วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คาถาเงินล้าน

ที่มาของ คาถาเงินล้าน

ก่อนที่อยู่วัดท่าซุงนะฉันอยู่กระต๊อบ เงินร้อยก็หายากสำหรับเงินทำบุญ คาถาวิระทะโย ก็ทำเรื่อยๆ ไป ต่อมาท่านก็มาหา ก็บอกว่า คาถาบทนี้นะที่เขาทำพระวัดพนัญเชิงองค์แรก มีเจ้าอาวาสองค์แรกท่านไปนั่งกรรมฐาน และเสกด้วยคาถาบทนี้ สามปี ท่านให้ดูตัวอย่างวัดพนัญเชิงเงินขาดไหมฉันก็ทำมาเรื ่อย

มาอีกปีหนึ่ง กำลังบวงสรวง ท่านบอกว่า"คาถาบทนี้ เป็นคาถาเงินแสนนะ" ก็ใช้คาถาบทนั้น มาประมาณครึ่งปี คนมา ทอดกฐินผ้าป่าได้เงินเป็นแสน นี่เห็นชัดนะ

แล้วต่อมา อีกปีหนึ่ง ท่านบอกว่า "คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินล้านนะ" ให้ว่าต่อเนื่องกันไปแล้วไปลง "คาถาวิระทะโย" ต่อมาก็จริง ๆ เพราะปี 27 ก็ใช้เงินล้าน เป็นเดือน ซึ่งไอ้อย่างนี้เราก็คิดไม่ออก ต้องค่อย ๆ ใจเย็น ๆ

เวลาว่าไป อย่าไปว่าหวังเอาลาภ คือ ต้องภาวนาด้วยนะ ถ้าทางที่ดีเวลาภาวนากรรมฐาน พอจิตสบายน่ะต่อเลย เพราะเวลา กรรมฐานนี่จิตเป็นฌาณใช่ไหมเอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาฝึกมโนมยิทธิออกไปให้ได้นั้น ออกไปเดี๋ยวเดียวก็ได้ออกไปได้ นี่จิต เป็นฌาณ 4 เข้าเขตพระนิพพาน ได้จิตสะอาดถึงที่สุด กลับลงมาด้วยคาถาบทนี้เลย มากน้อยก็ช่างให้หลับไปเลยคือ ถ้าจิต สะอาดมากผลก็เกิดเร็ว

ก็สงสัยเหมือนกันนะ เมื่อปี 26 ท่านบอกว่าปี 27 มีอะไรบ้างก็ตุน ๆ ไว้บ้างนะ 28 จะเครียดมาก การค้าของใคร ถ้าทรงตัว ได้ก็ถือว่า ดีไว้ก่อน อันนี้ท่านบอกว่า "ถ้าลูกเราจะจนก็จนไม่เท่าเขา"

ถ้าพูดถึงผลฉันก็นั่งดูเรื่อยๆมาว่า เอ๊ะ! เงินแสนมันจะมีมาอย่างไร ภายในปีนั้นปรากฏว่าสมัยนั้นวัดต่างๆเขายังไม่ถึงหมื ่น เลย แล้วต่อมาคาถาเงินล้านก็ต้องว่าต่อ เพราะต่อไปข้างหน้าต้องใช้เงิน

พระพุทธเจ้าบอกนี่ ต้องเชื่อต้องใจเย็นๆไม่ใช่ไปเร่งรัด ถ้าไปว่าแล้วคิดว่าเราต้องรวยนี่เสร็จ พัง ต้องว่าด้วยจิตเคารพนาน หลายปี ท่านไม่ยอมเปิดกับใคร ก่อนจะเข้าถึงดี มันต้องเครียด ไอ้ปี 28 ความจริงมัน น่าจะดี แต่ไปๆมาๆ ก็มีจุดสะดุดจุด สะดุด นี่เป็นชะตาของชาติ แต่ยังไงๆ ก็ต้องไปเจอะจุดรวยแน่

ถ้าพวกนี้รวยนะ วัดท่าซุง ไม่เป็นไร คือว่า หนี้นี่นะ…..อย่าคิดว่ามันโจ๊ะกันได้ เมื่อปี 30 นะ มันเกิน ค่าใช้ จ่ายเดือนละ 2 ล้านเศษ อันนี้ ต้องคิด เดือนนี้ก็ตกเกือบ 3 ล้าน คือ 2 ล้าน 9 แสนเศษ

ตอนนี้ ท่านให้ฉันเขียนโครงการ ที่จะทำให้เสร็จ ในปี 30 โครงการของท่าน จริง ๆ มีมาก ท่านย่า ก็เคยบอก ท่านบอกว่า "ท่านไม่บอกคุณตรง ๆ หรอก ท่านรู้ใจคุณ ถ้าบอกโครงการทั้งหมด คุณไม่ทำแน่"

พระพุทธเจ้า ก็รู้คอนะ ไปๆ มาๆ ท่านให้นั่งเขียน ตามนี้นะ 12 รายการ ให้เสร็จ ภายในปี 30 เลย คิดว่า เงินที่ต้องใช้เป็น ล้านๆ รายการมากนะลูก ถ้าหากจะถามว่า 10 ล้านพอไหม ก็ต้องบอกว่า มันไม่ได้ครึ่งหลัง ที่ท่านสั่งทำหรอก

