแก้ว หมายถึง การแสดงออกซึ่งความมีบารมีที่ยิ่งใหม่ความมั่นคง

ประการที่ 3 อัสสรัตนะ คือ ม้าแก้ว หมายถึง การมีบริวารข้าทาสรับใช้ที่ดี

ประการที่ 4 มณีรัตนะ คือ มณีแก้ว หมายถึง ความสว่าง ความมีสติปัญญา ความรู้

ประการที่ 5 อิตถีรัตนะ คือ นางแก้ว หมายถึง ได้คู่ครองที่ดีมีความงดงาม

ประการที่ 6 คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้ว หมายถึง ความมีทรัพย์สิน เงินทองบริบูรณ์

ประการที่ 7 ปริณายกรัตนะ คือ ขุนพลแก้ว หมายถึง ที่ปรึกษาคู่ใจ ผู้ให้ความรู้ ผู้ปกป้องคุ้มครอง บุตรที่ดี

ดังนั้น อานุภาพแห่งพระธนบดีนี้
สามารถอธิษฐานขอพรได้ 7 ประการดัวยกันตามคุณลักษณะ
ของสมบัติจักรพรรดิ 7 ประการ
ซึ่งประทานให้โดยมหาราชผู้เป็นท้าวจตุโลกบาล
ซึ่งคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ตลอดกาล อาณาจักรศรีวิชัย
เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มีพระราชาธิราชที่มี
พระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชองค์อื่นปกครอง
ทั่วน่านน้ำอาณาจักรทะเลใต้ มีพระมหากษัตริย์ที่ประกาศตนยิ่งใหญ่
ประดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์ มีจารึกกรุงศรีวิชัยประกาศความยิ่งใหญ่
ปรากฏชัดเจน
ในคัมภีร์รามายณะและมหาภารตะได้บันทึกไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณมีอีกนามหนึ่งคือ ท้าวกุเวร
(ท้าวจตุโลกบาล หรือท้าวมหากาพย์ หมายถึง
เทพ ผู้มีภารกิจคุ้มครองปกป้องโลกทั้งสาม) ซึ่งเป็นเทพแห่งยักษ์เป็นอสูรเทพ ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเจ้าแห่งอสูรเทพทั้งมวลนั่นเอง พระปุลัสตย์นั้นเป็นพระบิดาของท้าวเวสสุวรรณ
และท้าวเวสสุวรรณได้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า พระวิศรวัส


ท้าวเวสสุวรรณแม้จะเป็นเทพอสูรแต่เป็นอสูร
ที่มีชาวบ้านชาวเมืองเคารพนับถือเป็นอันมาก
ดังจะเห็นว่าแม้ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีพระรูปของท้าวเวสสุวรรณติดไว้ตามบ้านต่างๆ
เพื่อให้พระองค์ได้คุ้มครองดูแลปกป้องบ้านเรือนของครอบครัวนั้น

ส่วนใหญ่พระรูปของท้าวเวสสุวรรณจะถูกชาวบ้านชาวเมือง
นำมาติดไว้ที่ประตูหรือหน้ารั้วเพื่อให้พระองค์ได้ปกป้องคุ้มครอง
เพราะอีกนัยหนึ่งนั้นมีความเชื่อในหมู่ชาวอินเดียโบราณว่า
ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สินด้วย

พระนามในบางคัมภีร์ของท้าวเวสสุวรรณ
อาทิ ยักษราช มยุราช รากษสเสนทร์ และธนวดี
ซึ่งหมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์สินนั่นเอง

การที่คนในพุทธศาสนาได้ทำบุญแล้วอธิษฐานอุทิศส่วนกุศล
ให้เจ้ากรรมนายเวรนั้น จริงๆ แล้วในความเชื่อของพราหม์ถือว่า
หมายถึงท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวจตุโลกบาลนั่นเอง

ท้าวเวสสุวรรณในบางคัมภีร์
เป็นอสูรเทพ เป็นยักษ์ 3 ขา มีฟัน 8 ซี
แต่พระวรกายขาวกระจ่าง สวมอาภรณ์งดงาม
มีมงกุฎทรงอยู่บนพระเศียร แต่มีรูปกายพิการ
และมีพาหนะคือม้าสีขาวนวลราวกับปุยเมฆ
******************************

ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร

ธิเบตเรียก นัม.โถ.เซ.

จีนเรียก ใช้ป๋อเทียนอ๊วงหรือพีซามึ้งเทียนอ๊วงหรือแป๊ะไช้ซิ้ง

ท่านมีสองสถานะคือสถานะเทพผู้ประทานทรัพย์องค์ขาว
และสถานะหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล
ตำนานได้กล่าวไว้ว่า เมื่อก่อนพระศากยะมุนีพุทธเจ้าจะปรินิพพาน
ได้สั่งความแก่ท้าวจตุโลบาลไว้ว่าในอนาคตต่อไป
พุทธศาสนาจะประสพกับอุปสรรคมากมายพวกนอกศาสนา พวกไม่หวังดีต่อพุทธศาสนาจะทำร้ายพุทธศาสนา
ขอให้ท้าวจตุโลกบาลช่วยกันปกป้องรักษาพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ได้ทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษา
พุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติธรรมเสมอมา

คาถาประจำองค์ โอม.ไว.ซา.วา.นา.เย.โซ.ฮา

นำข้อมูลมาจาก(สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ครับ)
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=prachaya555&month=10-2005&date=07&group=17&gblog=2

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

การบูชาพระพฤหัสบดี


การบูชาพระพฤหัสบดี
ตามคัมภีร์ไตรเทพนั้นได้บันทึกไว้ว่า พระพฤหัสบดีเป็นเทพองค์เดียวกับพระอัคคี หรือพระเพลิง
นั่นเอง
แต่ในคัมภีร์ของทางลัทธิพราหมณ์ได้บันทึกไว้ว่า พระพฤหัสบดีเป็นเพทที่เป็นเสมือนครุของเหล่าเทพทุกพระองค์
หากจะประกอบพิธีกรรมเพื่อบวงสรวงบูชาพระพฤหัสบดีแล้ว ก็สามารถกระทำได้ โดยการบวงสรวงบูชาพระอัคคีหรือพระเพลิงแล้วเอ่ยอ้างถึงพระพฤหัสบดีด้วย
หรือจะทำการบวงสรวงบูชาพระพฤหัสบดีโดยแยกมาพิธีกรรมต่างหาก ไม่รวมกับพระอัคคีก็
สามารถกระทำได้เช่นกัน
เครื่องบวงสรวงบูชา
การจะบูชาพฤหัสบดีสามารถเตรียมเครื่องบูชา ดังนี้
ผ้าแพรพรรณสีเหลืองแก่ สีส้ม
รูปปั้นหรือแกะสลักเล็ก ๆ ที่เป็นรูปพระฤษีหรือพระเศียรของพระฤษี
ข้าวตอก น้ำนม หนังสือ
ดอกไม้สีเหลือง แก่หรือสีส้ม
พวงมาลัยดาวเรือง
ขนมหวาน 7 ชนิด
ผลไม้ 5 ชนิด (ผลไม้รสหวานเท่านั้น)
การขอพร
ในลัทธิพราหมณ์ที่มีการบวงสรวงบูชาพระพฤหัสบดีแยกออกจาการบวงสรวงพระอัคนีหรือ
พระเพลิงนั้น มักจะบูชาขอพรดังต่อไปนี้
ขอพรให้มีความฉลาดหลักแหลม มีปัญญาลึกซึ้ง
ขอมีสงบสันติในครอบครัว ไม่มีเรื่องวุ่นวายเดือดร้อนขัดแย้งกับใคร ๆ
ขอให้ได้รับความยุติธรรม ความเที่ยวธรรม ขอให้พ้นภัยจากความอยุติธรรม
ขอพรให้พ้นพ้นจากภัยอันเป็นโทษจากการถูกใส่ความหรือได้รับโทษทัณฑ์ต่าง ๆ
นอกจากนั้นคนที่สนใจเรียนรู้เรื่องศาสตร์การพยากรณ์ก็มักจะ มีการบวงสรวงบูชาพระพฤหัสบดี โดยการขอพรให้เกิดญาณวิเศษหยั่งรู้เรื่องอันเร้นลับ หรือขอให้สามารถเรียนรู้เรื่องการพยากรณ์ได้สำเร็จนั่นเอง
ช่วงเวลาในการบูชา
การบวงสรวงบูชาพระพฤหัสบดีนั้น สามารถประกอบพิธีกรรมในช่วงใดก็ได้ตลอดปี โดยเลือกเอาวันพฤหัสบดีเป็นที่ตั้ง ส่วนที่สามารถเจาะจงไปได้นั้นมีอยู่ 2 เดือน ในระหว่างปี คือเดือนมีนาคม และธันวาคม
รูปลักษณ์
พระพฤหัสบดีนั้นมีรูปลักษณ์เป็นพระฤาษี
พระวรกายนั้นสีนวลพิสุทธิ์ ทรงนุ่งห่มด้วยหนังเสือบ้าง หนังกวางบ้าง ในบางแห่งก็ปรากฏ
รูปเคารพของพระฤาษีหรือพระพฤหัสบดีเทพ เป็นภัสตาภรณ์ บุษราคัม สีเหลืองแก่เปล่งประกายแวววาว
พาหนะของพระฤาษีเทพคือ พญาเนื้อ
ข้อมูลดีๆจาก http://www.sartsaksit.net/ ขอบคุณมากค่ะ

พระพฤหัสบดี


พระ อิศวรผู้เป็นเจ้า สร้างขึ้นจากฤๅษี ๑๙ ตน คือ ทรงร่ายเวทให้กายฤๅษี ๑๙ ตนนั้นละเอียดลง แล้วเอาผ้าสีแสด (Bright Red, Orange) ห่อผงนั้น ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกดเป็นองค์พระพฤหัสบดีขึ้นมา มีสีกายเป็นสีแก้วไพฑูรย์ ทรงทิพยอาภรณ์ สุวรรณรัตนรูจี แจ่มด้วยมุกดาหาร และมีวิมานเป็นสีบุษรากับทรงมฤคราช (กวางทอง) ในอธิไทยโพธิบาทว์ กล่าวว่าทรงมณฑก (กบ) พระพฤหัสบดี มีมณฑกนั้นเป็นพาหนะสถิตใน ปัจฉิมทิศ

ตำนานกล่าวว่า
ก. กาลครั้งหนึ่ง พระพฤหัสบดีเกิดเป็นนกอีลุ้ม พระจันทร์เกิดเป็นเหยี่ยว บินมาจับนกอีลุ้ม นกอีลุ้มจึงหันไปหลบ ซุกซ่อนอยู่ในรอบเท้าโค เหยี่ยวบินโผลงมาปะทะมูลดินแห้งกับรอยเท้าโค อกแตกตาย

ข. ในกาลสมัยหนึ่ง พระจันทร์มีความกำเริบเพราะเหตุที่ทำพิธีราชสูระสำเร็จ จึงไปลอบลักพานางดารา ผู้ซึ่งเป็นชายาแห่งพระพฤหัสบดีมา ครั้นผัวติดตามไปขอคืน ก็ไม่ยอมให้ ผลสุดท้ายเลยเกิดรบกันใหญ่ ระหว่างพวกเทวดากับเทวดาที่เรียกกันว่า เทวาสุรสงครามผลของการรบสงบลงด้วยมีพระพรหมมาห้าม และบังคับให้พระจันทร์ส่งนางดาราคืนให้แก่พระพฤหัสบดี แต่ในในระหว่างที่นางดาราได้ไปตกอยู่กับพระจันทร์ จึงได้เสียกับพระจันทร์จนมีครรภ์กับพระจันทร์แล้ว ภายหลังเมื่อประสูติโอรสออกมา คือ พระราหู

ตามหลักพยากรณ์
พระ พฤหัสสบดี เป็นดาวขนาดใหญ่รองลงมาจากพระอาทิตย์ สร้างขึ้นจากพระฤๅษี ตามธรรมดาพระฤๅษีต้องแก่กล้าไปด้วยวิชาอาคม เวทมนต์ ญาณต่างๆ ดังนั้น พระพฤหัสบดีจึงมีอำนาจอิทธิฤทธิ์และอิทธิพลมาก เป็นเจ้าแห่งศิลปวิทยาการทุกประเภท มีศีลมีธรรมอันสูงส่ง ผู้ใดมีพระพฤหัสบดีกุมลัขณา ถือว่าเป็นโกมุท เกณฑ์มีกลิ่นหอม เป็นที่เคารพบูชาของสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย ดาวพระพฤหัสบดีเสมอด้วยพระอิศวร คือเจ้าแห่งดาวนพเคราะห์ทั้งหลาย มีความรู้ความสามรถชำนาญในทางไสยศาสตร์ ไตรเภทต่าง ๆ กอปรด้วยมีใจเมตตากรุณาปราณี โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อ สุขุมรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน ไม่ให้โทษแก่ผู้ใด เพียงแต่ไม่ช่วยเท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าได้เป็นศัตรูกับใครแล้วร้ายกาจนัก ถึงกับวอดวายฉิบหายขายตนทีเดียว

ผู้ที่มีพระพฤหัสบดีเป็นศัตรู นับว่าเคราะห์ร้ายที่สุด ในการดูดวงชาตาการพยากรณ์ทั้งหลาย ก็ต้องดูพระพฤหัสบดีเป็นลักขณาก่อนอื่นเสมอ มิตรของพระพฤหัสบดีก็คือพระอาทิตย์ เพราะเป็นบุตรเขย ส่วนพระอังคาร พระเสาร์ แ ละ ราหู ใน ๓ ดวงนี้ ถ้าไปต้องกันเข้าเมื่อใด เจ้าชาตามักได้รับความเดือดร้อน แต่ได้ไปถูกพระอาทิตย์ พุธ ศุกร์ ก็จัดว่าดีได้ หากไปกับพระจันทร์ ซึ่งเป็นธิดาแล้ว บิดาสั่งสอนธิดาไม่ยอมเชื่อถ้อยคำของบิดา กลับโกรธบิดา ครั้นบิดาลงโทษทัณฑ์ ก็สงสาร เล่นเอาหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ลงรอยซึ่งกันและกัน ทำให้เจ้าชาตาเข็ดหลาบไปนาน เพราะจะให้โทษก็ไม่เชิง ให้คุณก็ไม่ใช่ กลายเป็นทุกข์ลาภไปเพราะทำให้สุดแสนจะทนทุกข์ทรมานเดือดร้อน กลุ้มใจ เศร้าโศกาหมองศรีไป พฤหัสบดีนี้โบราณาจารย์ถือกันต่าง ๆ มาจนทุกวันนี้ ถือกันว่าเป็นครู เยาวชนผู้เริ่มเข้าโรงเรียนมักจะตั้งต้นไปเข้ากันในวันพฤหัสบดี บูชาครูกันในวันพระพฤหัสนี้ทุกรายไป แม้ในโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งรัฐบาลและราษฎร์ในทุกวันนี้ พอขึ้นปีใหม่หรือเทอมใหม่ มักจะให้เด็กนักเรียนนำดอกไม้ธูปเทียนมาไว้ครูกันเสียครั้งหนึ่งในวันพระ พฤหัสบดีนี้ พระพฤหัสบดีนี้เป็นดาวศุภเคราะห์

การใช้สีเครื่องแต่งกาย
แต่ง กายพฤหัสบดีล้วนสีเหลือง (เลื่อมปภัสสร) (Light Yellow) ส่งกาญจนประเทืองเทียบแท้ ไพฑูรย์ รัตน์รองเรืองรั้งสฤษดิ์ ผาดผ่าน สังวาลพราวเพ็ชรรัตน์รุ่งเรือง จรัสจรูญ

บูชาพระวันเกิด
คนใดเกิดวีนพระพฤหัสบดี ควรมีพระพุทธรูปปางทรงประทับนั่งสมาธิ (โพธิบัลลังก์) บูชาจึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี

บทสวด อาฏานาฏิยะปะริตตัง


อัปปะสันเนหิ นาถัสสะ สาสะเน สาธุสัมมะเต
อะมะนุสเสหิ จัณเฑหิ สะทา กิพพิสะการิภิ ปะริสานัญจะ
ตัสสันนะมะหิงสายะ จะ คุตติยา ยันเทเสสี มะหาวีโร
ปะริตตันตัมภะณะนะ เห ฯ
___________________

อาฏานาฏิยะปะริตตัง

วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต สิขิส
สะปิ นะมัตถุ สัพพะภู ตานุกัมปิโน เวสสะภุสสะ นะมัตถุ
นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ มาระ
เสนัปปะมัททิโน โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พราหมะณัสสะ
วุสีมะโต กัสสะปัสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ
อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สักยะปุตตัสสะ สิรีมะโต โย อิมัง
ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง เย จาปิ นิพพุตาโลเก
ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง เต ชะนา อะปิสุณา มะหันตา วีตะ
สาระทา หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง
วิชชาจะระณะสัมปันนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง ฯ

นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง
ตัณหังกะโร มะหาวีโร เมธังกะโร มะหายะโส สะระณัง
กะโร โลกะหิโต ทีปังกะโร ชุตินธะโร โกณฑัญโญ ชะนะ
ปาโมกโข มังคะโล ปุริสาสะโภ สุมาโน สุมาโน ธีโร
เรวะโต ระติวัฑฒะโน โสภีโต ถุณะสัมปันโน อะโนมะ
ทัสสี ชะนุตตะโม ปะทุโม โลกะปัชโชโต นาระโท วะระ
สาระถี ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล
สุชาโต สัพพะโลกัคโค ปิยะทัสสี นะราสะโภ อัตถะทัสสี
การุณิโก ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
ติสโส จะ วะทะตัง วะโร ปุนโน จะ วะระโท พุทโธ
วิปัสสี จะ อะนูปะโม สิขี สัพพะหิโต สัตถา เวสสะภู
สุขะทายะโก กะกุสันโธ สัตถะวาโห โกนาคะมะโน ระณัญ
ชะโห กัสสะโป สิริสัมปันโน โคระโม สักยะปุงคะโว ฯ

เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา อัเนกะสะตะโกฏะโย
สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา
สัพเพ ทะสะพะลูเปตา เวสารัชเชหุปาคะตา สัพเพ เต
ปะฏิชานันติ อาสะภัณฐานะมุตตะมัง สีหะนาทัง นะทันเตเต
ปะริสาสุ วิสาระทา พรัหมะจักกัง ปะวัตเตนติ โลเก อัปปะ
ฏิวัตติยัง อุเปตา พุทธะธัมเมหิ อัฏฐาระสะหิ นายะกา
ทวัตติงสะ ลักขะณูเปตา สีตยานุพยัญชะนาธะรา พยา
มัปปะภายะ สุปปะภา สัพเพ เต มุนิกุญชะรา พุทธา
สัพพัญญุโน เอเต สัพเพ ขีณาสะวา ชินา มะหัปปะภา
มะหาเตชา มะหาปัญญา มะหัพพะลา มะหาการุณิกา ธีรา
สัพเพสานัง สุขาวะหา ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ ตาณา
เลณา จะ ปาณินัง คะตี พันธู มะหัสสาสา สะระณา จะ
หิเตสิโน สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรา
ยะนา เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม วะจะสา
มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต สะยะเน อาสะเน
ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา สะทา สุเขนะ รักขันตุ
พุทธา สันติกะรา ตุวัง เตหิ ตวัง รักขิโต สันโต มุตโต
สัพพะภะเยนะ จะ สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตา
ปะวัชชิโต สัพพะเวระมะติกกันโต นิพพุโต จะ ตุวัง
ภะวะ ฯ เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ ขันติเมตตาพะเลนะ จะ
เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคเยนะ สุเขนะ จะฯ

ปุรัตถิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ ภูตา มะหิทธิกา เตปิ
ตุมเห อันุรักขันตุ อาโรคเยนะ สุเขนะ จะ ทักขิณัสมิง
ทิสาภาเค สันติ เทวา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ
อาโรคเยนะ สุเขนะ จะ ปัจฉิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ
นาคา มิหิทธิกา เตหิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคเยนะ
สุเขนะ จะ อุตตะรัสมิง ทิสา ภาเค สันติ ยักขา มะหิทธิกา
เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคเยนะ สุเขนะ จะ
ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทิกขิเณนะ วิรุฬหะโก ปัจฉิเมนะ
วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง จัตตาโร เต มะหาราชา
โลกะปาลา ยะสัสสิโน เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ
อาโรเยนะ สุเขนะ จะ อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา
เทวา นาคา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ
อาโรคเยนะ สุเขนะ จะ ฯ

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง นัตถิ เม
สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ
สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง นัตถิ เม
สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณังวะรัง เอเตนะ
สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ

ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ
ระตะนัง พุทธะสะมัง นัตถิ ตัสมา โสตถี ภะวันตุ
เต ฯ ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ
ระตะนัง ธัมมะสะมัง นัตถิ ตัสมา โสถี ภะวันตุ
เต ฯ ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ
ระตะนัง สังฆะสะมัง นัตถิ ตัสมา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ

สักกัตวา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะ เตเชนะ โสตถินา นัสสันตุ
ปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เต สักกัตวา ธัมมะ
ระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง ปะริฬาหูปะสะมะนัง
ธัมมะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา
วูปะสะเมนตุ เต สักกัตวา สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง
วะรัง อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา
นัสสันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เต ฯ

สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต
ภะวัตตวันตะราโย สุขีทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ
นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุวัณโณ
สุขัง พะลัง ฯ


จากหนังสือมนต์พิธี ครับ

ตำนานอาฏานาฏิยปริตร


อา ฏานาฏิยปริตร นี้ มาในอาฏานาฏิยสูตร ซึ่งนิยมเรียกว่า ภาณยักข์ ใน ๓ ภาณ พระสูตรนี้แต่ก่อนนิยมสวดในงานพระราชพิธีตรุสหลวง ซึ่งมีพระราชนิยมจัดทำที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัน ในพระบรมมหาราชวัง พระสงฆ์ที่สวดภาณยักข์ เป็นพระพิธี สำรับละ ๔ ผลัดกันสวด ตามระเบียบ พระพิธีนี้ถือว่า เป็นพระทรงสมณศักดิ์ ดำรงตำแหน่งพระพิธีหลวง พระผู้ได้รับแต่งตั้งจะต้องมีคุณสมบัติเป็นพิเศษในการสวด เช่น

ก. มีเสียงเพราะ

ข. มีความรู้ดีในการสวด ตามแบบทำนองหลวง แปลว่า สวดเป็น เป็นศิษย์มีครู โดยได้รับฝึกมาดีแล้ว โดย เฉพาะพระพิธีสำหรับสวดภาณยักข์ ยังมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มอีกประการหนึ่ง คือ เสียงดัง พระพิธีนี้ไม่มีทุกวัด แม้จะเป็นพระอารามหลวง ปกติมีเฉพาะพระอารามหลวงที่สำคัญ เช่น วัดมหาธาตุ วัดพระเชตุพน วัดสระเกศ วัดระฆัง วัดบวรนิเวศ วัดโสมนัส วัดราชบพิธ เฉพาะงานพระราชพิธีตรุสหลวง พระพิธีสำรับวัดมหาธาตุ ต้องสวดยักษ์ใหญ่ พร้อมทั้งขึ้น นโม ด้วย เมื่อมีพระพิธีสวดหลายสำรับก็เป็นการประกวดกันในที่ เพราะนับแต่องค์พระมหากษัตริย์ลงมา ฝ่ายพระก็นับแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมา เสด็จประทับฟัง ติ ชม อยู่ด้วยตลอดเวลา จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทุกสำรับ ทุกสำนักจะไม่แก่ซ้อม ทราบว่าเมื่อพระพิธีวัดใดเข้าสวด เจ้าอาวาสวัดนั้นจะต้องอยู่ฟังด้วย ในฐานะผู้ปกครอง พร้อมทั้งรายงานทูลพระราชปุจฉาพระมหากษัตริย์ หรือสมเด็จพระสังฆราช

สำหรับ ตั้ง นโม เสียเปรียบในเชิงประกวด เพราะเหนื่อยทั้งไม่อยู่ในการประกวด แต่จำต้องสวดสำรับแรก ทราบว่า เพียงแต่ว่า นโม ๓ จบ ก็ต้องใช้เวลากว่า ๑๐ นาที และบวกไตรสรณาคมน์เข้าไปอีกก็ถึงครึ่งชั่วโมง ถ้าต้องการทราบว่า สวดอย่างไร จึงช้าปานนี้ ต้องไปหาพระที่เคยสวด ขอความกรุณาให้ท่านสวดให้ฟังสัก ๑ จบ ก็คงทราบได้ดี ข้าพเจ้าเคยฟัง การสวดมีทำนองและช้ามาก ทั้งทำนองและเวลา ดูเหมือนจะมากเฉพาะ นโม และ ไตรสรณาคมน์ เท่านั้น

คำ ว่า ภาณยักข์ แปลว่า ยักษ์กล่าว คู่กับ ภาณพระ ซึ่งแปลว่า พระกล่าว สำหรับยักษ์นั้น หมายถึง ท้าวเวสสุวรรณ ผู้เป็นมหาราชของพวกยักษ์ แต่คำว่า พระ นั้น หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น สวดภาณยักข์ จึงนิยมให้ใช้เสียงดัง ทั้งทำนองก็หนักแน่นน่ากลัว แบบยักษ์ ดูเหมือนจะเกณฑ์ให้เข้ากับยักษ์ได้ อย่างนั้นก็ยังไม่สะใจ เวลาสวดถึงตรงสำคัญ ในพระราชพิธี ยังกำหนดให้ยินปืนสำทับส่งอีก

การ สวดนั้น มุ่งจะขับยักษ์ ภูตผีปีศาจ ที่ดุร้าย ให้โทษแก่ประชาชน เมื่อกำหนดว่า พวกยักษ์เป็นต้นเหล่านั้น หวาดกลัวเป็นที่แล้ว ก็ยิงปืนกำหราบขับส่ง ปืนที่ยิงนั้น ก็เป็นปืนโบราณ ใส่ดินปืนกระทุ้งทำไมไม่ใช้ปืนสมัยปัจจุบัน ซึ่งมีลูกระเบิดดังน่ากลัวกว่ามาก ตอบได้ว่า เพียงลูกปืนที่ว่านั้น ภูตผีปีศาจไม่ครั่นคร้าม เพราะเสียงภูตผีปีศาจยังน่ากลัว น่าหวาดเสียวกว่า ส่วนลูกปืนสำหรับยิงปืนอาฏานานั้น ใส่ดินปืน ใส่หมอน ใบหนาด ใบสาบแร้งสาบกา ใส่ข้าวสาร เป็นอาถรรพ์ เป็นที่ยำเกรงของภูตผีปีศาจ จึงนิยมอย่างนี้

คำ ว่า ยิงปืนอาฏานา โดยมากมีคนเรียกเพี้ยงไปว่า ยิงปืนอัตตะนา เห็นจะเข้าใจว่า อัดให้แน่น จะได้ยิงให้ดัง ความจริงนั้น ยิงในเวลาสวดอาฏานาฏิยปริตร จึงเรียกว่า ยิงปืนอาฏานา บัดนี้ พระราชพิธีตรุษยกเลิกแล้ว การสวดก็เป็นอันระงับไปด้วย แต่มนต์บทนี้ยังนิยมสวดตามงานทั่วๆไป ในพระราชอาณาจักร

อาฏานาฏิยปริตร บทนี้ มีตำนานเล่าไว้ว่า

สมัย หนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่แถบภูเขาคิชฌกูฏ แคว้นราชคฤห์มหานคร ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ มีท้าวเวสสุวรรณ เป็นประธาน แวดล้อมด้วยยศ บริวาร คือเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ และนาค เป็นอันมาก เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาราตรี รัศมีงามยิ่งนัก สว่างทั่วภูเขาคิชฌกูฏ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่สมควร

ใน บรรดาเหล่าบริวารที่ประชุมเฝ้าอยู่นั้น บางพวกอภิวาทแล้วนั่ง บางพวกก็ปราศรัยให้เป็นเครื่องเจริญใจชวนให้ระลึกถึงแล้วจึงนั่ง บางพวกประนมมือแล้วนั่ง บางพวกเพียงทูลถวายชื่อและตระกูลของตนด้วย แต่บางพวกก็นั่งเฉยๆ

ลำดับ นั้น ท้าวเวสสุวรรณมหาราชได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกยักษ์ที่ยังไม่เลื่อมใสในพระองค์ก็มีมาก ทั้งชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นต่ำ แม้บรรดาที่เลื่อมใสในพระองค์ก็มีมาก ทั้งชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ เช่นเดียวกัน”

“เพราะเหตุใด พวกยักษ์ที่ไม่เลื่อมใสจึงยังมีอยู่ ?”

“ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพวกยักษ์เหล่านั้นยังรักความเป็นผู้ทุศีล ยังพอใจในเวรห้า ที่พระองค์ทรงแสดงว่า เป็นเวร เป็นโทษ คือพอใจจะเบียดเบียนชีวิตเขา เบียดเบียนทรัพย์เขา ยังพอใจละเมิดลัทธิประเพณีเขา ยังพอใจกล่าวเท็จ ยังพอใจดื่มน้ำเมา ยังรักที่จะทำเวรเหล่านั้น ไม่พยายามที่จะวิรัติ งดเว้น ด้วยเหตุนี้ ยักษ์เหล่านั้น จึงไม่รัก ไม่พอใจ ไม่เลื่อมใสในพระองค์ เพราะพระโอวาทขัดแย้งต่อความเห็น ความพอใจของเขา”

“ข้า แต่พระผู้มีพระภาค สาวกของพระองค์ ที่พอใจอยู่ในป่าในที่สงัด ในที่วิเวก ในป่าช้า ในที่เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์เหล่านั้น ข้อนี้เป็นช่องทาง เป็นโอกาสให้ยักษ์จำพวกนี้เบียดเบียนให้ได้รับความลำบาก เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถวายมนต์ อาฏานาฏิยปริตร บทนี้ ขอให้พระองค์ได้โปรดให้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา บริษัทของพระองค์ เรียนจำไว้สวด เพื่อป้องกันมิให้ยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้นเบียดเบียน คือว่า เมื่อยักษ์จำพวกนี้ได้ยินมนต์บทนี้แล้ว จักหนีห่างไปไม่มาเบียดเบียน เพราะเกรงเทวอาชญา”

เมื่อท้าวเวสสุวรรณมหาราชทรงทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับแล้ว จึงได้ภาษิตอาฏานาฏิยปริตรถวายจนจบ

เนื้อแท้ของอาฏานาฏิยปริตรนั้น ก็ล้วนเป็นคำนมัสการพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ มีพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้าเป็นต้น โดยเฉพาะ

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ควายธนู


ควายธนู เป็นเครื่องรางตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ สะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร วิชาเหล่านี้เป็นการทำหุ่นพยนต์รูป แบบหนึ่ง หุ่นพยนต์สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนู สามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้ว พอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา เมื่อทำสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย มีคาถาใช้เสกเมื่อทำควายธนูว่า

"โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ"

ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไป ท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว


วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์จากการทำสมาธิ

ประโยชน์จากการทำสมาธิ
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

ความประสงค์ของผู้ทำสมาธิว่าจะทำสมาธิเพื่ออะไร แยกตามกิเลสของคน
บางท่านทำสมาธิเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์
บางท่านทำสมาธิ ไม่ต้องการอะไร ขอให้จิตสงบ ให้รู้ความจริงของจิตเมื่อประสบกับอารมณ์อะไรเกิดขึ้น เพื่อจะอ่านจริตของเราให้รู้ว่าเราเป็น ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต พุทธจริต ศรัทธาจริต อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจะดูให้รู้แจ้ง เพื่อจะเป็นพื้นฐานที่เราจะแก้ไขดัดแปลงจิตของเรา เมื่อเรารู้ชัดลงไปแล้ว เรามีกิเลสตัวไหน เป็นจริตประเภทไหน เราจะได้แก้ไขดัดแปลงตัดทอนสิ่งที่เกินแล้วเพิ่มสิ่งที่หย่อนให้อยู่ในระดับ พอดีพองาม เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา
สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้ทันเหตุการณ์นั้นๆ ในขณะปัจจุบัน
สมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นภายในจิต เช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีตว่าเราเกิดเป็นอะไร รู้อนาคตหมายถึงว่าเมื่อเราตายไปแล้วเราจะไปเป็นอะไร อันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้
ทีนี้เมื่อมาพิจารณากันจริง ๆ อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้นเรามาสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบันดีไหม
ในการปฏิบัติ ถ้าจะว่ากันโดยสรุปแล้ว เราต้องการสร้างสติให้เป็นมหาสติ เป็นสติพละ เป็นสตินทรีย์ เป็นสติวินโย ไม่ได้มุ่งถึงสิ่งที่เราจะรู้เห็นในสมาธิ
ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า ทำกรรมฐานไปโน่นเห็นนี่ นี่มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิ อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วต้องเห็นนรก ต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไร สิ่งที่เราเห็นในสมาธิมันไม่ผิดกันกับที่เรานอนหลับแล้วฝันไป แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ต้องเห็นนี่ คือเห็นกายของเรา เห็นใจของเรา




การ ภาวนา แม้จะเห็นนิมิตต่างๆ ในสมาธิ หรือรู้ธรรมะซึ่งผุดขึ้นเป็นอุทานธรรม สิ่งนั้นไม่ใช่เป็นเปอร์เซ็นต์ที่เราเอาเก็บเอาผลงานที่เราปฏิบัติได้ เพราะสิ่งนั้น เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นอารมณ์กรรมฐานที่เกิดขึ้นในสมาธิ และเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาที่เกิดขึ้นในสมาธิ ซึ่งเรียกว่า สมาธิปัญญา พลังของสมาธิสามารถทำให้เกิดปัญญา เกิดความรู้เห็นอะไรต่างๆ แปลกๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็รู้ สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็เห็น แต่สิ่งนั้นพึงทำความเข้าใจว่าไม่ใช่ของดีที่จะเก็บเอาไว้เป็นสมบัติ ให้กำหนดเป็นเพียงแต่ว่า สิ่งนั้นเป็นเพียงเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ เป็นอารมณ์กรรมฐานที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นอุบายสร้างสติให้เป็นมหาสติ
หลักของพระพุทธศาสนา เราจะสรุปลงสั้นๆ ว่า เราทำสมาธิเพื่ออะไร
๑. เราทำสมาธิเพื่อให้จิตของเราสงบเป็นสมาธิ เกิดความมั่นคง สามารถที่จะต้านทานต่ออารมณ์ที่มากระทบไม่ให้เกิดความหวั่นไหว
๒. เมื่อจิตของเราสงบเป็นสมาธิ ปราศจากอารมณ์ เราจะได้รู้สภาพความเป็นจริงของจิตของเราที่ไม่มีอารมณ์นั้นเป็นอย่างไร เมื่อมันออกมารับรู้อารมณ์แล้ว
เมื่อเรารู้ความเป็นจริงของจิตของเรา เมื่อจิตอยู่ว่างๆ ไม่มีอารมณ์ มันสบายหรือไม่ มีความสุขหรือไม่ รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น เราทุกข์หรือไม่ เราเดือดร้อนหรือไม่ ต้องอ่านจิตของเราก่อน
ในขั้นตอนต่อไป เราสามารถที่จะทำจิตของเรานี้ให้ดำรงอยู่ในความอิสระ ไม่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งอื่นใด เมื่อเราได้ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าเรายังมีความคิดว่า การทำสมาธิต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้วิเศษเข้ามาช่วยดลจิตให้ดำเนินเข้า ไปสู่ความสงบสุข เข้าไปสู่พระนิพพาน ก็เป็นการเข้าใจผิด และผิดหลักของพระพุทธศาสนา
ดังนั้น ที่เรามาฝึกสมาธินี่ เพื่อให้จิตมีสมาธิและจิตมีพลังเข้มแข็ง มีสติขึ้นโดยลำดับ และเรายังมีภาระที่จะต้องฝึกสติและสมาธินี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับๆ จนกว่าเราจะจบการศึกษา เมื่อจบการศึกษาแล้ว เรายังจะได้ใช้กำลังสมาธิและพลังสติไปประกอบการงานตามหน้าที่ของตนๆ เราจะต้องใช้สมาธิและสติทั้งนั้น ทีนี้ สติ แปลว่า ความระลึก เมื่อเราตั้งใจนึกถึงสิ่งใดอย่างแน่วแน่ ความระลึกเป็นอาการของสติ ความแน่วแน่เป็นกำลังของสมาธิ มันไปพร้อมๆ กัน ทีนี้เราจะมีสมาธิและสติเข้มแข็ง เราต้องใช้การฝึก เพราะครูบาอาจารย์ทั้งหลายมองเห็นผลประโยชน์ดังที่กล่าวมา ท่านจึงได้นำพวกเรามาฝึกอบรมสมาธิ