วันนั้นก็ขึ้นไปที่กระต๊อบฉัน ไปถึงกระต๊อบ ก็ปรากฏว่า สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านประทับอยู่ที่นั่น และท่านพระเจ้าแม่ให้นาม ว่า "มัทรี" หรือ"พิมพา"ไปที่อเมริกา ท่านบอก "ฉันแม่คุณ เหมือนกัน ฉันเคยเป็นแม่คุณ" ถามว่าชื่ออะไร "ชื่อมัทรี" แล้วคุมมาตั้งแต่อเมริกาเวลานี้ก็ยังคุมอยู่ ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า คำสั่งที่สั่งให้ทำมันเกินวิสัย แค่อาคาร 300 ห้องจาก พ.ศ. นี้ไปจนถึง 30 มันก็เสร็จยากเหลือเกิน และ อีกหลายรายการ มันก็ใหญ่ทั้งนั้น ท่านแม่มัทรีก็บอกว่า

"เอาอย่างนี้ซิลูก ขออำนาจพระพุทธานุภาพ" ก็เลยหันไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า

"ได้ ฉันต้องช่วยเธอ"

แล้วต่อมา เดินเล่นในบริเวณกระต๊อบของฉันเล็กๆ มันมีถนนหนทางใช่ไหม ก็ปรากฏว่า เดินไปเดินมา สมเด็จองค์ปฐมก็ เสด็จมาเดินด้วย ท่านบอกว่า

"สภาพของพระนิพพาน มันเป็นอย่างนี้นะ คนที่ถึงพระนิพพานแล้ว กิจอื่นที่ทำ ไม่มี มันเป็นอย่างนี้นะ เวลานี้ เราเดินกลาง บริเวณ พวกเราทั้งหมดลองนั่งดูซิ มันจะมีอะไรไหม"

ที่มันเป็นที่นั่งไม่มีเลย พอนั่งปุ๊บไอ้เตียงตั่งมันเสือกมาได้อย่างไร ก็ไม่รู้ เลยคุยไปคุยมา ท่านก็เลยบอกว่า

"งานที่ฉันสั่งต้องเสร็จทัน 30"

ท่านย่ากับแม่ศรีก็ขึ้นไป ท่านย่าบอกว่า อำนาจพุทธานุภาพก็มีแล้ว สังฆานุภาพก็มีแล้ว พรหมานุภาพกับ เทวานุภาพก็ช่วย แล้ว แต่ว่า ถ้าบรรดาลูกหลานมันยากจน และ ปี 28 มันจะเครียด ขอพรพระพุทธเจ้าขอคาถาสักบท (ที่ท่านให้ฉันไว้นี่) ขอ ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ใช้เถอะ ให้ อนุมัติ"

ความจริงคาถาเฉพาะนี่จะให้ใครไม่ได้เลย ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปพิมพ์แจก และก็ให้มันทำด้วยความเคารพ"

ฉันไม่ยืนยันว่าคนที่ไม่เคารพฉันจะมีผล จำให้ดีนะ

จึงขอให้ทุกคนถ้าได้รับคาถานี้ ให้ตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงใจด้วย ความเคารพในพระพุทธเจ้า

ต่อนี้ไปก็อ่านคาถาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประธาน และให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า คิดว่า คาถาทั้งหมดนี้ จงปรากฏ อยู่ในจิตของเรา ลาภผลต่างๆ ให้ปรากฏแก่เรา ตามที่พระองค์ทรงต้องการนะ นึกถึง ท่านนะ

สัมปจิตฉามิคาถาสนองกลับ

นาสังสิโม คาถาพระพุทธกัสสป

บทแรก "พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ" อันนี้ตัดอุปสรรค ที่ลาภจะมา แต่เขามาบอกว่า มีผลแน่นอน คือว่าแกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้า ก็ทรงยืนยันบอกว่า ให้หมด

บทที่สอง "พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม" คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนของท่าน

บทที่สาม "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม" บทนี้เป็นคาถาปลุกพระวัดพนัญเชิง

บทที่สี่ "มิเตพาหุหะติ" เป็นคาถาเงินล้าน

บทที่ห้า"พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัส
สะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม" เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

บทที่หก "สัมปติฉามิ"บทนี้เป็นบทเร่งรัดบทสุดท้าย

บทที่เจ็ด "เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พ.ย.33 เป็นภาษาโบราณแต่เทียบกับ ภาษาไทย อ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ต้องสวด เป็นบทเดียวกัน บูชาเรื่อย ๆ ไป การบูชา ถ้าบูชาเฉย ๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้

อย่าลืมนะ เวลาสวดมนต์ แล้วให้สวดคาถานี้ 9 จบเท่าเดิมนะ และเวลาภาวนานอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งหลับ ไปเลย ตื่นขึ้นมา ต่อจากกรรมฐาน นอนก็ได้ ใจสบาย ๆ นะ บางทีเผลอ ๆ ฉันก็ต้องว่า ของฉันเรื่อย ๆ ไป คาถาเงินล้านนี่ มาให้เมื่อปีฝังลูกนิมิต ท่านบอกว่า งานข้างหน้าจะหนักมาก หลังจากนี้เป็นต้นไป เงินจะใช้มากกว่า สมัยที่สร้างโบสถ์ อย่า ลืมนะ...เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่าเป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จเพราะ คาถาที่พระพุทธเจ้าบอก ทุกบทก่อนจะทำ ต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน

ประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ ที่ได้รับผลในปัจจุบันนี้


ผู้ถาม :    "หลวงพ่อครับ ผมก็คิดเรื่องการเรื่องงานเป็นประจำเลยครับ ทีนี้อยากถามว่ากรรมฐานบทไหนที่ทำให้ค้าขายดีครับ..?"