หลวงพ่อเทศน์ในโครงการอบรมพัฒนาจิต ณ วัดวะภูแก้ว

อำนาจของจิต พลังจิต จิตว่าง ธาตุ ๔ และ ธาตุ ๖



ถาม : พลังจิตสามารถใช้ประโยชน์อะไรบ้าง
หลวงพ่อ : อัน นี้ก็แล้วแต่พลังจิตของเรา ถ้าเรามีพลังจิตสามารถบังคับจิตใจคนอื่นได้ มันก็เป็นไปได้ดี แต่ก็ด้วยประการใดก็ดี ผู้ที่มีสมาธิแล้วคำพูดมักจะศักดิ์สิทธิ์ สามารถที่จะโน้มน้าวจิตของผู้อื่นได้ ถ้าหากสมมติว่าเราโกรธใครสักคนหนึ่ง อย่าไปแช่งเขา ให้ทำสมาธิ ให้แผ่เมตตาให้เขามาก ๆ ในเมื่อเราแผ่เมตตาให้เขามาก ๆ มันจะเกิดผลขึ้นมา ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเขามาดีกับเรา อย่างที่ ๒ ถ้าเขาไม่ยอมมาดี เขาก็พังไปเอง เราไม่ต้องแช่ง ถ้าแช่งแล้วเราก็เป็นบาป แล้วก็ทำให้เราเสื่อมคุณธรรมด้วย
ถาม : ช่วยอธิบายคำว่า จิตว่าง หมายความว่าอย่างไร มีลักษณะอย่างไร
หลวงพ่อ : คำ ว่าจิตว่างอยู่ลึก ๆ คือ จิตหลุดพ้น อันนี้เป็นจิตหลุดพ้นจากอารมณ์สัญญา หรืออารมณ์ภายนอก แต่ถ้าหากจิตนั้นมีการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ก็มิใช่เป็นจิตหลุดพ้นจากอารมณ์ แต่เป็นจิตหลุดพ้นจากกิเลส แต่ถ้ามันว่าง ๆ มันก็หลุดพ้นอยู่เฉพาะในขณะที่อยู่ว่าง ๆ
ถ้าว่าง ๆ แล้วออกมารู้อะไร ไม่มีอาการของกิเลสเกิดขึ้น ความยินดีไม่มี ความยินร้ายไม่มี ความรัก ความชังไม่มี ความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ไม่มี อันนี้มันก็เป็นจิตหลุดพ้น แต่ถ้าออกมาแล้ว มันก็เกิดมีกิเลสความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์อยู่ รูปยังเป็นของเรา เวทนายังเป็นของเราในความรู้สึกอยู่ อันนั้นจิตมันหลุดเฉพาะในขณะที่อยู่ว่าง ๆ เป็นวิกขัมพนปหาน ข่มกิเลสด้วยกำลัง ฌานคือ สมาธิ แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็มีกิเลสอยู่อย่างเก่า
ทีนี้ถ้าเราทำจิตได้อย่างนี้แล้ว เราทำบ่อย ๆ ความว่างนี้มันจะสะสมกำลังขึ้นมา แล้วมันจะเป็นความว่างตลอดกาล แต่ความว่างของจิตในขั้นนี้ มันมีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะที่ ๑ ความว่างจากอารมณ์ คือ ไม่มีอารมณ์รู้สึก นึกคิด จิตไปตกกระแสอยู่ในความว่าง แล้วก็ว่างอยู่เฉย ๆ ว่างอีกอย่างหนึ่งนั้น ในเมื่อจิตว่างแล้วเกิดความรู้ขึ้นมา แต่ไม่ยืดถือ ไม่ติดในสิ่งนั้น อันนี้คือความว่างจากกิเลสคือความยึดถือในอารมณ์ เป็นการปล่อยวางอารมณ์ของจิต พึงเข้าใจความว่างของจิตในลักษณะ ๒ อย่างดังที่กล่าวมา
ถาม : การพิจารณาความเป็นธาตุ ๔ นั้น ใช้ได้เฉพาะกายเท่านั้นหรือ
หลวงพ่อ : การ พิจารณาความเป็นธาตุ ๔ ในเบื้องต้น ใช้ได้เฉพาะกาย คีอเรากำหนดธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในตอนนี้เราจะรู้สึกว่ากายเรามีอยู่ในตอนต้น เมื่อจิตพิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ละเอียดลงไปถึงขนาดที่ว่าจิตมองเห็นกายนี้ สลายตัวไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แล้วก็หายสาบสูญไป จิตยังเหลือแต่ความนิ่ง ว่าง สว่าง ในตอนนี้ จิตมันทิ้งวัตถุ คือธาตุ ๔ ไปแล้ว แล้วจิตจะไปอยู่กับวิญญาณธาตุ และอากาศธาตุ ความว่างเป็นอากาศธาตุ รู้เป็นวิญญาณธาตุ ตอนนี้เราพิจารณานาม นามก็คือตัวจิตที่รู้อยู่ จิตรู้อยู่เฉพาะตัวก็เป็นนาม ถ้าหากในขณะนั้น มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งผ่านเข้ามาเป็นเครื่องรู้ของจิต ก็เป็นนาม เพราะมันไม่ใช่วัตถุ เพราะฉะนั้น การพิจารณาธาตุ ๔ นี้ ถ้าพูดแต่เฉพาะธาตุ ๔ ก็ต้องพิจารณาเฉพาะ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าพิจารณาธาตุ ๖ ใช้คำว่าพิจารณาธาตุ ๖ ก็ต้องพิจารณา ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ธาตุทั้งหมดนี้มี ๖ ในเมื่อธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดับไปแล้ว อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ หายไป คำว่า อากาศ ไม่ใช่ลม เป็นช่องว่าง จิตในตอนนี้เมื่อมันถึงขั้นนี้แล้ว จะมองเห็นแต่ความว่างเปล่า ตอนนี้ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว นักกาวนาถ้าสติไม่ดีไปหลงความว่าง จะกลายเป็น โอภาสนิมิต เป็นวิปัสสนูปกิเลส ท่านให้กำหนดรู้ลงที่จิตตัวผู้รู้ ถ้ากำหนดตัวผู้รู้ได้อย่างแน่วแน่ จะไม่หลงความสว่าง หรืออากาศธาตุนั้น
ถาม : สติเป็นจิตหรือเปล่า
หลวงพ่อ : จิต เป็นแต่เพียงความรู้สึก รู้นึก รู้คิด รู้ร้อน รู้เย็น เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อาตมาขอถามดูสิว่า คนวิกลจริตเราเรียกว่าคนไม่มีสติใช่ไหม ใช่ค่ะ แล้วเขามีจิตหรือเปล่า เขายังมีจิต พอจิตเขาไม่มีสติ เขาก็กลายเป็นคนวิกลจริต สติถ้าจะว่าโดยส่วนรวมแล้ว ถ้าจิตไม่มี อะไรก็ไม่มี ธรรมก็ไม่มี สติก็ไม่มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็ไม่มี ถ้าไม่มีจิตโดยธรรมชาติของคนเราจะต้องมีส่วนประกอบ ๒ อย่าง คือ กาย จิต ทีนี้เมื่อมีจิตเพียงหนึ่ง ไม่มีกายเป็นส่วนประกอบ ทำอะไรไม่สำเร็จ แต่เมื่อมาก่อร่างเป็นตัว เป็นตน เป็นรูป เป็นร่างขึ้น มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจิตอันนี้ก็อาศัยประสาท ๕ คือ ประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย และหัวใจ ซึ่งเรียกว่า มันสมอง เป็นสื่อสัมพันธ์ ความรู้สึกนึกคิด ซึ่งแสดงอาการออกมาด้วยการคิดดี และคิดชั่ว ดังนั้น สภาพความเป็นจริงของจิตนั้นเป็นแต่เพียงรู้สึก รู้นึก รู้คิด แต่หาระเบียบไม่ได้ คิดเรื่อยเปื่อยไป แต่เมื่อมีสติเป็นเครื่องประกอบซึ่งเรียกว่า เจตสิก ที่ประกอบอยู่ในจิต ถ้าคนมีสติอ่อน ๆ ก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน ถ้าคนมีสติเข้มแข็ง ก็กลายเป็นคนมีปัญญาโดยธรรมชาติ ถ้าสติที่ได้ฝึกฝนอบรมด้วยการเพ่งพินิจในเครื่องรู้ อันเป็นอุบายให้เกิดกำลังกล้าขึ้นมา สติมีกำลังเราเรียกว่า "พลังจิต" เช่น นักใช้อำนาจจิตทั้งหลาย โดยปกติแล้วเป็นเพียงแต่ใช้การนึกอย่างเดียวแล้ว จิตจะไม่มีพลัง ต้องอาศัยการฝึกหัดเพ่งเทียน เพ่งกสิณ อะไรก็แล้วแต่ ในเมื่อจิตมีเครื่องรู้ จิตก็มีสติสัมปชัญญะดี จิตก็มีพลัง ถ้าหากอาศัยการเพ่งกสิณ ก็สามารถใช้พลังจิต ใช้ประโยชน์ในทางโลกได้ เช่น อาจใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ อะไรต่าง ๆ เช่น หมอมนต์ไสยศาสตร์ทั้งหลาย เป็นต้นว่า หมอต่อกระดูก ถ้าลำพังเพียงแต่นึกในจิตว่า ให้กระดูกต่อกัน ๆ มันก็ไม่เกิดผล เขาจึงมีคาถาอาคมท่องบ่นเป่าลงไป กระดูกสามารถต่อกันได้ คาถานั้นแหละ คือ เครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นส่วนประกอบให้จิตกับสติเกิดพลังขึ้นมา เพราะฉะนั้นจิต กับสติ เราจึงต้องเข้าใจว่า จิตนี้ เพียงแต่นึก แต่คิด แต่หาความเป็นระเบียบไม่ได้ แต่เมื่อมีสติเข้าประกอบเป็นเจตสิกแล้ว ความคิดของจิตมันจะเป็นระเบียบยิ่งขึ้นอย่างที่เรามาหัดภาวนานี้ หัดเพื่อให้จิตของเราเกิดสติ มีสติเข้มแข็งขึ้น เพื่อจะได้จัดระบบความคิดของจิตให้มีระเบียบดีขึ้น จะปราศจากกันไม่ได้
ถ้าเราตั้งใจจะฟังคำพูดของผู้พูด เมื่อจิตของเราอยู่กับคำพูด ก็เหมือนเราขาดสติ อันนี้ว่ากันโดยธรรมดา ๆ ทีนี้อีกอันหนึ่งไม่ใช่ลักษณะของการขาดสติ อันนี้เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่เคยภาวนาเป็นมาแล้ว ถ้าหากการฟังเทศน์ ถ้าจิตไม่ยอมรับ ก็เข้าไปสู่ความสงบ ในเมื่อสงบแล้ว ก็จะเข้าไปค้นคว้าตามหน้าที่ของมัน ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องขาดสติ อย่างการฟังเทศน์ ฟังไป ๆ ถ้าหากว่าภูมิของผู้เทศน์กับภูมิของเราไม่ตรงกัน จิตจะไม่เอาไหน ก็จะเข้าไปสู่ความสงบ แล้วก็เข้าไปค้นคว้าของมันเอง โดยไม่สนใจคำพูดของผู้พูด อันนี้ไม่ใช่ลักษณะของการขาดสติ แต่ถ้าเราตั้งใจให้จิตอยู่กับคำพูดของผู้พูด พอเสร็จแล้วไม่ใช่ลักษณะของความสงบ แต่มันลอยเลื่อนลืม ๆ ไป นี้เป็นลักษณะของการขาดสติ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นสิ่งมีคุณ มีประโยชน์ และมีความจริงตามขั้นภูมิของเขา หลักวิชาไสยศาสตร์ก็มีความจริงตามขั้นภูมิของเขา เช่น มนต์ต่อกระดูกที่กล่าวมาแล้ว ความจริงก็ปรากฏเป็นส่วนมาก คือ ผู้ที่เขาเรียนแล้วก็สามารถต่อกระดูกได้ แม้ในระดับชนชั้นปัญญาชน เช่น คุณหลวงศุภชลาศัยก็เก่งในวิชาต่อกระดูก อันนี้ถ้าเอาคาถามาท่องบ่นนั้นเป็นความผิดหรือไม่ ต้องอยู่ที่ความรู้จริง และความรู้เท่าเอาทันของผู้ใช้ พระพุทธเจ้าก็ใช้วิชาไสยศาสตร์ในคราวจำเป็น เคยได้ยินไหม พระพุทธเจ้าใช้วิชาไสยศาสตร์ อะไรที่เราน้อมไปเพื่อผลตอบแทนในการท่องบ่นคาถาอาคม หรืออธิษฐานจิต อันนี้คือไสยศาสตร์ และต้องการความสำเร็จ ถ้าเราไปไหว้พระ ก็เป็นไสยศาสตร์ ถ้าเราท่องบ่นเพื่อกราบไหว้ อันนี้เรียกว่าเป็นการฝึกฝนอบรมจิต เป็นพุทธศาสตร์ล้วน ๆ อาจจะเป็นคาถาในศาสนาพราหมณ์ที่เขาท่องบ่นก็ตาม แต่ถ้าเราเอามาท่องเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ให้รู้แจ้งเห็นจริงโดยไม่ต้องขออะไร อันนี้เป็นพุทธศาสตร์ เราท่อง พุทโธ พุทโธ แล้วเราขอว่าภาวนาแล้ว พอเลิกภาวนาขอให้ร่างลอยนั้น เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ พระพุทธรูปองค์เดียวนี้เป็นได้ทั้งไสยศาสตร์ และพุทธศาสตร์
ทำสมาธิก็เป็นไสยศาสตร์ เช่น พอทำสมาธิแล้ว ให้สามารถเกิดเป็นหมอดูได้ มองหาทรัพย์สมบัติ หรือใช้พลังจิตเพื่อจะใช้กดขี่ข่มเหงน้ำจิตน้ำใจของคนอื่นให้ตกมาอยู่ใน อำนาจของตน นอกจากเป็นไสยศาสตร์แล้ว ยังเป็นมิจฉาสมาธิอีก แต่ถ้าทำไปโดยไม่หวังผลอะไร คือทำด้วยใจบริสุทธิ์แล้วเป็นพุทธศาสตร์ล้วน ๆ
ไสยศาสตร์ บางคนเรียนแล้วเกิดความยุติธรรม และอยุติธรรมขึ้นมา เช่นสมมติว่า ใครก็ตามเรียนพวกเสน่ห์มหานิยม พระพุทธเจ้าว่าเป็น ดิรัจฉานวิชา เรียนเครื่องลางของขลังก็เป็น ดิรัจฉานวิชา ทำไมถึงว่าอย่างนั้น ก็ท่านไปกำหนดเอาที่ว่า เมื่อเก่งแล้วขาดศีลธรรม ไม่มีศีลห้า อย่างเรียนมนต์เสน่ห์เก่งแล้วอยากได้ลูกสาวใครก็เอาสีผึ้งไปติดเธอ ให้เธอวิ่งตาม อันนี้ไม่ยุติธรรมเป็นการกดขี่ข่มเหงคนที่เธอไม่เลื่อมใสศรัทธา กับเอาวิชาไปข่มเหงเธอ เป็นการทำเยี่ยงสัตว์ดิรัจฉาน แต่ถ้ารู้ไว้แต่ไม่ทำอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ตำหนิ การทำสมาธิ เมื่อเราทำสมาธิมาดีแล้วไม่ว่าท่องคาถาบทไหนขลังหมด เช่น คาถาต่อกระดูกบทหนึ่งว่าไว้ว่า "จัตตาโร ยถา ปัตโต เอโก ปัตโต อธิฏฐามิ" เกิดขึ้นเมื่อท้าวมหาราชทั้ง ๔ เอาบาตร ๔ ใบ ไปถวายพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้าจะอธิษฐานใช้ของใครอันใดอันหนึ่ง ก็กลัวจะเสียพระทัย จึงเอาบาตรทั้ง ๔ มารวมกันเข้า แล้วพระองก์อธิษฐานจิตว่า "จัตตาโร ยถา ปัตโตเอโก ปัตโต อธิฏฐามิ" บาตรนี้มี ๔ ใบ เราอธิษฐานจิตเพื่อให้บาตรนี้มีรวมใบเดียว นี้คือพระพุทธเจ้าใช้ไสยศาสตร์ จะมีประโยชน์ หรือ ไม่มีประโยชน์ก็ขึ้นอยู่กับขั้นภูมิของเรา ที่มีประโยชน์คือสำหรับผู้ใช้ให้เกิดศีลธรรม แต่ไปใช้ผิดศีลธรรมจนทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้วเรียกว่า ดิรัจฉานวิชา เพราะฉะนั้นวิชาอาคม หรืออาวุธ เช่น ปืน คนไม่มีศีลธรรมก็ใช้ในทางไม่ถูกต้อง
กิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองใจ แต่กิเลสก็เป็นสิ่งมีประโยชน์สำหรับคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอยาก อย่างเห็นได้ชัดในวันนี้ ที่ท่านทั้งหลายตั้งใจมาฟังเทศน์นี้ นอกจากอยากจะรู้ธรรมะแล้ว ยังอยากจะได้บุญ อยากจะไปสวรรค์ อยากจะไปนิพพาน สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของกิเลสทั้งนั้น แต่ว่าที่เรามีกิเลสนี้เป็นสิ่งกระตุ้นเตือน ความรู้สึกของเราให้เกิดความกระตือรือร้น เช่นผู้ที่จะสร้างโลก หรือสร้างหลักฐานให้มั่นคง ก็อาศัยกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตัณหานี่แหละคือความทะเยอทะยาน มันเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนจิตใจของคนให้อยากได้ อยากดี อยากเป็น ซึ่งเป็นวิสัยของฆราวาสผู้ครองเรือน ถ้าฆราวาสหมดจากกิเลสแล้วโลกจะเสื่อม ต้องรักษาความอยากเอาไว้ แต่ เมื่อเราจะใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง คือ เกิดประโยชน์แก่ตนเองด้วย แก่ผู้อื่นด้วย หมายถึงว่า ไม่ทำตัวเองให้เดือดร้อน ไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน เราก็ควรจะมีศีล เป็นขอบเขตของการใช้กิเลส ถ้าหากว่าใครจะใช้กิเลสไปในทางไหนก็ตาม ให้นึกถึงศีล ๕ ข้อ อยากรวย อย่าริเป็นขโมย อยากรวย อย่าริเป็นโจรปล้น อยากรวยอย่าฉ้อโกง โดยเอาศีลข้อ อทินนาทาน มาเป็นขอบเขต นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเพียงข้อเดียว นอกนั้นคิดเอาเอง
และอีกอันหนึ่งที่ชาวพุทธเข้าใจผิด และตำหนิพระพุทธเจ้า ซึ่งหลายปีมาแล้วได้ยินท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง เขียนบทความไปอ่านในที่ประชุมของเจ้าคณะจังหวัด ๗๑ จังหวัด สมัยนั้นมีเพียง ๗๑ จังหวัด มีข้อความตอนหนึ่งว่า คำสอนในพระพุทธศาสนา บางอย่างพระสงฆ์ไม่ควรนำมาสอนประชาชน เพราะจะทำให้ประชาชนขี้เกียจงอมืองอเท้า เช่น คำว่า สันโดษ เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าชัด ๆ คำว่า สันโดษ แปลว่าความพอ ไม่ได้หมายความว่า พอเฉพาะเท่าที่มีอยู่ แต่พอตามสติปัญญาความสามารถของตน มาไขความอยู่ตอนนี้ ใครจะมีความสามารถใช้สติปัญญาของตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง หรือส่วนรวม ขนาดไหน อย่างไร ใช้ไปเถอะ รวมแล้วคืออย่าให้เกินขอบเขตของศีลห้าก็แล้วกัน ศีลห้าข้อนี้ นอกจากเป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังเป็นอุบายตัดผลเพิ่มของบาปกรรม วันนี้เรามีศีลห้าบริบูรณ์ ถ้าเรายึดศีลห้าเป็นหลักปฏิบัติตลอดไป
บาปกรรมที่จะเพิ่มผล อันเป็นวิบากที่เราจะต้องไปรับในกาลข้างหน้านั้น มีเท่าไรก็ยุติอยู่เพียงแค่นี้ ถ้าหากเราไม่เคร่งในศีล ๕ ข้อ เราไปละเมิดข้อใดข้อหนึ่งเรียกว่า บาปเก่า แทนที่จะมีน้ำหนักเพียงกิโลเดียว ถ้าไปทำเพิ่มก็หนักเพิ่มขึ้นไปอีก ทำทีไรก็เพิ่มขึ้นทุกที ถ้าเรางดเว้นไม่ทำแล้ว ก็ยุติเพียงแค่นี้ ส่วนที่มีแล้วก็แล้วไป กาลข้างหน้าเราไม่ได้ทำ เราทำแต่ความดี ผลเพิ่มของบาปก็ไม่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น หลักการทำความดีนี้ก็ คือ เราต้อง ทำดี ทำดี ทำดี อย่างเดียวเท่านั้น ในเมื่อตั้งใจแต่จะทำดีอย่างเดียว มันก็ดีไปเรื่อย ๆ เพราะเราไม่ได้ทำความชั่วมาเป็นเครื่องถ่วงความดี
ถ้าเป็นวัตถุ บุญกับบาป เมื่อชั่งน้ำหนักก็มีน้ำหนักเท่ากัน บุญเป็นของเบา บาปเป็นของหนัก อันนี้เป็นโวหารในทางเทศน์ เป็นข้อเปรียบเทียบให้ผู้ฟังเข้าใจ การเรียนไสยศาสตร์ราศีดำ ไม่ใช่ราศีเขาดำเพราะการเรียนไสยศาสตร์ แต่ดำเพราะใช้ไสยศาสตร์ไปทำความชั่ว เรียกว่าไปทำในสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ก็เป็นบาป บาปก็ทำให้ผู้ทำนั้นหมดสง่าราศี ไสยศาสตร์มันเป็นของกลาง ๆ พูดเฉพาะหลักวิชา แต่ทำให้คนหน้าดำ หน้าแดง หรืออะไรได้ทั้งนั้น แต่ที่แน่ ๆ คือ ใช้ไสยศาสตร์ไม่ถูกทาง นั่นคือคนที่ทำความชั่วบ่อย ๆ ผิวหน้าเขาจะไม่ผ่องใส ดำ ความไม่คิดอย่างนั้น จะมีอาการอะไรเกิดขึ้นก็ตามกำหนดรู้จิตกับบริกรรมภาวนาเท่านั้น แล้วจิตก็ค่อยสงบลงไปเอง ถ้าเราไปแปลกใจหรือไปเอะใจ ทักท้วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จิตจะถอนจากสมาธิ
อาจารย์บางองค์ที่ปลุกเสกของในพาน พอปลุกเสกได้ที่แล้ว ของนั้นจะกระโดด บางทีก็กระโดดตีกัน ในสายลูกศิษย์ของอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่นนี่มีอยู่องค์หนึ่ง แต่องค์นั้นไม่ได้ตั้งใจจะปลุกเสก ไม่ได้เรียนไสยศาสตร์อะไร ถ้าท่านภาวนาจิตสงบลงไปแล้ว ถ้วยที่อยู่ใกล้ ๆ ตัวท่าน ห่างประมาณ ๑ เมตร กระโดดตีกันโผงผางขึ้นมา เป็นแบบนี้ก็มีได้ อำนาจของจิตเป็นสิ่งที่มีพลังมาก พระพุทธเจ้าจึงกำหนดขอบเขตเอาไว้ว่า มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ การเริ่มต้นด้วยการภาวนานี้ ก็จะให้มีศีลและเจริญเมตตา เพื่อฝึกหัดจิตของผู้ภาวนาให้มีความรู้สึกละอายต่อบาปอกุศล
http://www24.brinkster.com/thaniyo/thaniyodham.html