หลวงพ่อ :    "อ๋อ... ก็บทค้าขายราคาถูกซิ เขาขายหนึ่งบาท เราขายห้าสิบสตางค์ รับรองพรึบเดียวหมด บทนี้ดีมาก เพราะเมตตาบารมีไงล่ะ"

ผู้ถาม :    "โอ้โฮ.. ตรงเปี๊ยบเลยหลวงพ่อ.."

หลวงพ่อ :    "ยังมีอีกนะ ถ้าบทที่สองดีกว่านี้อีก จาคานุสสติ แจกดะเลย"

ผู้ถาม :    ( หัวเราะ ) "โอ...บทนี้น่ากลัวจนแย่เลย"

หลวงพ่อ :    "ไอ้เรื่องค้าขายดีมีคาถาตกอยู่บทหนึ่ง"

ผู้ถาม :    "เดี๋ยวผมขอจดก่อนครับ"

หลวงพ่อ :    "ไม่ต้องจดหรอก คาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่สมัยนั้นบวชด้วยกัน มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงมาขาย หาบไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่าย มันก็ไม่หมด

วันหนึ่งมหาโต๊ะยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่างแกก็บอก
"ท่านมหา มีคาถาอะไรดี ๆ ทำน้ำมนต์ให้ทีเถอะจะได้ขายหมดเร็ว ๆ "
มหาโต๊ะแกไม่ใช่นักคาถาอาคมกะเขานี่ ก็นึกไม่ออก แต่ไอ้นี่น่าจะดีว่ะ "อนัตตา" แกนึกในใจนะ แกไม่ได้บอก แกก็เอาน้ำล้างหน้าพรม ๆ ยายนั่นแกก็กลับไป พอสาย ๆ แกก็กลับ ปรากฏว่าหมด"

ผู้ถาม :    "อะไรหมดครับ...?"

หลวงพ่อ :    "ของหมด ข้าวแกงหมด แต่หม้อยังอยู่ หาบยังอยู่และคนหาบก็ยังอยู่ แหม..นี่ต้องให้อธิบายให้ละเอียดเลยนะ"

ผู้ถาม :    ( หัวเราะ )"คือสงสัยครับ"

หลวงพ่อ :    " ก็เป็นอันว่าวันต่อมา โยมคนนั้นแกก็มาหาเรื่อย ๆ แกก็สังเกตมหาโต๊ะ ในที่สุดมหาโต๊ะต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้เอาไว้ที่บูชา แกก็ไปขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกันเพราะจิตตรงใช่ไหม .. อนัตตา นี่เขาแปลว่าสลายตัวไงล่ะ"

ผู้ถาม :    "ลูกหลานเอาไปใช้ได้ไหมครับหลวงพ่อ..?"

หลวงพ่อ :    "ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้"

ผู้ถาม :    ( หัวเราะ )"แล้ว คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใช้ได้ไหมครับ...?"

หลวงพ่อ :    " ความจริงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของเขาก็ดี เขาขายของแล้วก็พรมตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็พรมหน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนล้างหน้านั่นแหล่ะ ทำตอนนั้น เอาน้ำ ล้างเสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสกแล้วพอล้างหน้าเสร็จก็พรม ตอนพรมก็ว่าไปด้วยนะ"

ผู้ถาม :    "บางคนก็บอกว่า ถ้าว่าคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ ก็จะมีลาภมาก..?"

หลวงพ่อ :    " มหาปุญโญ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมดำ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ฉะนั้นวัดนั้นจึงมีลาภมาก แล้วต่อมาสมเด็จหรือใครก็ไม่ทราบ ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ท่านบอกว่า เสกด้วยคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วท่านก็บอกให้ต่อด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า มีอยู่รายหนึ่งชื่อ นายแจ่ม เปาเล้ง บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น ( นี่พูดถึงเงินในสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไรก็คิดกันดู ) ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน

ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา
"คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้" ลูกเมียแกว่าอย่างนั้น

ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหล่ะ? ทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริง ๆ ตาแจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะ งามสะพรั่งมีพริกเยอะแยะ มองดูหนาทึบ ไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุก ๆ หงิก ๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่ง ๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์
อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบาง ๆ ยอดหงุกหงิก ๆ นั่นแหล่ะ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้ง ๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทราบใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนักเลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่า นั้นหาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น

พริกของคน อื่นเขาเก็บกัน ๒ - ๓ ครั้ง ก็หมดแล้วครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สาม เก็บได้อีกเพียงเล็กน้อยเป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้งแล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงได้หมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่า ๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิก ๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่า พริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า "เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง" ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น"

( นี่เห็นไหม... ถ้าหากว่า ท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ )

ต่อมามีผู้นำคาถา อนัตตา ไปปฏิบัติหลังจากที่หลวงพ่อแนะนำไปแล้ว เขาผู้นั้นได้เข้ามารายงานกับหลวงพ่อว่า
"หลวงพ่อครับ อนัตตา แจ๋วเลยครับ อัศจรรย์มาก ตอนบ่ายวันนี้ฟลุ๊คมาก ของที่ผมขายฝรั่งซื้อคนเดียว ๑,๖๐๐ บาท ไม่เคยมีปรากฏเลยครับ""

"อาจารย์ทำยังไงล่ะ.. อาจารย์ใช้แบบไหน จึงมีผลตามลำดับ... จะได้แจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง"

ผู้ถาม :    " อันดับแรกตักน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปไว้หน้าพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วชุมนุมเทวดาไหว้พระบูชาพระตามหลวงพ่อกล่าวนำ มีมนต์อะไรก็สวดไป ของผมสวดยาวหน่อย เมื่อสวดเสร็จแล้ว ก็อาราธนาบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็มาหลวงปู่ปาน แล้วมาหลวงพ่อ

เสร็จแล้วเช้าตื่นมาก็กราบแก้วน้ำ ๕ ครั้ง แล้วก็เอามาที่ห้องน้ำ แบ่งครึ่ง ครึ่งหนึ่งใส่ขันสำหรับล้างหน้า ก่อนจะแบ่งก็ตั้งจิตให้ดี ว่านะโม ๓ จบ แล้วก็ว่าคาถานี้อีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ใช้ก็ใช้คาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เม ฯ แล้วก็มาว่า คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อว่าเสร็จแล้วก็บอก "อนัตตา ขายเกลี้ยง"
อีกครึ่งหนึ่งเราแบ่งมาแล้วก็ว่า คาถาวิระทะโย ไป แล้วก็พรมตู้อะไรต่าง ๆ แล้วก็ลงท้าย "อนัตตา ขายเกลี้ยง ๆ ๆ" แม้แต่หน้าร้านก็พรมออกไปเลย ถ้าใครเดินมาถูกน้ำมนต์ปุ๊บอยู่ไม่ได้ ต้องมาซื้อ อันนี้ได้ผลดีครับ"

หลวงพ่อ :    "อ้าว.. จำได้ไหมล่ะ อันนี้ก็ดีมีประโยชน์นะ ควรจะนำไปใช้ทุก ๆ คนนะ ฉันบอกให้อาจารย์เขาไปทำ ท่านทำแล้วผลมันเกิดขึ้นทุกวัน"

ผู้ถาม :    "แล้วถ้าฟลุ๊คอะไรเป็นพิเศษละก้อ เวลาจุดธูปเทียนหรือพรมน้ำมนต์ มันจะมีขนลุกซู่ซ่า ถ้าซู่มากละ มาแน่"

หลวงพ่อ :    " อ้อ..กำลังปีติสูง ใช่ เพราะซู่ซ่านี่เจ้าของมาแสดงให้ปรากฏ ถ้านึกถึงท่านจริง ท่านเข้ามาช่วยจริงก็ถือว่าเป็นอาการของปีติ เมื่อสัมผัสแล้วทางจิตใจก็เกิดปีติ ความอิ่มใจเกิดขึ้น ขนลุกซู่ซ่ามาก การแสดงออกตามอาจารย์พูดน่ะถูก ถ้าหากว่าสัมผัสน้อยก็มีผลน้อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าปกติ สัมผัสมากก็มีผลมากหน่อย ปัจจุบันทันด่วน อันนี้ถูกต้อง ถ้าทำขึ้น หนักจริง ๆ นะ ถ้าขายของเป็นน้ำหนัก น้ำหนักจะสูงขึ้น แล้วก็ไม่สูงแต่ของเรา เอาไปขายคนอื่นต่อก็สูง นี่เขาทำมาแล้วนะ คน ที่ไทรย้อยแกขายข้าว ไปซื้อข้าวมาวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาไปขึ้นโรงสี แกก็พรมน้ำมนต์ก่อน พอถึงบ้านก็พรมน้ำมนต์หน่อย พอขึ้นโรงสีปรากฏว่าน้ำหนักสูง

ถ้าหากว่าของที่เก็บไว้ในปี๊บในถงในอะไรก็ตาม จะมีปริมาณสูง
เมื่อก่อนหลวงพ่อปานท่านบอก เอาข้าวใส่ยุ้งฉางให้เรียบร้อย ตวงให้ดี แล้วนับให้ดี ทำมาจนกว่าจะถึงฤดูออกมาใช้มาขาย แล้วตวง มันจะมากทุกคราว
จำเอาไว้นะ ถ้าปฏิบัติ ทุกคนจะไม่จน ฉันอยากให้ทุกคนรวย ฉันจะได้รวยด้วย พระแช่งให้ชาวบ้านจนก็ซวย พระไม่มีกินน่ะซิ"

จบ...

ประเทศชาติเข้าสู่มังกรยุค 8


ณ บัดนี้ ประเทศชาติเข้าสู่มังกรยุค 8 มังกรยุค 8 นี้ ความเจริญรุ่งเรืองทั้งอำนาจและความร่ำรวยคือกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างองศา 105-150 องศาตะวันออก






ประเทศที่อยู่ในโซนแห่งความเจริญรุ่งเรืองของมังกรยุค 8 นี้ ก็จะมีจีน,อินเดีย,รัสเซีย,ฮ่องกง,ไต้หวัน,ญี่ปุ่น,เกาหลีเหนือ,เกาหลีใต้,เวียดนาม,ลาว,กัมพูชา, ฟิลิปินส์,อินโดนีเซีย,ติมอร์ตะวันออก,บูรไน,ปาปัวนิวกินี,ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์
สำหรับประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างองศา 105-150 องศาตะวันออกนี้ ที่น่าสนใจที่สุดก็ไม่พ้นหัวมังกร คือ ประเทศจีน และตั้งแต่ที่พระกษิติครรภทำหน้าที่เปิดกระดองเต่าของเต่ามังกรออกแล้วมังกร ก็คือ มังกรเต็มตัว ที่พร้อมที่จะบินได้ทั้งบก น้ำ อากาศชาวจีนในยุคปัจจุบันมีเงิน มีกำลังซื้อสูงมาก ปัจจุบันนี้การค้าคึกคัก ประเทศจีนจะเป็นหัวมังกร อีกทั้งที่ตั้งของเมืองปักกิ่งนั้น ก็อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นทิศทางที่ตั้งของดาวยุค 8 โดยตรงทีเดียว




การที่ประเทศจีนมีฮวงจุ้ยที่สัมพันธ์กับจักรวาลและดวงดาวของมังกรยุค 8 จีนจึงร่ำรวยเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากแบบฉุดกันไม่อยู่ และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจนี้จะทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจ ซึ่งคือการเป็นหัวมังกรนั่นเองมังกรยุค 8 นี้ เป็นมังกร 5 เล็บ มีอาณาบริเวณถึง 5 ทวีป 5 มหาสมุทร ทีเดียว


จากการแบ่งภูมิภาคโลกของดาวยุค 8 ประเทศไทยถ้าดูในแผนที่องศาแล้ว จะเห็นว่าในส่วนของประเทศไทยนี้ได้รับ พลังดาวยุค 8 โดยตรงคือใน ภาคพื้นอีสาน





ตามโองการนวกาพรหม นามแม่กาเผือกสู่แผ่นดินอิสานและสามเหลี่ยมมรกตให้บุรพชนต้นตระกูลเผ่าพันธุ์ลว้า ขอม และไทยที่อยู่ประจำแผ่นดินนี้ สะสางภพชาติให้คำนวณรวมเป็นหนึ่ง ด้วย รัก สันติ สามัคคี นี้คือธรรมเปลี่ยนผังที่ผิด ๆ มาแต่อดีตในภพชาติที่เข่นฆ่ากันมาสู่ความถูกต้อง เที่ยงตรงและเที่ยงธรรม คืนความอุดมสมบูรณ์พูนสุขตลอดแนวทั่วแผ่นดินความเจริญจะปกแผ่ไปทั่วภายใต้ร่มโพธิ์เงิน-ไทรทองภาคพื้นอีสานก็ก้าวขึ้นมาสู่ความเจริญ ประเทศไทยผลิตและส่งออกสินค้าการเกษตรได้มาก ฉะนั้นประเทศไทยก็สามารถสร้างความร่ำรวยในยุค 8 ได้จากการขายสินค้าเกษตรกรรม


ในส่วนของประเทศลาวที่ถูกคำนวณในงานนวกาพรหม รหัส "สามมุมเมือง"จะสร้างเมืองใหม่เป็นประตูเชื่อมความเจริญให้ตลอดถึงแนวซึ่งกันและกันของประเทศต่าง ๆ ในสุวัณณภูมินี้







ปรมัตถ์ประเทศลาว คือ "เมืองทอง บ่อแตน" จะเป็นประตูเปิดต้นทางถนนสายเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ เปิดทางให้จีนลงใต้เข้าสู่ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และเปิดเส้นทางธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหญ่มณฑลยูนาน ประเทศจีนความเจริญจะแผ่ขยายไปตลอดทั่วประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการบริการขนส่ง การท่องเที่ยว ของประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น จีนและเกาหลี


ถนนสายเศรษฐกิจนี้จะเชื่อมผ่านจากจีน,ลาว,ไทยไปถึงสิงคโปร์และเชื่อมสู่กัน ผ่านประเทศไทย ไปสู่ฝั่งตะวันออก - ตะวันตก ถนนสายเศรษฐกิจที่เชื่อมทะเลจีนใต้ในประเทศเวียดนามกับทะเลอันดามันในพม่า ทุกประเทศจะเปิดประตูออกสู่ตลาดโลก ด้วยการลงทุนโดยตรงจากมิตรประเทศ การลงทุนร่วมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะประเทศเวียดนามในอีก 10 ปีข้างหน้าจะขึ้นมาลำดับต้น ๆ ทีเดียว เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว ชาวเวียดนามเป็นมนุษย์ที่มีมันสมองเป็นหนึ่ง (อันดับสอง คือ ยิว ในวิชากระโหลกศีรษะและปุ่มสมอง)