อัสสาสะ - ปัสสาสะ


(การหายใจเข้า - การหายใจออก)

พระเทพสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม)

เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีและเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน

อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

พสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 17603 โดย: หนุ่มน้อย 24 พ.ย. 48

การเดินจงกรมนี้ ขอให้ญาติโยมเดินให้ช้าที่สุด ก้าวขวาย่างหนอ ย่างไปแล้วหยุดหายใจ แล้วก็จะยกเท้าซ้าย มันจะมีน้ำหนักยกขึ้น ซ้ายมันจะกดทางขวา "ซ้ายย่าง" ขณะนั้นมันจะกดข้างขวาเข้าไว้ "หนอ" ลงซ้าย กระเบนเหน็บถึงปลายเท้ามันจะตึง จิตจะเป็นกุศล แล้วเดินจงกรมให้ช้า ถ้าเพ่งภาวนาอยู่ จิตจะไม่ฟุ้งซ่านเลย จิตมันจะไปถ่วงอยู่ที่ปลายเท้า ก็ทำให้อวัยวะปกติ

การเดินจงกรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ ในหลักสูตรของสติปัฏฐาน ๔ ถ้าเราเดินมีสติดี รู้ตัวขณะเดิน อวัยวะจะเข้าไปสู่สภาวะแห่งความเป็นปกติ ท้องจะเคลื่อนย้าย ท้องคือศูนย์สะดือที่ระหว่างท้องจะทำงาน การเดินจงกรมทำให้ช้า มันจะถ่วงอวัยวะไว้ดีมาก ท้องจะทำงาน ธาตุทั้งสี่ ที่เรียกว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็จะปกติ พยายามเดินให้ช้าที่สุด ทำให้จิตนี้ไม่ออกไปข้างนอก มันอยู่ที่ปลายเท้า แล้วก็ "ยืนหนอ" ๕ ครั้ง

วิธีปฏิบัตินั้นพูดกันมานานแล้วก็จริง เวลาจิตที่เรียกว่า คาบลม อัสสาสะ ปัสสาสะ อยู่ตรงนี้เองนะ อัสสาสะ-ปัสสาสะ หมายความว่ากระไร เคยถามผู้รู้เชี่ยวชาญวิชาการ ตอบไม่ได้เลย คำว่ายืนหนอ ยืนอย่างไร สำรวมปักจิตไว้ที่ปลายผมลงไปนั้น ก็มีการหายใจเข้าออกให้ได้จังหวะ เช่นสำรวมเท้าขึ้นมา หายใจอย่างไร "ยืนหนอ" หายใจขึ้น ยืนลงไปหายใจอย่างไร หายใจเข้า ยืนหนอขอให้ทำให้ได้ ยืนอีกหายใจออกให้ยาว เรียกว่าอัสสาสะ-ปัสสาสะให้ยาย หายใจยาว แล้วจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน

นี้พูดกันมานาน เท่าที่ถามโยม โยมตอบไม่ได้ แสดงว่าทำไม่ได้ตามจุดที่สอน ตรงนี้สำคัญมาก "ยืนหนอ" หายใจเข้าไว้ ยืนนี่ตั้งแต่ศีรษะให้หายใจเข้า หายใจเข้าไปเลย ให้ยาวไปถึงเท้า ยืนหายใจเข้ายาว ๆ สูดยาว ๆ อย่างที่ไสยศาสตร์เขาใช้กัน เรียกว่า คาบลม

คาบลมสำคัญมาก คาบลมนี่อยู่ในจุดสมาธิ เรียกว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำมา แต่ทุกคนหรือพระอาจารย์ที่ทำไม่เป็น ก็สอนกันอย่างนั้น หายใจเข้ายาว ๆ ไปถึงปลายเท้า แล้วก็ยืนสูดหายใจเข้ามาให้ยาวไปถึงกระหม่อม อัสสาสะ-ปัสสาสะ แล้วจิตจะเป็นกุศล ทำให้ยาวรับรองอารมณ์ของโยมที่เคยฉุนเฉียว จะลดลงไปเลย แล้วก็จิตจะไม่ฟุ้งซ่านด้าย โรคภัยไข้เจ็บมันจะค่อยเบา อวัยวะเลือดลมจะเดินได้อย่างปกติถึงศีรษะลงไปสู่ปลายเท้า ตจปัญจกกรรมฐานข้อนี้เอง พระพุทธเจ้าทรงสอนนักสอนหนา มูลกรรมฐานอยู่ตรงนี้ มูลฐานของชีวิตอยู่ตรงนี้ หายใจยาว ๆ ยืนหนอลงไป หายใจออก ยืนหนออย่างนี้เป็นต้น

อาตมาไปฝึกหัดสมาธิ หุงน้ำมันมนต์ กับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุธยา ไปทำมาเดือนแล้วไม่ได้ ไม่มีอภินิหารของน้ำมัน เลยวันสุดท้ายจะขอลาท่านมาบอก "หลวงพ่อ ผมไม่ได้ผลเลย" คาถาเสกน้ำมันพุทธมนต์ก็ไม่มีอะไร คาถาพุทธคุณ ๑๐๘ พาหุงมหากานี่ แล้ว อะสังวิสุโล ปุตสะพุทภะ มะอะอุ อุอะมะ อะมะอุ อะไรทำนองนี้ ทำไม่ได้ น้ำมันเดือด แล้วจุ่มก็ไม่ได้ ใช้น้ำมันเปล่า ๆ ก่อน ใช้น้ำร้อนเดือด ๆ จุ่มก็พองหมด ลิ้นพองหมด ทำอย่างไร อ๋อ! ตรงนี้เอง อัสสาสะ-ปัสสาสะ ถึงจะเกิดสมาธิ ถึงจะเกิดจิตเป็นกุศล นี่หลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านก็สิ้นชีวิตไปนานแล้ว หลวงพ่อจาด จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่ออินทร์ หลวงพ่อเรือง หลวงพ่อเดิม อ๋อ! ใช้อย่างนี้เอง แล้วอาตมาก็ได้จุด

พอได้จุด ลองทำคืนนั้น หนึ่งเดือนที่ไปอยู่กับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง ก็ลงมือทำตอนตีหนึ่ง หายใจเข้า อ๋อ! ได้เลย หายใจออก ก็คาบลมมันก็เพ่งไปตามสมาธิถึงจุดนั้นเลย มันมีพลังสูงมาก มีพลังสูง อ๋อ! ได้ตรงนี้เอง เราว่าคาถาให้มันจบ มันก็ไม่ได้ผล เช่นยกตัวอย่าง หลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า เสกใบมะขามเป็นตัวต่อ เสกเข้าไปเถอะ ว่าคาถาถูกมันก็ไม่ได้ ไม่เท่ากัน เพราะอัสสาสะ-ปัสสาสะ ลมหายใจเข้าออกไม่เป็นคาบ ที่โบราณบอกคาบลม เช่น นะโมพุทธายะ หายใจออกไปให้จบนะโมพุทธายะ พอยะธาพุทธโมนะ หายใจเข้าให้ได้จบ อ๋อ! นี่อัสสาสะ-ปัสสาสะ มันจึงจะมีอภินิหารของอารมณ์ จิตถึงจะเป็นกุศล เท่าที่ได้ฟังพระอาจารย์สอนมาหลายองค์ท่านทำไม่ได้ ท่านก็ทำ บางทีเราทำขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ปากมันว่า จิตมันไม่ว่าอย่างนี้เอง จิตมันไม่ไป จิตไม่เป็นกุศล จึงไม่ได้ผลโดยวิธีนี้ประการหนึ่ง จึงไม่สามารถจะอดทนได้ มีหลายนัยมีความหมายอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปนะ ก็ขอให้ตั้งใจจริง ๆ มันจะได้ผล โรคภัยไข้เจ็บที่ว่าแบ่งโรคได้ ฝากโรคเก็บไว้ก่อน แล้วตัวเราก็ไปโดยไม่ต้องเก็บ นี่ใครเป็นคนทำได้ นี่ เจ้าคุณอุบาลีสิริจันโท วัดบรมนิวาส ที่ท่านสิ้นชีวิตไปนานแล้ว เป็นคนทำได้ อันนี้ก็ได้ผลอย่างนี้ อันนี้ขอให้ญาติโยมตั้งใจจริง ๆ ต่อไป เช่นโยมร้องไห้เก่ง ๆ ใจน้อยเศร้าใจ น้อยใจ มันจะไม่มีเพราะหายใจยาว ๆ ที่อาตมาบอกโยมให้หายใจยาว ๆ โยมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนี้จะเน้นหลักหนักไปทางนี้ให้มาก จะไม่พูดกันลามปาม ต้องทำแล้วให้ได้ด้วยโดยวิธีนี้

ดังนั้น "ยืนหนอ" กว่าอาตมาจะทำได้ ๑๐ ปี ที่ว่ากว่าจะรู้จากพระอุปัชฌาย์ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา ก็คือ "ยืนหนอ" ๕ ครั้ง นี่เอง กว่าจะรู้เรื่องใช้เวลานานเหลือเกิน "ยืน" หายใจยาว ๆ ฝึกตรงนี้หายใจลงไป สูดหายใจยืนหนอหายใจลงไปถึงเท้า หยุดลมหายใจ สูดลมหายใจสูดเข้ายาว ๆ

"ยืน" แล้ว ก็ "หนอ" ว่าในใจนะ ไอ้ปากว่านั่นมันฝึก ที่ครูเขาบอกว่า "ยืน...หนอ..." นี่ฝึกให้เราทำตามหลักวิชานี้ แล้วคนฝึกไม่เป็น ก็ว่าปากเอาเอาเลย ให้ว่าในใจว่า ยืน...หนอ... อย่างนั้นเอง ถ้าจิตไปได้สักครั้งหนึ่งนะ รู้ภาวะของเราเลย ยืนหายใจยาว ๆ ยืนอย่าให้ขาดลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ

ถ้าดูในประวัติพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาเคยไปถามพระอาจารย์กรรมฐานหลายองค์ว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะ ทำอย่างไรครับ ก็ได้รับคำตอบว่า ก็อัดลม อั้นลม อั้นที่ไหนเล่า ไม่ใช่อั้น อัสสาสะ-ปัสสาสะ คือคาบลม พระอาจารย์ไสยศาสตร์ท่านว่าอย่างนี้ บางทีคาถายาวตั้งวา ก็เรากว่าจะว่าจบนี่ก็หายใจตั้งหลายครั้ง แต่ข้อเท็จจริงหายใจครั้งเดียวจบแล้ว คือมันแม่น มันจำแม่น พรวดเดียวจบแล้ว หายใจออกไปหนึ่งจบ หายใจเข้ามาพรวดออกไปหนึ่งจบ มันจะมีพลังจิต อัสสาสะ-ปัสสาสะ ไม่ใช่ไปอั้นลมหายใจ บางคนตอบไม่ได้เลย เพราะทำไม่ได้ อันนี้สำคัญมาก ไม่ใช่ไปนั่งกรรมฐานเสร็จแล้วเราก็ไปสอนกัน อันนี้เราก็เน้นหลักหนักไปทางนี้ให้มาก

ยกตัวอย่าง อาตมาไปเรียนมากับ หลวงพ่อลี เคยตามท่านไปธุดงค์ กว่าจะรู้เรื่องนานเหมือนกัน ท่านบอกว่าอยากจะสะเดาะลูกกุญแจไหมเล่า เป่าลูกกุญแจให้หลุด ก็บอกท่านว่า "อยากครับ ทำอย่างไรครับ" ต้องใช้จิต เอาจิตไปไข เหมือนเอาลูกกุญแจไปไข โยมมีปัญหาในใจ เอาลูกกุญแจไขจิต ให้มันหลุด จิตนี่เป็นลูกดอกกุญแจไขปัญหา ลูกกุญแจ คือ อะไร คือ สติ ไขออกทุกราย คือแก้ปัญหา ไขปัญหา ไขความแก้ปัญหาชีวิตได้ ไม่ต้องไปถามหมอดูแล้ว อยู่ตรงนี้ คนที่ไปหาหมอดูคือคนโง่ โง่ที่สุด แก้ไขปัญหาไม่ได้ ไปหาหมอดูมากเท่าไร หาเจ้าเข้าทรงมากเท่าไร มีปัญหามากเท่านั้น มีปัญหาจริง ๆ

มาพูดให้เข้าใจ เดินจงกรมให้ช้าที่สุด เหมือนคนตาย เวลาจะ "ขวา...ย่าง" ไปกว่าจะลง "หนอ" มันจะถ่วงซ้าย นี่เห็นไหม เคยสังเกตไหม นี่ถ่วงไว้มันจะตึงเป๋งเลย ให้ช้า ขวาย่างไป ขาจะสั่นปั๊บ ๆๆ สติดีมันจะไม่สั่น มันจะตึงเปรี๊ยะ มันจะโน้มลงไป เวลาซ้ายจะย่าง ซ้ายมันจะยก มันจะหนักเข้าไปทางขวา แล้วเวลาย่างไปนี่ อวัยวะมันจะตั้งอย่างปกติไม่ได้ก้าวไป สติดี มันจะตั้งอยู่อย่างปกติ โรคจะลดน้อยลงไป โรคภัยไข้เจ็บในตัว มันจะค่อย ๆ หาย เส้นมันจะยึด แล้วก็หย่อนด้วยสภาวธรรม จากสติสัมปชัญญะนั่นเอง มันจะบอกชัดเลยนะ ขอให้เดินช้า ๆ อย่าเดินไวมันจะถ่วงซ้ายถ่วงขวาอย่างไร เดี๋ยวจะเห็นชัดในสภาวธรรม มันจะตึงไปหมด ปวดรวดร้าวสกลกาย มันสามารถจะมีอานิสงส์ยืดยาว เดินทางไกลได้โดยไม่เหนื่อย โรคภัยไข้เจ็บ อาพาธน้อยจริง ๆ เลือดลมจะเดินสะดวก คนที่เลือดลมไม่ดี ยกตัวอย่างพวกสาว ๆ ขอประทานโทษ ขออนุญาตกล่าว ประจำเดือนไม่ดี ปวดท้องเก่งนัก ปวดหัว เดินจงกรมช้า ๆ เดินให้มาก ๆ รับรองปวดท่อง ปวดประจำเดือน จะไม่เป็นต่อไป บางคนก็ไม่เอา เดินกันจ้ำ ๆ อย่างนั้นจะไปหายอะไร เพราะสติไม่ดี จิตมันไม่ไข ความมันจะไม่แจ้ง แสดงออกไม่ได้ ธรรมะมันจะไม่แดงแจ๋ อะไรทำนองนี้ ที่ฝากความเจ็บไว้ก่อนเอาตัวไปนะ แน่นอนนี่เรื่องจริง แยกเวทนาออกเป็นสัดส่วนได้เมื่อไรรับรองได้เลย อาตมาเคยถามมาหลายพระอาจารย์

ทำอัสสาสะ-ปัสสาสะให้ได้ ใครทำได้ โทรจิตได้ มันอยู่ตรงนี้ มันมีเทคนิคอยู่ตรงนี้ พระอาจารย์กรรมทฐานยังทำไม่ได้กันเยอะ เอาวิชาการมาสอนกันเยอะ การอยู่ปริวาสกรรม วัดโน้นวัดนี้ทำกันใหญ่โต น่าสงสารและเสียดายมาก มีจุดมุ่งหมายอยู่ตรงนี้เอง อันนี้อย่าลืมนะโยมนะ หายใจเข้ายาว ๆ จากกระหม่อมนี่เอง กระหม่อมนี่เป็นเซลล์ บางคนกระหม่อมบาง บางคนก็เซลล์บาง จะกระหม่อมอ่อน รับรองไหวติงง่ายจังเลย อยู่ตรงนี้มูลกรรมฐาน พระพุทธเจ้าละเอียดมาก แต่เราทำกันไม่ได้ พระอาจารย์กรรมฐานไม่รู้ กดตรงนี้ให้แรง ยืนกดอัสสาสะ-ปัสสาสะ "ยืน" หายใจเข้าไว้ "ยืนหนอ" พอสำรวมปลายเท้า หายใจออก" "ยืน" หายใจออกไป"หนอ" พอดีเลย ถ้าทำได้คล่องแคล่วว่องไวดี รับรอง อัสสาสะ-ปัสสาสะได้ สามารถจะส่งกระแสจิตได้ ตรงนี้นะอาตมาไม่ค่อยจะพูดให้ฟัง เพราะพูดแล้วไม่เข้าใจ ต้องทำให้ช่ำชองก่อนแล้วค่อยมาหัดเทคนิคตรงนี้ ได้ตรงนี้ที รับรองแยกเวทนาได้ ส่งแระแสจิตได้โดยวิธีนี้นะ หัดไว้เสียให้ได้ เรื่องไสยศาสตร์ก็เป็นเรื่องเล็กไป อาตมาไปฝึกกับหลวงพ่อลี ท่านบอกว่าอย่างเป่าลูกกุญแจ ที่คู่กับอาตมาก็คือพ.อ.ชม สุคันธรัตน์ แต่อาตมาเลิกแล้ว พ.อ.ชมท่านรู้ว่าอาตมาทำอะไรได้บ้าง ไปฝึกกันมาแล้ว ก็อัสสาสะ-ปัสสาสะนี่เอง มีอภินิหารทางโทรจิต

ยกตัวอย่างให้มัดตัว เวลาจะฝึกเป่าลูกกุญแจให้มัดตัวก่อน เอาเชือกมันขามันแขนก่อน แล้วเอาไปทิ้งไว้ในป่าช้า ให้ความกลัวหายก่อน ถ้าคนไหนยังกลัวโน่นกลัวนี่ไม่ขลังนะ ไม่ขลัง แล้วทำอย่างไร คาถาไม่มีอะไร นวรหคุณ ๙ ว่าถอยหลังกลับ ว่าคาบลมอย่างนี้เอง หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ พอหายใจเข้าแล้วอย่างมัดตัวนี่ มัดหลายเงื่อนกันจังเลย จะแก้อย่างไรได้ นี่ยกตัวอย่างให้โยมฟัง หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ พอพลังจิตมันสูง อัสสาสะ-ปัสสาสะมันสูง ความดันเพดาน เพดานนี้ตัน กระหม่อมจะแข็ง มาจากไหน มาจาก"ยืนหนอ" นี่เอง ยืนหนอพอหายใจเข้าเป็นคาบลม หายใจออกเป็นคาบลม สมาธิมันจะไปกับลมหายใจ มันจะพุ่งไปที่มือนี่แล้วมันจะหลุดไปเองเลย เชือกที่ผูกนี่หลุดเลย อย่างนี้เองแต่ทุกคนไม่รู้ ไปเรียนคาถาให้ว่าอีกกี่หมื่นปีก็ไม่สำเร็จ มันอยู่ที่คาบลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ อานาปานสติ ที่พระพุทธเจ้าสอนก็ได้จากสติปัฏฐาน ๔ ที่เราต้องทำกัน ถ้าหากนอกประเด็นที่ทำกัน ไม่ใช่ "พองหนอ-ยุบหนอ"

ถ้า "ยืนหนอ" ได้แล้วได้หมด ได้อย่างไร ขณะนั้นโยมกำลังคิดอะไรไม่ออก เสียใจ มันเกิดมีฟุ้งซ่านเข้ามาในใจ นั่งตรงไหนก็ได้ หายใจยาว ๆ จากจมูกถึงสะดือเท่านั้น และง่ายกว่ายืนหนอ ยืนหนอนี่ยาก ทำยืนหนอได้แล้ว ที่สั้น ๆ แค่จมูกถึงสะดือทำไมจะทำไม่ได้ หายใจยาว ๆ ไปถึงสะดือ หายใจออกไปถึงจมูก แล้วเอาจิตปักไว้ที่ลิ้นปี่ ตั้งสติให้มั่น คิดหนอ เสียใจหนอ จะถูกไขออกมาด้วยลูกกุญแจ เสียใจเรื่องนี้แก้อย่างนั้น นี่แก้ได้ผลอย่างนี้ ได้มาจากยืนหนอนะ

คาบลม มันมีพลังจิตสูง ผลพลอยได้เยอะหลายอย่าง ยกตัวอย่าง เราหลับตานึกถึงนาย ก. นาง ข. อยู่ตรงไหนนึกไว้ อัสสาสะ-ปัสสาสะมันมาแล้ว มันจะพุ่งไปตามลมหายใจ ถึงนาย ก. นาง ข. พอดี ให้เขาอยู่เป็นเป็นสุข ได้ผลเลยใจ จิตจะไม่เป็นอกุศลกรรม นี่วิธีนี้ ดังนั้นยืนหนอ ขอให้ทำช้า ๆ ไว้ หายใจยาว ๆ ไว

บางทีที่อาตมากล่าวไว้ ถีบจักรยานช้า ๆ ถีบยาก มันคอยจะล้มลงไป แต่ถ้าถีบยาก ๆ ได้แล้ว ไม่ล้มแล้ว เรื่องเร็วเรื่องเล็ก อายุมากแล้วเดินอย่างไรก็ไม่ล้ม ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์

พองหนอ-ยุบหนอ" ได้จังหวะ ลมหายใจอัสสาสะ-ปัสสาสะ จาก "ยืนหนอ" รับรองได้เลย โรคภัยไข้เจ็บไม่มี อย่าลืมนะคนที่มีโรคนั้นมาจากท้องนะ อวัยวะไม่ได้ตั้งอยู่ในความปกติ นี่อาตมาไม่ได้อธิบายลึกซึ้ง เราจะเห็นได้ว่า พวกฝรั่งเขาจะเอาศพไปไหน เขาจะผ่าท้องทิ้งเลยนะ จะล้างท้องให้หมดไปเลย แล้วเขาเอาพวกยาฉุน ๆ ยัดในท้องแล้วเย็บ รับรองศพไม่เน่าเลย คนเราจะเน่า เน่าที่ท้องนะ คนที่ธาตุไม่ปกติมักมีโรคแสดงออกทางกายชัด ถ้าท้องปกติจะไม่มีโรคนะ คือพองหนอยุบหนอ นี่สำคัญมากนะ ท้องนี่มีประโยชน์เหลือเกินนะ

เพราะฉะนั้น จะเสกอะไรต้องคาบลมอัสสาสะ-ปัสสาสะนี่ มีความหมายมาก บางทีน้ำกร่อย ๆ นี่ หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ โดยไม่ต้องใช้คาถาเลย อัสสาสะ-ปัสสาสะ เพ่งจิตออกไปตามลมหายใจ มันจะมีพลังที่น้ำ น้ำจะกลายรสทันที ใบพลูเอามา ๓ ใบ ใบพลูนี่มันเผ็ด ลองดูเลย หายใจเข้า ๑ จบ อัส-ปัส หายใจออก ถ้าเราจะใช้คาถาก็ได้ ใช้จิตเพ่งไปตามคาบลมให้ได้ระยะยาวไปที่ใบพลู ใบพลูจะเปรี้ยวทันที สูงกว่านั้นใบพลูจะหวาน นี่มาจากกรรมฐานทั้งหมด บางคนไม่รู้ รู้ไม่จริง คาถาโบราณเขาว่าอย่างนี้ ว่า คาถา อัส-ปัส อั้นลมแล้วเอาลิ้นกดเพดาน เขาว่าปืนยิงไม่ออก พลุยิงไม่ได้ จริงเลยเห็นจริง ถ้าจิตสงบนะ เป็นได้เลยนะ ถ้าว่าแต่คาถาหมื่นจบก็ไม่มีอะไร พลุมันก็ดัง ตะเกียงมันก็ไม่ดับ มันมีความหมายมาก ท่านครูบาศรีวิชัย ทำได้เก่งมาก ."ทีนี้เราทิ้งแล้ว เอาเรื่องจริงที่ทำให้พ้นทุกข์ดีกว่า "ทำไมจะไปตักจุดน้ำอยู่ต่อไปเล่า มีความหมายมาก ไม่ต้องไปเป่ายันต์ เป่าอะไรหรอก ใช้จิตเป็นกุศล แผ่เมตตาไปก็ใช้ได้

ดูอย่าง หลวงพ่อมี ท่านจะตายแล้ว เอ้า! ช่วยท่านหน่อย ถ้าจำเป็นจะตายก็ให้มีสติหน่อย รับสังฆทานก่อน แผ่เมตตาก่อน แล้วขอไปเยี่ยมท่าน แล้วแผ่เมตตา"อัส-ปัส" ลงไป ท่านลืมตาเลย พอตกกลางคืน พระอุปัฏฐากที่อยู่ที่วัดไม่ได้เจอกัน ท่านฝันว่า อาตมาไปบีบให้ ค่อยยังชั่วเลย ออกจากห้องไอ.ซี.ยู. เลยไปไว้ในห้องพักฟื้น นี่อายุ ๘๔ แล้ว นี่ทำให้ได้อย่างนี้ บางทีจะโทรจิตให้ลูกให้หลานอยู่ไกลแสนไกล ให้ทำอย่างนี้แผ่เมตตาออกไป มันมีความหมายมาก ขอให้ทำให้ได้นะ

โดย: หนุ่มน้อย 24 พ.ย. 48

พลังสมาธิกับการบำบัดมะเร็ง



โดย : พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ
ขอคาราวะเพื่อนเพื่อน สหธรรมมิตร ขอเจริญสุขท่านผู้สนใจใฝ่ธรรมะทุกท่าน ได้รับอาราธนาให้มาพูด "พลังสมาธิมหัศจรรย์ทางจิตฯ" ร่วมกับท่านนายแพทย์ชินโอสถ หัสบำเรอ รู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาในงานนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของแพทย์ แต่มีพระมามีส่วนร่วมด้วย ทำให้ความหวัง ที่ว่าคนเรานั้นมีอาหาร 2 อย่างพร้อมกัน คือ อาหารกาย กับอาหารใจ เดี๋ยวนี้เรามัวแต่ให้อาหารกาย แล้วก็ลืมอาหารใจ บอกว่าให้สวดมนต์วันละนิดวันละหน่อยก็อ้างว่าไม่มีเวลา จะมีเวลาก็ต่อเมื่อนอนบนเตียงคนป่วย แต่แล้วก็สวดไม่ได้เสียแล้ว ไม่มีเสียงที่จะสวด เพราะว่าการสวดมนต์มันต้องออกเสียงนะ ก็ขอเฉลยปัญหาที่บางท่านไม่เข้าใจ มักจะถามว่าสวดมนต์ออกเสียงไหม เวลาเราไปทำงานกลับมา วันนี้เจ้านายสวดใหญ่เลยไปทำงาน เจ้านายสวดออกเสียงดังมาก ฉะนั้นอันนี้แหละ เรื่องการสวดมนต์ ซึ่งเรียกว่าเป็นการให้อาหารใจ พวกเราละเลยกันมาก ก็ขอกระตุ้นให้พวกเราทั้งหลายระลึกว่าเรานะมีทั้งกายและใจ ฝรั่งเขาเดี๋ยวนี้เขาสนในมากในเรื่องการสวดมนต์ อันเนื่องมาจากผลการวิจัยของสองกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือกลุ่มของ Dr. Richard Gerber M.D. ที่ท่านเอาผลงานการวิจัยเรื่องการสวดมนต์ คือที่ใดมีการเจ็บป่วยด้วยโรคสารพัดหรือโรคระบาด เขาก็จัดกลุ่มไปสวดมนต์ ส่งพลังจิตไปยังที่มีการเจ็บป่วย ก็ปรากฏว่าได้ผล และที่ใดมีอาญากรรมสูง มีการทำร้าย ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เขาก็ส่งกลุ่มไปสวดมนต์ ก็ปรากฏว่าได้ผลทำให้อาญากรรมหรือความรุนแรงลดลง แล้วกลุ่มของ Dr. Richard Gerber M.D นี้ก็เขียนหนังสือ มีชื่อว่า Vibrational Medicine และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มของ Dr. Andrew Weil M.D. กลุ่มนี้ ก็สนใจในการที่จะช่วยให้มนุษย์เรามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ก็ทำการวิจัยสรุปว่าก็ได้ผลสรุปว่า ถ้าใครฝึกลมหายใจให้ยาว 1 นาที หายใจไม่เกิน 6 ครั้ง คือ หายใจเข้า-ออกนับหนึ่ง เข้า-ออกนับสอง เข้า-ออกนับสาม เข้า-ออกนับสี่ เข้า-ออกนับห้า เข้า-ออกนับหก ผลที่จะได้รับทันทีก็คือ