และดินแดนสุวัณณภูมิ 6 ประเทศบนบก..........เชื่อมต่อกับอีก 4 ประเทศในทะเล ซึ่งเป็นดินแดนที่มีศักยภาพจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของโลกได้ไม่แพ้มหาอำนาจอื่น ๆมันสามารถทำให้ลมพายุอันรุนแรงคลายตัว สงบลงได้เมื่อพัดมาถึงดินแดนแห่งนี้ มันจะกลายเป็นพื้นที่ที่บรรจบกระแสน้ำสองสายให้ไหลเข้าประสานกันได้สนิทเขตแดนที่เป็นรอยต่อระหว่างมหาสมุทรสองฝั่ง เขตแดนที่เป็นสะพานเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมของโลกทั้งหมดไม่ว่าตะวันออกหรือตะวันตก คนผมดำ และคนผมทองก็จะกลายเป็น........โลกเดียวกันในที่สุดดินแดนเหล่านี้ถูกภาคฟ้ากำหนดเป็น "เขตสันติภาพ"ในมังกรยุค 8 และ 9 จะรวมเป็นภราดรภาพและความร่วมมือร่วมใจระหว่างประชากรด้วยกัน

ภายหลังมหันภัยพิบัติ ภัยเศรษฐกิจต่าง ๆ บรรดาผู้นำประเทศจะค้นพบวิธีการอยู่ร่วมกันด้วย รักเมตตา สันติ สามัคคี นี้คือธรรมสันติภาพที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข ความมั่นคงของภูมิภาคอินโดจีนจะเกิดขึ้นจริง ๆ แม่น้ำสายต่าง ๆ เสมือนหนึ่งนิ้วแต่ละนิ้ว

อินโดจีนทั้งหมดจะรวมกลับเป็นมือ ๆ หนึ่งที่ทรงไว้ซึ่งภราดรภาพ สันติภาพ และ เอกภาพแห่งความสมานฉันท์บ้านพี่ เมืองน้อง ดุจอดีตของแผ่นดินสุวัณณภูมิว่าแผ่นดินนี้คือแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง


กระแสความเปลี่ยนแปลง กระแสลมตะวันออกกับตะวันออกระหว่างเอเชียกับสากล และแหลมอินโดจีนแห่งนี้ดูจะมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้มุมจบของมนุษยชาติเข้าถึงจิตสำนึกแห่งความสามัคคี นี้คือธรรม เข้าถึงความเป็นน้องพี่ การสร้างสันติภาพที่แท้จริงด้วยธรรม อดีตที่สูญเสีย บทเรียนอันเลวร้ายแห่งภัยสงคราม ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็จะถูกลดความสำคัญลงไป และมันคือการทำลาย "อุปสรรค" แห่งสันติได้ดีที่สุด ไม่มีสิ่งสมมติแห่งตัวตน เชื้อชาติ ประเทศชาติ อาณาจักร ลัทธิการปกครองหรือพรมแดนประเทศก็ตามที ความร่วมมือร่วมใจระหว่างผู้คนในชาติ ระหว่างประเทศต่อประเทศแผ่นดินสุวัณณภูมิที่หย่อนตัวลงไปในระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และ ทะเลจีนใต้ เป็นเสมือนป้อมปราการสำหรับเส้นทางการคมนาคมของโลกที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และ ทวีปเอเชียแผ่นดินแห่งนี้จึงเป็นสพานเชื่อมโลกเหนือและโลกใต้ และจะสร้างสรรโลกใหม่ที่ทั้งโลกเหนือและโลกใต้


มังกรยุค 8 แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 
1.ระยะเพาะปลูก – ไถพรวน กำหนดกาล 13 ปี หมายถึง เมล็ดพืชพันธุ์ที่เตรียมงอกงาม ระหัส “ 3 ปฏิรูป ” ( ซันเหมินจุ้ยอี๋ = สามประตูสู่ความเป็นเลิศ ) คือภาคฟ้า การอภิวัฒน์ขจัดสิ่งผิดในอดีต คืนสู่ความถูกต้อง เที่ยงตรงและเที่ยงธรรมภาคปฐพี ได้แก่การปฏิรูป 3 ธาตุ คือธาตุไม้ การปฏิรูปการเกษตร และสินค้าแปรรูปการเกษตร โลกมังกรยุค 8 คือ การเกษตร (ยุค 7 คือโลหะ เทคโนโลยี่)ธาตุไฟ การปฏิรูปพลังงานเชื้อเพลิง ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ตั้งแต่รัสเซีย จีน สู่ประเทศคาบสมุทรอินโดจีนทุกประเทศ ระหัส"มดแดง" คือ ระบบท่อยาว ๆ ใต้ดินเหมือนทางเดินใต้ดินของมดธาตุดิน การปฏิรูปที่ดินทำกิน ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์มากที่สุด รวมถึงระบบขนส่ง การคมนาคม ซึ่งมีถึงกันทั้งทางบก ทางน้ำ และอากาศ ตลอดแนวประเทศโลกมังกรยุค 8 