1. จะไม่มีปัญหาในเรื่องปวดศีรษะหรือไมเกรน

2. ไม่มีปัญหาในเรื่องความเครียด

3. ไม่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ

4. ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อย

5. ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบขับถ่าย

หาก ต้องการจะเข้าสมาธิ หรือเข้าฌานก็สามารถเข้าสมาธิเข้าฌานได้ เมื่อเข้าสมาธิได้ไม่ต้องถึงขั้นสูงสุดก็สามารถที่จะให้ชีวิตมีความสุขก็คือ เมื่อคนเข้าสมาธิแล้วจะเกิดปีติ ตัวปีตินี้เองจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นต่อมเอ็นโดไครน์ให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟีน อันนี้เป็นผลงานที่สองกลุ่มนี้ได้ร่วมกัน เป็นการสนับสนุนในเรื่องการทำสมาธิ การทำสมาธิมีสองแบบ แบบเงียบ กับแบบออกเสียง คือเสียงสวดมนต์ภาวนา ถ้าจะถามว่าสองกลุ่มสองวิธีการนี้ วิธีการไหนได้ผลดีกว่าในการจะรักษาโรค สวดมนต์ภาวนาได้ผลมากกว่า เพราะมีการวิจัยมาแล้ว เขาเอาน้ำไปทำให้แข็ง ให้เป็นเกิดให้ตกผลึกแล้วก็เอามาถ่ายรูป ถ่ายอันแรกไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐาน หรือไม่แช่งไม่ด่า มันก็เป็นปกติ อันที่สอง สวดมนต์ให้ก็ปรากฏว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นมามีพลังอยู่ในตัวก็คือมีสีขาวกับสี ม่วง ซึ่งเป็นสีที่มีพลัง อย่างถ้าใครเรียนในเรื่องพลังออร่า หรือพลังรังษี สีม่วงนี้สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิดแม้แต่มะเร็งก็รักษาหายได้ แล้วสีขาวนี่เป็นสีแห่งอภิญญาสีแห่งอิทธิฤทธิ์ ฉะนั้นการสวดมนต์ทำให้เกิดสีม่วง สีขาว พร้อมกับลวดลายที่สวยงาม แล้วรองลงมาก็คือภาวนาเงียบ...

...สิ่งใดก็ตามที่เราคิด มันเริ่มที่จะทำให้จิตของเราได้รับผลร้าย ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสในอาทิตตปริยายสูตรว่า ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ มันมีความร้อนแรงและมีผลร้ายแรงมาก พระอาทิตย์ซึ่งถือว่าร้อนก็ยังไม่เท่าความร้อนของไฟราคะ โทสะ โมหะ ไฟพระอาทิตย์เผาแล้วยังมีโอกาสไปเกิดได้ทันที แต่ไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ เผาแล้วไม่มีโอกาสได้เกิดเป็นร้อยเป็นพันหรืออาจเป็นหมื่นปี และที่เข้าสมาธิไม่ได้เพราะนิวรณ์ คือ จิตไม่ว่าง ไม่ว่างจากนิวรณ์ คือ "กามฉันทพยาบาทตินมิตตังอุจวิอิจา" ถ้าเป็นภาษาไทย คือ เรื่องความรัก ความชัง ยินดียินร้าย ความง่วงซึมสลดหดหู่ใจ ท้อแท้ใจ ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย อันนี้แหละจิตไม่ว่าง ถ้าใครไม่ว่าจะทำอะไร ทำด้วยจิตไม่ว่างก็จะไม่มีผลสำเร็จ มิหนำซ้ำทำให้เกิดผลเสียหายด้วย อย่างที่ฝรั่งท่านหนึ่งได้สอนไว้ ใคร่ที่จะนำมาอ้าง คือ Dr. Joseph Murphy D.R.S., PH.D, LL.D ที่ท่านเขียนหนังสือว่า "The Power of Your Subconscious Mind" หนังสือเล่มนี้ก็แปลเป็นภาษาไทยแล้วว่า การที่เราจะสำเร็จ ไม่ว่าเรื่องอะไร แม้แต่เรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเราคิดแบบ Positive หายและทำอะไรก็สำเร็จ แต่ถ้าตรงกันข้าม ถ้าเราคิดแบบ Negative คือคิดแบบคนมีนิวรณ์นั่นเอง ถ้าจะว่าไปก็จะไม่สำเร็จและโรคภัยไข้เจ็บก็กำเริบ พอดีได้รับอาราธนาไปบรรยายที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ท่านที่เป็นมะเร็งและดูแลเรื่องของมะเร็ง วันนั้นคุณหมออารีย์ท่านให้หลักการของท่านที่เรียกว่า 7 อ. ว่าการที่จะเข้าสมาธิ เข้าฌาน หรือการที่จะช่วยให้สุขภาพพลานามัยดี ต้องปฏิบัติตามนิสัย 4 กับการสวดมนต์ แต่มันก็ไม่ค่อยทันสมัย เมื่อคุณหมออารีย์ให้ 7 อ. ก็เลยคิดขึ้นมา เอ๊ะ...ที่เราสอน มี 9 อ. จะขอนำเสนอในที่นี้เพื่อเป็นพื้นฐานในการที่จะฝึกจิตให้เข้าสมาธิได้

อ. ที่ 1 ต้องมีความอดทน อดกลั้น มนุษย์ของเราไม่มีสัญชาตญาณ ถ้าเอามนุษย์ไปเดิน 4 ขา เหมือนสุนัข ก็จะเดิน 4 ขา เหมือนสุนัข เห่าเหมือนสุนัข ถ้าเอามนุษย์ไปอยู่กับลิงก็จะปีนต้นไม้เก่งเหมือนลิง และพูดได้แต่เสียง คร่อก...คร่อก... มนุษย์จะสำเร็จทุกวิชาการที่ตัวต้องการต้องมีการฝึก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทันโตเสถโถมนุษย์เสสุ" จะเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับการฝึกนี่เอง และโลโก้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีว่า "อัตตานัง ทมยันติปัณฑิตา" จะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับการฝึก ฉะนั้นการที่เราจะให้มีสุขภาพพลานามัยดี จะสำเร็จไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องขึ้นอยู่กับการฝึก และอันนี้เองเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสฝากไว้ว่า "ขันตีปรมัง ตโปตีติขัง" ว่าเราต้องมีความอดทนอดกลั้นในการฝึกตัวเอง ฝึกอะไร

อ.ที่ 2 เรื่องอาหาร ท่านที่เจ็บป่วยแล้วอย่าตามใจลิ้น อย่าตามใจปาก อาหารที่เอร็ดอร่อย อันนั้นแหละมีสารปรุงแต่งให้เกิดพิษภัยอันตรายต่อท่าน อาหารที่จะมีประโยชน์ ก็คืออาหารที่เป็นธรรมชาติ ที่ไม่มีพิษตกค้างหรือไม่มีภัยอันตรายอะไร อันนี้ท่านทั้งหลายคงรู้ดี จะไม่ขอพูดอะไรมาก

อ.ที่ 3 คือ อากาศบริสุทธิ์ คำว่าอากาศบริสุทธิ์นี้จำเป็นมาก เพราะกระบวนการที่จะแปรสภาพอาหารเป็นพลังงาน เราต้องการออกซิเจนเข้าไปเพื่อช่วยกระบวนการสันดาปให้สมบูรณ์ ถ้าได้อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ การแปรสภาพอาหารเป็นพลังงานมันก็ไม่สมบูรณ์ อันนี้เองที่ทำให้สุขภาพไม่ค่อยดี และโดยเฉพาะคนที่เจ็บป่วย ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องรับอากาศที่ดี ก็มักจะอยู่แต่ในห้องแอร์ และคนที่ไปเยี่ยมก็เอาสารพัดโรคเข้าไป และภูมิคุ้มกันไม่ดีแล้ว มันก็แย่ อันนี้ก็สอนกันมามาก ไม่ต้องย้ำอะไรมาก

อ.ที่ 4 ออกกำลัง อาตมาใช้คำว่า "ออกกำลังเพื่อเอาพลัง" อันนี้เป็นที่สับสนและปฏิบัติกันผิดๆ ออกกำลังมาจากภาษาอังกฤษว่า เอ็กเซอร์ไซด์ อาตมาถามฝรั่งที่เขาใช้ภาษาอังกฤษ เอ็กเซอร์ไซด์แปลว่าอะไร เขาตอบว่า เอ็กเซอร์ไซด์ก็คือเอ็กเซอร์ไซด์ ถ้าไปดูในภาษาอังกฤษแปลว่า การทำลายพลังส่วนเกิน เพราะว่าชาวตะวันตกเขาทานอาหารครบ 5 หมู่ มี วิตามิน มีเกลือแร่ มีอาหารเสริม มียาบำรุง ถ้าเขาไม่เอ็กเซอร์ไซด์ ไม่ยกของหนัก ไม่วิ่งเร็ว เขาจะอ้วน ฉะนั้นจะต้องเอ็กเซอร์ไซด์เพื่อทำลายพลังส่วนเกิน จากที่ทานนั้นมันสมบูรณ์เกินไป แต่คนป่วยมีอะไรเกินลองคิดดูให้ดี ถ้าเราไปบอกว่าให้เอ็กเซอร์ไซด์ โดยมากจะไปซื้อเครื่องออกกำลังกายแบบทางตะวันตก เดี๋ยวนี้หาง่ายมาก และดูรายการในทีวีก็มีแต่โฆษณาอุปกรณ์เพื่อลดความอ้วน และคนตะวันออกทานอาหารซึ่งไม่ค่อยพออยู่แล้ว ถ้าจะไปเอ็กเซอร์ไซด์แบบฝรั่ง แทนที่จะมีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายกลับจะทรุดโทรม ฉะนั้นอาตมาใช้คำว่า ออกกำลังเพื่อเอาพลัง ก่อนที่เราจะออกกำลัง เราจะต้องรู้ว่าที่มาของพลังมีอะไรบ้าง

1. หญ้าดินในธรรมชาติ

2. อากาศบริสุทธิ์

3. แสงอาทิตย์

4. ต้นไม้

ฉะนั้น ไม่ว่าผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นแบบชาวตะวันออกของเรา การที่จะออกกำลังกายจะต้องคำนึงถึงที่มาของพลังทั้ง 4 คือ เดินเหยียบหญ้า เหยียบดิน จะเป็นเดินจงกรม หรือจะเต้นแอโรบิก ทำกับหญ้ากับดิน มีแสงอาทิตย์ มีอากาศบริสุทธิ์ มีต้นไม้ แม้แต่รำมวยจีน เล่นโยคะ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นการออกกำลังเพื่อเอาพลัง และการออกกำลังเพื่อเอาพลังมีข้อจำกัดว่าอย่าเครียด อย่างท่านจะเดินจงกรม เพราะว่าท่านสอนหลายจังหวะ เมื่อทำไม่ถูกจังหวะก็เครียดแล้ว จงกรมก็เป็นวิธีการออกกำลังกายเพื่อเอาพลังเหมือนกัน ถ้าท่านเครียดไม่ได้พลังและสูญเสียพลังอีก เป็นเหตุทำให้เกิดโรคได้ อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาขอฝากไว้วันนี้ว่า ออกกำลังแล้วก็มักจะเอาไปออกกำลังแบบทางตะวันตก และแม้แต่เล่นโยคะ โยคะนี่เป็นวิธีการออกกำลังกายที่เดี๋ยวนี้สับสนแล้ว หัวใจของโยคะคืออะไร 1. หายใจยาวๆ 2. เคลื่อนไหวช้าๆ 3. มีสติ กำหนดรู้ทุกอิริยาบถที่เราเป็นอยู่นั้น อันนี้เป็นหัวใจของโยคะ หายใจยาวๆ เคลื่อนไหวช้าๆ พร้อมกับมีสติ การออกกำลังกายบางอย่าง เช่น เล่นฟุตบอล เทนนิส ถ้าจะเอาแพ้เอาชนะกัน เครียด อันนี้ไม่ใช่การออกกำลังเพื่อเอาพลังเลย เป็นการออกกำลังแล้วก็ทำลายตัวเราเองด้วย ขอฝากไว้ด้วย

อ.ที่ 5 อิริยาบถ 4 พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยตรงเลยว่า อิริยาบถปิดบังคือ ช่วยให้ไม่ทุกข์ ช่วยให้มีความสุข คนเรานั่งนานเกินไป นอนนานเกินไป ยืนนานเกินไป มันก็ทุกข์ ทนไม่ได้ก็คือทุกข์ ฉะนั้นถ้าใครรู้จักผ่อนคลายเปลี่ยนอิริยาบถก็จะไม่ทุกข์ คนเป็นโรคเดี๋ยวนี้ บางท่านงานที่ต้องยืนตลอดก็ทนยืน ไม่รู้จักเปลี่ยนอิริยาบถ คนที่เดินก็เดินอยู่นั่นแหละ คนที่นั่งก็นั่งอยู่นั่นแหละ อันนี้แหละจึงทำให้เกิดความทุกข์ เพราะไม่รู้จักเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่รู้จักผ่อนคลายตัวเอง

อ.ที่ 6 เอาพลังจากสุริยันต์จันทรา อันนี้สำคัญมาก เอาพลังจากสุริยันต์จันทรา หรือเอาพลังจากพระอาทิตย์ พระจันทร์ เอาอย่างไร

1. โดยตรง คือ ตากแดด ตากแสงจันทร์ พอพูดถึงตากแดดก็เถียงขึ้นมาทันที มันก็เป็นมะเร็งผิวหนังละสิ ยังไม่ได้อธิบายอะไรเลย คิดไปก่อนแล้ว ตากแดดนั่นคือ ตั้งแต่เช้าที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น และตอนเย็น แต่ถ้าจะตากแดดตอนกลางวันจะต้องนั่งใต้ต้นไม้ให้แสงแดดผ่านใบไม้เข้ามาจะได้ รับพลังค
ลอโรฟิลล์ พลังสีเขียวอีกด้วย นี่รับพลังสุริยันต์จันทราโดยตรง

2. โดยอ้อม คือ ทานผัก ผลไม้ ที่ไม่มีพิษตกค้าง อันนี้แหละคือพลังสุริยันต์จันทรา เพราะว่าผักผลไม้ต่างๆ ที่มันเจริญเติบโตขึ้นมา ก็เพราะพลังแสงอาทิตย์แสงจันทร์ แล้วรับอีกวิธีหนึ่งคือ เอาน้ำดื่มไปตากแสงอาทิตย์ 7 วัน ตากแสงจันทร์ 7 วัน แล้วเอามาผสมกันดื่ม อันนี้เรียกว่า น้ำพลังสุริยันต์จันทรา เขาสอนมาตั้งแต่สมัยพระเวทย์ หรืออายุรเวช ฉะนั้นถ้าใครทำได้จะได้รับผลคือ สีหน้าจะอ่อนกว่าวัยและไม่แก่ อายุจะยืนยาว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรจะใส่ใจ

อ.ที่ 7 เอาพิษออก อันนี้เป็นที่รู้กัน ที่ใช้คำว่า "ดีท็อกซ์" แต่ของพระพุทธเจ้า พระองค์ใช้ยามหาวิกัต 4 อันนี้สำคัญ ยานี้ชะงัดนัก ถ้าใครเอาไปใช้แล้วได้ผล คืออะไร ยามหาวิกัต 4 ไปดูใน จัตตุกนิบาตอังคุทรนิกาย มี "มูด คูด เถ้า ดิน"

"มูด" คือ ปัสสาวะ ดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเอง มันก็ชัดเจนในเรื่อง นิสัย 4 พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตอนเช้าเดินออกบิณฑบาต คือเหยียบหญ้าเหยียบดินด้วยเท้าเปล่า รับอากาศบริสุทธิ์ รับแสงอาทิตย์อ่อนๆ กลางวันอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนเช้าพลังหยิน หยาง อยู่บนยอดหญ้า ตอนกลางวันหยิน หยาง อยู่บนต้นไม้ จีนกับอินเดียนี้สอนคล้ายกันในเรื่องพลังที่มาจากธรรมชาติ ยามหาวิกัต 4 "มูด" ก็คือดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเอง ดื่มสดๆ ไม่ต้องไปดองอะไร ดื่มก่อนนอนกับตอนเช้า ดื่มก่อนนอนก็คือเพื่อไปหมักไปดองไว้กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป อาหารทุกชนิดเป็นสมุนไพรโดยธรรมชาติทั้งนั้น และดื่มตอนเช้าอีก เขาเรียกว่า หมักดองสมบูรณ์ แล้วดื่มครั้งละประมาณไม่น้อยกว่า 100 cc ได้ผล ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีข้อมูลข่าวสารทางนี้ ถ้าใครอยากรู้อ่านดูที่เว็บไซต์ Urine therapy มีข้อมูลมากกว่าพันหน้า ที่เขามีการประชุมระดับโลกถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกประชุมที่อินเดีย ครั้งที่ 2 ที่เยอรมัน ครั้งที่ 3 ที่บราซิล

"คูด" คือ อุจจาระ คนที่ได้รับพิษไป รู้ว่าได้ยาพิษหรือสิ่งเป็นพิษเข้าไปทางปาก ลองเอาอุจจาระหยอดที่ปาก คุณทานอุจจาระเข้าไปจะรู้สึกอย่างไร รู้สึก อาเจียนออกมาหมด และโรคอย่างหนึ่ง เรียกว่าโรคที่ออกทั้งทางปากและทางทวาร ถ้าใครเป็นอย่างนี้จะหมดกำลังและก็อาจจะถึงแก่ชีวิตทันที ก็ใช้นี่…คนไปอุจจาระที่ไหนก็จะมีแมลงปีกแข็งไปกิน และมันมีขุยขึ้นมา เอาขุยนั้นนะมาห่อผ้าขาว แกว่งในน้ำแล้วให้ดื่ม มีกำลังขึ้นมาฉับพลัน หายทันทีเลย

"เถ้า" ก็คือขี้เถ้า ใครรับกรดเข้าไป เนื่องจากยาพิษนี่เป็นกรด ก็เอาขี้เถ้า ไปละลายน้ำดื่มเข้าไป ขี้เถ้านั้นเป็นด่างทำให้เกิดด่าง

"ดิน" ก็คือดินที่สัตว์นานาชนิดกินกัน อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ยามหาวิกัต 4 เป็นวิธีการสลายพิษและเพิ่มกำลังแก่คนป่วยด้วย

อ. ที่ 8 อบรมกาย อบรมจิต อันนี้เอาจริงเอาจังแล้ว อบรมกายคือ ฝึกลมหายใจให้ยาว วิธีการฝึกลมหายใจให้ยาวนั้นมีอยู่ 6 วิธีด้วยกัน ที่จริงอาตมาเขียนในหนังสือที่มีชื่อว่า "พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรที่ช่วยให้ชีวิตมีความสุข" และวิธีฝึกทั้ง 6 นี้ เป็นวิธีที่จะช่วยให้จิตมีสมาธิหรือเข้าสมาธิ เป็นวิธีการที่แพทย์แผนปัจจุบัน คือ ดร.แอนดรู วาย ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงดังที่กล่าวเมื่อกี้

(1) ฝึกเอาวิธีของ ดร.แอนดรู วาย เป็นอันดับแรก ฝึกแบบ ดร.แอนดรู วาย คือ "หายใจเข้า หายใจออก...นับหนึ่ง" "เข้า-ออก...นับสอง" "เข้า-ออก...นับสาม" "เข้า-ออก...นับสี่" "เข้า-ออก...นับห้า" "เข้า-ออก...นับหก" อย่าให้เกิน 1 นาที ท่านจะเสริมวิธีนี้ด้วยการร้องเพลงก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้แล้วก็มาตรวจสอบดูว่าได้แล้วหรือยัง 1 นาที อย่าให้เกิน 6 ครั้ง

(2) วิธีที่ 2 ใช้คำว่า "โอม" ใช้มาแต่โบราณ ทางพราหมณ์เขาใช้เป็นการน้อมรำลึกถึง "ตรีมูรติ" คือ พระเจ้า 3 พระองค์ คือ พระพรหมผู้สร้าง พระวิษณุผู้รักษา พระศิวะผู้ทำลาย ใช้คำว่า "โอม" เป็นตัวนำ ไม่ว่าคาถาหรือสวดมนต์อะไร แต่พุทธเรา "โอม" เป็นสัญลักษณ์ทางพระรัตนไตร มาจากคำว่า "อุ อะ มะ"

"อุ" ก็คือ อุตมะธรรม คือทางธรรม

"อะ" คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ

"มะ" คือ มหาสังฆะ

หายใจ ให้ลึกๆ ให้ท้องพองเต็มที่ หรือหายใจทั่วท้อง คนเราที่มีปัญหาสุขภาพไม่ดี คือ หายใจไม่ทั่วท้อง หายใจให้ท้องพองเต็มที่แล้วก็เปล่งเสียง โอม.....เสียงสูงแล้วก็ต่ำลงต่ำลง ทำให้ได้ 7 เสียง ที่ว่าคีย์โน้ตของเพลงมี 7 เสียง เพลงมีไว้เพื่ออะไร เพื่อให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส ทำเสียงสูงแล้วก็ต่ำลงต่ำลง จนกระทั่งเสียงต่ำที่กังวาน จะเกิดพลัง โรคภัยไข้เจ็บก็หาย

(3) แล้ววิธีต่อไปก็เรียกว่า วิธีของหลวงปู่โต๊ะ ว่าบทอิติปิโสให้ได้ 9 จบ ในชั่วอึดใจหนึ่ง ถ้าใครอยากจะเข้าสมาธิ เข้าฌานอย่างหลวงปู่โต๊ะ และก็มีอภินิหาร มีอภิญญาด้วย การที่สวดอิติปิโสให้ได้ 9 จบ ในชั่วอึดใจ ก็ต้องฝึกให้เร็วให้เป็นพลังไวเบรชั่นคงที่ ดร.ริชาร์ด เกอร์เบอร์ กล่าว ให้เสียงเกิดขึ้น 7 เสียงเป็นอย่างน้อย ไม่ยากเลย

(4) ต่อไปเป็นวิธีของหลวงปู่ละมัย เรียกว่าวิธีดำน้ำทำตะกรุด จะมีรูปแบบของตะกรุด เอแผ่นโลหะให้ แล้วก็แนะว่าต้องเขียน พอจรดเหล็กจารดู ลงแล้วให้เขียนให้จบแล้วเอามาให้อาจารย์ดู อันนี้ก็ต้องใช้ลมหายใจยาวนั่นเอง เมื่อเขียนสำเร็จก็เข้าฌานได้ สำเร็จสมาธิได้พอดี อันนี้เป็นวิธีฝึกของคนโบราณ หลวงปู่ละมัยอายุ 116 ปี อยู่ที่บ้านโตก เพชรบูรณ์ ถ้าไปดูเหมือนอายุ 50 ปี แข็งแรง อันนี้เป็นวิธีการเข้าสู่สมาธิและฝึกให้มีสุขภาพดี โดยวิธีวิชาที่เรียกว่า "ดำน้ำทำตะกรุด"

(5) วิธีต่อไปวิธีที่เรียกว่า "ปราณยาม" เป็นวิธีที่ 5 ปราณยามก็คือ หายใจ 4 จังหวะ หายใจเข้า อดกลั้นลมหายใจ หายใจออก ปล่อยให้ว่าง สมมุติว่าหายใจเข้าได้ 5 อดกลั้นต้องได้ 10 ออก 5 ปล่อยวาง 5 มีวิธีการอย่างนี้ต้องสร้างมิติว่า หายใจเข้ารับพลัง เป็นควันสีขาวสดใสเข้าไป อดกลั้นลมหายใจให้พลังกระจายเพื่อให้เลือดลมเดินสะดวก หายใจขับสิ่งที่เป็นพิษออกไป พอถึงขั้นที่ 4 "ดีใจหนอ...หายใจเข้ารับพลัง" "ดีใจหนอ...อดกลั้นลมหายใจช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก" "ดีใจหนอ...หายใจออกขับพิษออกไป" จังหวะที่ 4 เป็นจังหวะที่สร้างปิติ ทบทวนให้รู้คุณค่าของ ลมหายใจนั่นเอง

(6) วิธีที่ 6 คือการสวดมนต์ สวดมนต์นี้เป็นวิธีฝึกลมหายใจยาวโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราเกิดปิติแล้ว ทีแรกก็อาจสวดตามวรรคตอนที่ท่านกำหนดไว้ แต่ถ้าสวดเอง สวดไปๆๆ แล้วมันจะลื่นไหลไปเอง ลมหายใจจะยาว อันนี้เองเรียกว่าเป็นวิธีการฝึกสมาธิหรือเข้าสมาธิ โดยที่ใช้วิธีการฝึกลมหายใจให้ยาว นี่เรียกว่า "อบรมกาย" ซึ่งได้รับการวิจัยจากแพทย์แผนปัจจุบัน และหลวงปู่ หลวงพ่อก็วิจัยแล้ว สอนมาแต่โบร่ำโบราณ แล้วทำไมเล่าไม่เอาตัวอย่าง และตัวอย่างผู้ฝึก 2 ระบบนี้ ระบบฝึกลมหายใจยาวที่เรียกว่าแบบเงียบ อย่างหลวงพ่อพุทธทาสฯ เน้นอานาปานสติ 16 ขั้นตอน ดูชีวิตของหลวงพ่อพุทธทาสฯ มีความสุขตลอดชีวิต จะตายก็รู้วันตาย และสายสวดมนต์ก็คือ สายของครูบาศรีวิชัย ผู้ที่เป็นแบบอย่างครั้งสุดท้ายก็คือ ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ล้วนแต่มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตลอดชีวิต อันนี้เป็นตัวอย่างของการที่จะช่วยให้ชีวิตมีความสุข และเข้าฌานเข้าสมาธิได้ และพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า "ธรรมจารี สุขัง เสติ ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมย่อมมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข" อันนี้เอง จะสายสวดมนต์ จะสายภาวนาเงียบแบบอานาปานสติแบบ 16 ขั้นตอน ซึ่งมีที่มาในพระไตรปิฎก อานาปานสติ 16 ขั้นตอน มาจาก "มหาสติปัฏฐานสูตร" "ฑิวิมานทสูตร" "อานาปานสติสูตร" สายสวดมนต์มาจาก "ปัญจกานิบาตร อังกุตรนิกาย" มีพระสูตรที่ชื่อว่า "วิมุติสูตร" สวดมนต์ช่วยให้บรรลุถึงพระอรหันต์ มีที่อ้างด้วย มีบุคคลเป็นตัวอย่างแล้ว ท่านไม่ลองดูหรือ และตรงกันข้ามพระพุทธเจ้าตรัสเตือนไว้ว่า "จิตเต สังฆริเถ ทุกขติปาติกังขา" คนที่เจ็บป่วยนั้นจิตเศร้าหมองหรือผ่องใส จิตย่อมเศร้าหมองแน่แล้วไปไหน "ทุกขจิต จิตเตอสังฆเถ สุขคติปาติกังขา" ถ้าจิตไม่เศร้าหมองไปสู่สุขคติ อันนี้ก็ขอฝากไว้ แล้วก็คำว่าอบรมจิตคืออะไร ยิ้มเสมอ ไม่เครียด อันนี้ต้องฝึกอย่างที่คุณหมออารีย์ท่านเล่าว่า ท่านเอาชนะโรคนั้น ท่านได้บทเรียนจากคนบ้า ว่าคนบ้ามีโรคสารพัดในตัว ถ้าเจาะเลือดไปตรวจพิสูจน์ แต่ทำไมโรคต่างๆ ไม่ทำร้ายคนบ้า เพราะคนบ้ายิ้มเสมอ คนบ้าไม่เครียดคุณหมอเล่าว่าท่านเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน แล้วท่านก็มาฝึกตัวเองโดยใช่หลัก 7 อ. ของท่านและก็เอาชนะมะเร็งได้ ที่สำคัญที่สุดคือ Mood กับ Food คือ เมื่อเราไม่ให้อาหารแก่มะเร็ง แล้วก็ไม่เครียด เอาคนบ้าเป็นตัวอย่าง ในที่สุดท่านเอาชนะมะเร็งได้ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แล้วอบรมจิตที่ว่า "ยิ้มเสมอ ไม่เครียด รู้จักให้อภัย ปลง ปล่อยวาง"

อ. ที่ 9 คือ อิทธิปาฏิหาริย์ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เป็นไปได้จริงๆ อาตมาเล่าย้ำเสมอ คุณยายทองเจือเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ถูกตัดกระเพาะทิ้ง ที่ไหนได้พอแผลหาย มะเร็งไปก่อตัวที่อื่น ขึ้นถึงสมอง เจ็บปวดทุกข์ทรมาน จึงเข้าผ่าตัดครั้งที่ 2 หมอชุดเดิมก็ทำการผ่าตัด พอเปิดดู ก็ปรากฏว่ามะเร็งมันลามไปทั่วแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ปิดแผล คนไข้อยู่ไม่เกิน 7 วันก็ตายแล้ว คุณยายตื่นมาได้ยินหมด แทนที่จะตกใจ เสียใจ กลับดีใจ ตายเดี๋ยวนี้ยิ่งดี จะได้พ้นทุกข์เสียที และดีใจที่ยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 7 วัน จะได้สวดมนต์ภาวนาจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ไม่ใช่เป็นนักสวดมนต์อะไรหรอก สวดได้แต่ นะโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ...พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ... สวดเวียนไปเวียนมาจนกระทั่งแผลหายก็ยังไม่ตาย อยู่มาอีกหลายเดือน บ่นกับลูกๆ ว่า "หมอบอกกูจะตายไม่เห็นจะตายซะที" ลูกก็เลยเอาไปตรวจเลือด ผลเลือดเป็นปกติ อาไป Scan ปรากฏว่ามะเร็งฝ่อตายหมด วันที่ผ่าตัดครั้งที่ 2 อายุ 46 เดี๋ยวนี้อายุ 90 ปี ยังอยู่ที่ชิคาโก อยู่แบบคน ที่มีสมรรถภาพ ทำขนมชาววังเก่งที่สุด อันนี้เองที่เป็นตัวอย่าง มันมีจริงๆ อิทธิปาฏิหาริย์ อ.ที่ 9

คำถาม :


กราบ นมัสการท่านพระอาจารย์สิงห์ทน ที่ท่านพระอาจารย์พูดถึงเรื่อง Positive Thinking กับ Negative Thinking อย่างเช่นว่า เจ็บป่วย ถ้าไปคิดว่ามันเจ็บ มันแย่ มันก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราเจริญมรณะสติ เกิดมานั้นให้คิดบ่อยๆ ไม่ทราบว่าจะขัดกันหรือเปล่า เพราะพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ในขณะที่เราเจ็บป่วยก็ให้ระลึกถึงว่าคนเราเกิดมาตายทุกคน

พระอาจารย์สิงห์ทน :

ไม่ ขัดกันนะโยม ถ้าเรารู้ว่าคนเราเกิดมาตายทุกคน อันนี้จะยกตัวอย่างมาให้เห็นนะ ในบทนำของหนังสือ "Spontaneous Healing" ของ Dr. Andrew Weil M.D. มีคนไข้เป็นมะเร็ง หมอบอกว่า อยู่ไม่เกิน 7 วัน คุณกลับไปตายที่บ้านดีกว่า จะตายอย่างสงบ แต่การตายอย่างสงบนี่ คุณอย่าเครียด คนเราเกิดมาทุกคนต้องตายทุกคน ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็คือตาย ถ้าคุณอยากตายอย่างสงบ คุณต้องทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ดูลมหายใจของคุณ คนไข้ก็เชื่อ กลับบ้านทำจิตให้ผ่องใส ไม่กังวลแล้วว่าจะตายภายใน 7 วัน ก็ดูลมหายใจ ดูไป ๆ 6 เดือน ผ่านไปก็ยังไม่ตาย สงสัย เอ๊ะ! หมอบอกว่าอยู่ไม่เกินอาทิตย์ ทำไมไม่ตาย ก็กลับไปหาหมอ หมอก็ตรวจผลเลือด ผลเลือดเป็นปกติ ไปเอ็กซเรย์ ไปสแกน ปรากฏว่ามะเร็งฝ่อตาย ฉะนั้นการที่เรายอมรับว่าคนเราเกิดมะเร็งต้องตายทุกคน อย่าไปเครียด ไปกังวลอะไร ทำแต่สิ่งที่ดีไว้ โดยเฉพาะที่ว่าโพชฌงค์ 7 เป็นบทสวดมนต์ เป็นธรรมโอสถ อันนี้ถ้าเราเข้าใจหน่อยจะเป็นประโยชน์มากๆ

"โพชฌงค์ 7" คือ สติ สติตัวเดียวรักษาโรคได้ทุกโรค ก็คือ ยึดสติให้เป็นสติปัฏฐาน ฝึกจนกระทั่งเข้าฌานได้ เข้าฌานได้ก็จะเป็นปีติที่เป็นตัวกระตุ้นต่อมไร้ท่อไปให้หลั่งสารเอ็นโดฟีน นั่นเอง อย่างคุณยายทองเจือเหมือนกัน ดีใจเหลือเกินที่รู้ว่าจะตาย ตายวันนี้ยิ่งดี อันนี้คือคนมีมรณะสติ รู้ว่าความตายมันเป็นธรรมดา แล้วก็มีปีติ ไอ้ตัวปีตินี่ว่า เอ๊ะ! ฉันดีใจเหลือเกินที่รู้ว่าตายภายใน 7 วัน ยังมีเวลาเหลือตั้ง 7 วัน จะได้สวดมนต์ภาวนาเพื่อจะได้ไปเกิดภพภูมิที่ดี ไม่สนใจในเรื่องความปวด ทุกข์ทรมาน ที่มีก็สวดมนต์อย่างเดียว แล้วในที่สุดแทนที่คุณยายทองเจือจะตาย มะเร็งตายเรียบหมด อันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดว่า ความเข้าใจในเรื่องชีวิตและความตายเป็นประโยชน์มาก และที่ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ไม่มีอะไรที่จะคัดค้านหรือขัดแย้งกันเลย ถ้าเราเข้าใจทุกหมวดหมู่ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

คำถาม :

นมัสการ พระอาจารย์ฯ ค่ะ จิตรา ภริวรณ์ เป็นพยาบาล ขณะที่ดูแลผู้ป่วยคนหนึ่งอายุมากแล้ว 70 ปีขึ้นไป เขาบ่นว่า "ดิฉันถือศีล 8 ทานอาหารเจ สามีก็เสียนานแล้ว ทำไมดิฉันต้องเป็นมะเร็งปากมดลูกด้วย เสียใจ" ดิฉันก็บอกเขาว่า "มะเร็งนั้นรักษาหาย อย่าเสียใจเลย รักษาให้ครบ มาให้ครบ" อยากจะเรียนถามพระอาจารย์ว่า สิ่งที่หญิงชราพูดขึ้นมา ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเขาถึงเป็นมะเร็ง เพราะว่าเขาก็ปฏิบัติดี ทำดี มีชีวิตอย่างสงบ ทำไมต้องเป็นมะเร็งปากมดลูกด้วย

พระอาจารย์สิงห์ทน :

อย่าง ที่คุณหมออธิบายนะโยม มันเป็นสิ่งที่เขาเก็บไว้ เป็นเรื่องลึก ๆ ส่วนตัวเอง อันนี้มันจะก่อให้เกิดผลเสียเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่เราคิดก็คือสิ่งที่เราเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก อันนี้สำคัญมาก อย่างเมื่อกี้ที่อาตมาได้พูด มีโปรเพสเซอร์ชาวญี่ปุ่นทำการวิจัยเรื่องจิตกับวิทยาศาสตร์ รูปนี้แสดงให้เห็นพลังสวดมนต์ ทำให้เกิดภาพสวยมาก รองลงมาพลังภาวนาเงียบ ก็มีภาพเหมือนกัน ไม่ชัดเจน ไม่สวย สีไม่มีพลัง แต่ภาพนี้ที่ไปแช่งไปด่าเขา ฉันจะฆ่าแกๆ มันก็เป็นภาพนี้ ภาพนี้มันอยู่ที่ตัวเรา ทันทีที่เราคิดอะไร มันประทับมันเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกของเรา ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิดไปพิจารณาว่าจิตนี้สำคัญมาก ถ้าท่านเข้าใจอย่างนี้แล้วทำไมเล่าจะต้องไปโกรธเขา ต้องรู้ว่าโทษของความโกรธมันเป็นอย่างไร แล้วก็จะช่วยให้เรากลัวที่จะเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้ดี โดยเฉพาะเรื่องของการสวดมนต์ พอดีก็มีหนังสือสวดมนต์มาแจกด้วย ที่คุณหมอท่านอธิบายเมื่อกี้ สวดมนต์แผ่เมตตามีพลังมาก ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ เกิดในสิ่งที่ไม่น่าจะเกิด มันเกิดขึ้นได้ และก็ขอสนับสนุนตามที่คุณหมอพูดทุกประการ ที่อาตมาที่เป็นข่าวเล่าลือกันว่า ทำไมอาจารย์ไปช่วยคนที่หมอบอกว่าตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้ แท้จริงไม่ใช่อาตมาช่วย อาตมาเพียงแต่ไปสวดมนต์แผ่เมตตาให้ แล้วพอดีก็มีบทสวดมนต์อยู่ท้ายหนังสือเล่มนี้ที่แจก

สวดมนต์สอนเจ้า กรรมนายเวร คือ มีโรคที่ทางพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมี 5 ประการ 1.เกิดเพราะว่าฤดูกาลเปลี่ยนแปลง 2.เกิดเพราะกรรมพันธุ์ หรือพันธุกรรมที่รับสืบทอดมา 3.โรคเจ้ากรรมนายเวร อันนี้แพทย์แผนหลักยังไม่เข้าใจ หรือว่ายังไม่ยอมรับด้วยซ้ำไป อย่างที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงอย่างกรณีที่วอชิงตันดีซี ไปเล่นตะกร้อแล้วเกิดวูบ ล้มศีรษะฟาดคอนกรีต กะโหลกร้าว เลือดคั่งในสมอง เจาะเอากะโหลกไปแช่แข็งไว้ แล้วหมอที่นั่นบอกว่าไม่มีทางแล้ว คลื่นสมองดับแล้ว แต่ท่านอดีตท่านทูต คุณหญิงเบญจภาก็บอกว่า ยังไงก็ตามก็ขอเก็บร่างของลูกไว้เพื่อหวังปาฏิหาริย์ ก็ได้สวดมนต์ภาวนาด้วยตนเองบ้าง ใครก็ตามที่มีพลังก็ขอให้สวดช่วย ก็ปรากฏว่าลูกชายคนนี้ก็ฟื้นขึ้นมา เพราะเขานิมนต์อาตมาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน ล้มวันที่ 8 มีนาคม วันที่ 18 เมษายน ก็ยังอยู่ในสภาพยังไม่รู้สึกตัว ไปสวดมนต์ให้ 3 วัน ถึงได้ลืมตาขึ้น แล้วบทที่สวดก็คือ สวดเมตตา และบทสำคัญที่สุดก็คือบทอุเบกขาในอัปปมัญญา ที่คุณหมอได้แสดงให้ดู บทอุเบกขาเป็นการสอนเจ้ากรรมนายเวรว่า "คนเรามีกรรมเป็นของตัว มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทำกรรมใดไว้ จะเป็นกรรมดีกรรมชั่วก็ตาม ก็จะได้รับผลกรรมแห่งนั้น" และในหนังสือนี่อาตมาได้เพิ่ม "ทุกขโต ทุกขถานัง" ทำทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว "นหิเรเวณเวรา..." เวรย่อมระงับด้วยการจองเวรไม่มีที่ไหน เวรระงับด้วยการไม่จองเวรเท่านั้น อันนี้แหละเป็นบทสวดที่เสริม ที่คุณหมอแสดงเรียกว่าบทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร ทำให้คนที่ทางการแพทย์ว่าตายแน่

อย่างกรณี นายบิ๊ก ดีทูบี เหมือนกัน ทางหมอแถลงว่า 0.01% แล้วก็นิมนต์อาตมาไปช่วยสวดมนต์ให้ก็ฟื้นขึ้นมา จากวันสุดท้ายที่ว่าไปช่วยเป็นประจำ คือตอนนั้นคอก็ปิดแล้ว อาหารก็กลืนเองได้ เสมหะเอาออกเองได้ แต่อาตมาบอกให้พ่อแม่ว่า คุณต้องสวดมนต์ ต้องเรียนรู้เรื่องพลังจิต มันมีจริงนะ แต่พ่อแม่บอกว่าคุณหมอบอกว่ายาดี ไม่ต้องสนใจเลย หลังจากนั้นไม่กี่วันปรากฏว่าอาหารที่ป้อนเข้าไปไม่กลืนแล้ว เกิดสำลัก เสมหะก็เอาออกไม่ได้ ต้องเจาะคอใหม่ ไม่นานฝีในสมองก็แตกอีก อันนี้ถ้าเราช่วยกันสวดมนต์ พลังเมตตานั้นมีจริงๆ ช่วยได้โดยไม่ต้องเสียเงินอะไร เมื่อพ่อแม่ไม่เข้าใจ ซึ่งผิดกับลูกท่านทูต คุณหญิงกับท่านทูตสวดมนต์เป็นประจำ มาอยู่ที่ข้างเตียง มาสวดมนต์ให้ การที่ทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นการรับพลัง ยอมรับเรื่องพลังไวเบรชั่นมีจริง แล้วทำให้ลูกของท่านคนนี้สามารถเรียนหนังสือได้ตามเดิม กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกรายที่น่าจะดีกว่าด้วยซ้ำไป ไปทำวันแรกก็ฟื้นขึ้นมาเลย แล้วในที่สุดก็ยังน่าเป็นห่วง ในตอนท้ายหนังสือเล่มนี้ได้พูดถึงอานิสงส์ ว่าสวดมนต์เกิดปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น ขอฝากกับท่านทั้งหลายไว้ด้วยในเรื่องการสวดมนต์ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวร จะตองใช้วิธีสวดมนต์เท่านั้น

มี เรื่องเล่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ตอนนั้นอาตมาเป็นพระปลัดขวาสมเด็จพระสังฆราชของวัดโพธิ์ท่าเตียน ท่านมอบหมายให้สอนพระนวกะ พระนวกะในวัดสมเด็จพระสังฆราชล้วนเป็นผู้ที่มีการศึกษา โดยเฉพาะมีทั้งนายแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นายทหาร ข้าราชการชั้นสูง ได้รับสอนเรื่องพระธรรมวินัย แล้วก็มาย้ำในเรื่องศีลของพระ ว่าเราจะต้องมีการทบทวนศีลทุก 15 วัน สวดปาติโมกข์ต้องสวดให้จบ ศีล 227 ข้อ ต้องทบทวนให้จบ แต่มีข้อยกเว้นอยู่ 4 อย่างคือ 1.พระราชาเสด็จมาวัดให้เลิกสวด 2.ไฟไหม้วัดให้เลิกสวด 3.น้ำท่วมวัดให้เลิกสวด 4.ผีเข้าพระภิกษุให้เลิกสวด พอพูดถึงข้อที่ 4 ท่านที่เป็นนายแพทย์บอกว่าผีมีจริงที่ไหน พวกผมอยู่กับศพ ผ่าศพมาไม่รู้เท่าไหร่ไม่เคยมีผีมาปรากฏให้เห็นเลย อีกกลุ่มหนึ่งก็บอกว่ามีจริง เถียงกันไปกันมา พระนวกะรูปหนึ่งล้มตึงลงไป ล้มไปแบบไม่มีลมหายใจแล้ว ตัวเย็น นายแพทย์ทั้ง 6 ท่าน ได้ช่วยกันปฐมพยาบาล ช่วยอย่างไรก็ไม่ฟื้น ส่งไปคลินิกปากคลองตลาด หมอฉีดยาให้ 6 เข็มก็ไม่ฟื้น ส่งไปโรงพยาบาลจุฬาฯ แพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็ช่วยจนในที่สุดก็บอกว่า เอาร่างกลับวัดเถอะ ช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นอีก 3 วัน ก็เลยถามเพื่อนว่า พระวันนั้นที่ล้มหายหรือยัง บอกว่าเหมือนเดิม ก็นึกทบทวนว่าวันนั้น โต้กันว่าผีมีหรือไม่มี น่าจะเป็นเรื่องของผีหรือเปล่า นึกถึงเรื่องที่คนโบราณเขามีสิ่งที่ใช้กันในเรื่องนี้ ก็เลยรวมเอาสิ่งที่มีอยู่แล้วลองไปเยี่ยมท่าน พอไปเยี่ยมไปนั่งบนเตียงท่าน เอาของ 3 สิ่งที่คนโบราณเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ทดสอบเรื่องผีเรื่องวิญญาณ เอาสิ่งนั้นซ่อนในจีวร ยังไม่กล้าแสดงออกมา เพราะเขายังปฏิเสธกัน ยังไม่ยอมรับ พอไปนั่งแล้วจะทำท่าคุยกับคนที่มาเฝ้าร่างของพระรูปนี้ พอญาติโยมสนใจในเรื่องที่พูด ก็เลยเอาสิ่งที่มีอยู่ มีไม้ไผ่ตัน พญาไม้ และสีผึ้งที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้ พอจี้เท่านั้น พระรูปนี้ขยับตัวหนีจะตกเตียงเลย คือไม่เคยเคลื่อนไหวมา 3 วัน ก็เลยนึกถึงว่าน่าจะ เข้าท่าแล้ว คงจะเป็นเหมือนกับที่คนโบราณเขาเชื่อว่าโรคเจ้ากรรมนายเวรมันมีจริงๆ พอจี้เสร็จก็มาจี้ตรงหน้าผาก เพราะตอนนี้แสดงให้เห็นได้แล้ว มีแพทย์อยู่ที่นั่นด้วย ปรากฏว่าเขาหายใจแบบนอนหลับแต่ยังไม่ลุก เสร็จแล้วอาตมาว่าจะกลับไปที่กุฏิ พอเดินออกมาท่านก็ลุกขึ้นสั่งเลย "รีบเปิดประตู เดี๋ยวเจ้าปู่ทักษิณจะกลับ" พอสั่งเสร็จก็นอนเหมือนเดิม อาตมากลับไปที่กุฏิ เลยนั่งสวดมนต์แผ่เมตตาอยู่ที่นั่น ปรากฏว่าท่านลุกขึ้นมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ขณะที่โต้แย้งกันว่ามีผีหรือไม่มีนั้น ก็เห็นภาพเพื่อนที่ท่านยิงตาย วูบเดียวก็หมดความรู้สึก ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ไปทานอาหารด้วยกัน แล้วก็ดื่มมากไปหน่อย พูดผิดหูทำให้ผิดใจกัน เพื่อนมีมีดชักมีมาแทง ท่านมีปืนชักปืนยิงเพื่อนตาย แล้วเพื่อนคนนั้นมาปรากฏให้เห็นวูบหนึ่ง แล้วท่านก็หมดความรู้สึกไป แล้วก็มารู้สึกตอนที่อาตมาเอาของไปจี้ และตอนที่ส่งเมตตามาให้ ฟื้นได้อย่างเต็มตัว แล้วก็เล่าเหตุการณ์ มิใช่ยุติเพียงเท่านั้น เจ้ากรรมนายเวรรายนี้ ยังไปอาละวาดที่บ้าน เด็กๆ ไม่เป็นอันนอน ร้องไห้กระจองงองแง ไม่รูว่าจะช่วยกันอย่างไร ก็มาหา "ท่านเจ้าคุณช่วยทางบ้านด้วย เดี๋ยวนี้ทางบ้านเดือดร้อนใหญ่" ก็เลยเอาสายสิญจน์ไปให้เด็ก ปรากฏว่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เกิดความกังวลหรือเดือดร้อนต่อไป อันนี้เรียกว่าโรคเจ้ากรรมนายเวร แล้วท่านที่ไปเจออุบัติเหตุหรืออะไรรุนแรง จะตายก็ไม่ตาย จะอยู่ก็อยู่อย่างชนิดที่ทุกข์ทรมาน อันนี้เป็นโรคเจ้ากรรมนายเวร วิธีที่จะช่วยก็คือ ต้องสวดมนต์แผ่เมตตาอย่างที่คุณหมอได้ว่าไว้ สวดมากๆ มันเป็นไปได้เลย เจ้ากรรมนายเวรจะอ่อนใจ อันนี้เป็นเรื่องที่แพทย์แผนหลักยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องทางนี้ ก็อาจจะถือว่ามันเป็นประสบการณ์ของท่าน ที่ท่านเรียนมาอย่างนั้น รู้มาอย่างนั้น ท่านก็ทำตามหลักการ แต่ว่ายังมีอีกโรคหนึ่ง คือ "โรคเจ้ากรรมนายเวร" ก็ขอฝากไว้ด้วย

พิธีกร :

ขอขอบพระคุณ พระคุณเจ้ามากนะครับ คำว่าปาฏิหาริย์ เป็นศัพท์ที่เราใช่เรียกสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ยังไม่ได้ หรือยังหาคำอธิบายไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ก็มิได้หมายความว่ามันไม่มีจริง สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ บางครั้งเมื่อเวลาผ่านไปก็ยังพบว่าบางเรื่องเป็นสิ่งที่ผิดก็มี เพราะฉะนั้นก็คงไม่มีอะไรที่จะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากใช้กาลามสูตรของพระพุทธองค์ คือ พยายามใช้วิจารณญาณ ความคิดของเราพิจารณาเรื่องต่างๆ เหล่านี้ และก็เรียนรู้ด้วยตนเองต่อไป แต่โดยรวมแล้ววันนี้เราได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมายจาดช่วงนี้ โดยเฉพาะที่พระคุณเจ้าได้บอกให้เรามี "หลัก 9 อ." ซึ่งโดยสรุปก็คือให้เราดูแลในเรื่ององค์รวม ไม่ใช่ดูเฉพาะเรื่องกายเพียงอย่างเดียว มี่เรื่องจิตและเรื่องอื่นอีกมากมาย ไล่ลงมาจนถึงการอบรมกายและจิตที่ดี ซึ่งอาจทำให้เกิดคำว่า "ปาฏิหาริย์" ซึ่งปาฏิหาริย์ที่แท้จริงก็คือสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแต่เราวางท่าทีต่อโลกและชีวิต ปฏิบัติตัวได้ดีถูกต้อง ปาฏิหาริย์ก็อาจเกิดขึ้นกับตัวของเรา อีกข้อหนึ่งที่พระคุณเจ้าได้บอกไว้ก็คือว่า ในเรื่องของความคิดที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาทำให้เกิดโรคนั้น ทำอย่างไรที่จะสามารถกำจัดความคิดเนื่องมาจากกิเลส เช่น โลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่พระคุณเจ้าบอกว่าเราจะต้องหาทางกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้ ได้ ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ชินโอสถ พูดถึงเรื่องโปรแกรมจิต โดยที่ความคิดต่างๆ ของเราก็อาจ ทำให้เกิดโรคขึ้นมาได้ ทำอย่างไรที่เราจะสามารถผ่านและยับยั้งมันได้ ซึ่งท่านก็แนะนำวิธีการโดยการทำสมาธิ วิปัสสนา ซึ่งก็มีหลายวิธี อาจใช้การสวดมนต์ออกเสียงก็เป็นการทำสมาธิอีกอย่างหนึ่ง หรือการดูลมหายใจก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะสุดท้ายจะเข้มข้นมากขึ้น ถึงเรื่องการสวดมนต์ สวดมนต์นั้นมีตัวอย่างของการเกิดอะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้หลายๆ อย่างออกมา เป็นตัวอย่างที่ยกมาให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณา วันนี้เราได้สาระมากมายที่เราจะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อค้นหาความมหัศจรรย์ของ พลังจิต

ที่มา : http://www.dtam.moph.go.th/alternative/viewstory.php?id=14