2.ระยะเก็บผลดอกบุญ กำหนดกาล 9 ปี หมายถึง การเก็บเกี่ยวไม้ดอก พืชผล เมล็ดพืชพันธุ์ที่งอกงาม ผู้มีคุณธรรม จะได้รับผลบุญ มีความเจริญรุ่งเรืองประสบสุข แผ่นดินตลอดแนวมังกรยุค 8 การค้า – ธุรกิจเป็นหนึ่งใจเดียว ศูนย์เศรษฐกิจของโลกผันพลิกจากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก สู่ความเป็นจ้าวเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่


โลกมังกรยุค 8 เป็นโลกของผู้คนที่มีคุณภาพและคุณธรรม แข่งขันกันด้วยปัญญา ความสามารถ ด้วยกายเจริญอริยะ จิตเจริญเมตตาที่ตั้งทิศของดาวยุค 8 โดยตรง คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นยุคเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมผู้คล้อยตามฟ้า ย่อมเจริญรุ่งเรืองผู้ขัดขวาง ย่อมถูกทำลาย 

****************


ประวัติธาตุธรรมของวงศ์มังกรที่กำเนิดก่อเกิดกายเพื่อสะสาง และ สืบสานงานธรรมจักร และ พุทธจักรของยุคเขียว ยุคแดง และยุคขาว

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชี้ทางผู้เริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์



ชี้ทางผู้เริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์

เล่าเรื่องวิชาไสยศาสตร์

           “ไสยศาสตร์นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ  และยังมีคนมากมายในโลกที่ยังสงสัยว่า  "ไสยศาสตร์"
นั้นคืออะไร  กำเนิดมาจากไหน  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยังคาใจของท่านทั้งหลายที่ต่างก็อยากรู้ในวิชาแขนงนี้
ฉะนั้นเมื่ออยากรู้จึงต้องเสาะหาผู้ที่รู้จริงซึ่งนั่นก็คือผู้ที่เรียนมาทางด้านนี้โดยตรง  ซึ่งมีมากมายหลายแขนง
ให้ศึกษาเกี่ยวกับความลี้ลับของวิชาไสยศาสตร์และผู้ที่จะเรียนรู้อย่างจริงจังนั้นจะต้องเป็นผู้มีความชอบหรือ
ความรักทางด้านนี้โดยเฉพาะเท่านั้นจึงจะเรียนได้และสามารถนำมาใช้ได้จริงจึงต้องมีความพยายามเป็นอย่าง
มากในการฝึกฝน ”
            เมื่อมาถึงตรงนี้เรามาเข้าเรื่องของวิชาไสยศาสตร์นั้น มี 2 ประเภท คือ

สายดำ คือ เดรัจฉาวิชา  เรียนแล้วนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ  คือ  นำมาทำร้ายคนอื่นๆด้วยวิชาที่ตนมี เช่น 
เสกหนังควายเข้าท้อง , ทำเสน่ห์ยาแฝด , ทำให้ผัวเมียเลิกกัน  โดยอาศัยเดรัจฉาวิชาคนพวกนี้เมื่อตายไป
แล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง  เพราะต้องตกนรกอเวจี  และต้องใช้กรรมเป็นอย่างมาก

สายขาว  คือ   วิชาพุทธคุณ  เรียนแล้วนำไปใช้ในการช่วยรักษาคนที่โดนกระทำด้วยคุณไสยศาสตร์ต่างๆ   หลักศีล 5 เป็นหลัก  วิชาพุทธคุณนี้มีเสื่อมมีดับหากเราทำผิดกฎข้อห้าม

และยังช่วยผู้ที่ตกทุกข์  ร้อนใจต่างๆให้พ้นจากทุกข์  โดยใช้วิชาพุทธคุณในการช่วยเหลือ  โดยใช้คาถา
ต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านได้นำแสดงไว้มาใช้ให้เกิดความขลังในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดเป็นเมตตามหาเสน่ห์,
มหานิยม, มหาอำนาจ, โภคทรัพย์  โดยการนำมาสัก, นำมาเขียน, นำมาเป่า, นำมาเสก ลงสู่ร่างกายโดยต้อง
ยึดถือกฎข้อห้ามต่างๆ โดยกฎต่างๆจะยึด

คุณสมบัติของผู้ที่จะเรียนไสยศาสตร์ได้สำเร็จ คือ

1. เป็นผู้ที่มีความสนใจอย่างจริงจัง
2. ต้องมีความอดทนอย่างยิ่งยวด
3. ต้องเป็นผู้ที่เคารพครูบาอาจารย์อย่างที่สุด
4. ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนได้เรียนและได้ใช้อย่างไม่แคลงใจ

          ผู้ที่สนใจอยากศึกษาไสยศาสตร์  ท่านต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น โดยต้องยึด
หลักความจริงของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักและต้องเชื่อเรื่องของกรรมดี-กรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้
เพราะมันมีความเกี่ยวเนื่องกับวิชาไสยศาสตร์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผีสาง , เทวดา , เทพ , พรหมต่างๆ 
ล้วนมีอยู่จริงในหลักธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น  และท่านที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์ได้นั้นต้องเป็น
 ผู้ที่ผ่านการฝึกจิต-สมาธิมาเป็นอย่างดี  จนสามารถนำพลังงานที่มีอยู่ในตัวและในโลกมาใช้ได้ในรูปแบบต่างๆ 
เช่นดังพระเกจิอาจารย์ท่านต่างๆที่สามารถนำพลังงานต่างๆมาประจุลงเครื่องรางและของขลังต่างๆ
เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันอันตรายที่จะมีแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่าน และท่านทั้งหลายยังจะสามารถนำพลังงาน
ที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ  เช่นดังที่มีอยู่ในตำนานเรื่องเล่าของหลวงปู่ศุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่า  ที่ท่านสามารถเสกหัวปลีเป็นกระต่ายและเสกคนเป็นจระเข้ได้อย่างน่าแปลกใจ 
ท่านที่ต้องการศึกษาไสยศาสตร์ท่านต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ในคาถาอาคมต่างๆและต้องเป็นผู้ใฝ่หาครูบาอาจารย์ที่จะมา
ให้คำแนะนำอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับตนเองเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่ตนเอง หรือที่เรียกว่า “ ของเข้าตัว ”

  หลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย
ท่านผู้สนใจในวิชาไสยศาสตร์พึงจะต้องรู้จักหลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย  มีดังนี้
1. มฤคเวท  เป็นการสวดเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
2. ยชุรเวท  เป็นการสวดอ้อนวอนพระเจ้า
3. สามเวท  ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4. อถรรพเวท  เป็นเวทมนตร์คาถาเรียกผีสางเทวดาให้มาช่วยป้องกันอันตราย
และมีการแก้อาถรรพณ์ต่างๆในวิชาอาถรรพณ์

อถรรพเวทเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งและเป็นคัมภีร์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก
คัมภีร์อถรรพเวทแบ่งออกเป็น 8 สายย่อยอีกด้วย  มีดังนี้
4.1 วิชาแก้โรคต่างๆ  อาคมประเภทนี้ใช้เป่ารักษาโรคต่างๆให้หายได้
4.2 วิชามหาประสาน  อาคมประเภทนี้ใช้เป่าบาดแผลให้ประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
และยังสามารถใช้ประสานกระดูกได้อีกด้วย ในปัจจุบันยังมีคนนำวิชานี้มาใช้อยู่
4.3 วิชาสะเดาะ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าสิ่งของให้หลุดออกจากกัน เช่น สะเดาะกุญแจ,
โซ่ตรวน, สะเดาะลูกในครรภ์ของมารดา แม้แต่ก้างติดคอก็ยังใช้อาคมบทนี้
4.4 วิชาป้องกันตัว  อาคมประเภทนี้ใช้เป่าปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ เพื่อให้เกิด
ความเป็นคงกระพันชาตรี  ฟันแทงไม่เข้าคงทนต่ออาวุธทั้งปวง และให้แคล้วคลาด
จากอันตรายทั้งปวง
 4.5 วิชาแสดงปาฏิหาริย์  อาคมประเภทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆได้
เช่น  ล่องหน, กำบังกาย, หายตัวดำดิน เดินบนน้ำและอากาศ, ย่นระยะทาง, ลุยไฟ, แปลงกาย 
ผู้ที่มีวิชานี้สามารถทำได้หลายอย่าง

4.6 วิชาคุณไสยทำอันตรายผู้อื่น อาคมประเภทนี้ใช้ทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บและตายได้ แล้วแต่
ความต้องการของผู้กระทำหรือผู้จ้างวาน เช่น  เสกหนังควายเข้าท้อง, เสกมีดเข้าท้อง,
เสกตะปูเข้าท้อง, เสกกระดูกผีเข้าท้อง  เป็นต้น
 4.7 วิชาแก้คุณไสยและแก้ภูตผีปีศาจ  อาคมประเภทนี้ใช้เป่าและแก้การถูกกระทำด้วย
ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสกตะปู, มีด และกระดูกผี วิชานี้สามารถใช้แก้และรักษาได้
 4.8 วิชาการทำเสน่ห์  อาคมประเภทนี้ใช้เสกเป่าสิ่งของและของกิน รวมทั้งคนให้มาหลงไหล
มารัก มาหลงตนเอง  เรียกวิชานี้ว่า  “  วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม  ”
วิชาเหล่านี้มีความสำคัญต่างกันและผู้ที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์นั้นก็สามารถเลือกที่จะเรียนได้ตามที่ตนสนใจ
แต่ควรรู้จักให้ครบทั้ง 8 สายวิชา  เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกัน

        ไสยศาสตร์ที่มีบทบาทในประเทศไทยในอดีต

            เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย  ไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะยุคนั้นพระมหากษัตริย์
และขุนนางต้องออกรบพร้อมกับทหาร รวมถึงการปกครองการบ้านการเรือนทั้งหมดต้องใช้ไสยศาสตร์
ทั้งสิ้น เพราะไสยศาสตร์แยกเป็นหลายแขนง เช่น วิชาคงกระพันชาตรี, วิชาแคล้วคลาด,
วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม, วิชาเสน่ห์เล่ห์ , กลวิชาแต่งคน , วิชากำบัง  และอื่นๆอีกมากมาย
วิชาคงกระพันชาตรี 
         เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆ
ทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง 
บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหน
ก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา  แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัว
ของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผล
ให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลม
แทงสวนทวารอย่างเดียว
วิชาคงกระพันชาตรีนั้นยังมีแยกออกไปอีก 9 วิชา
วิชาอาพัด, เหล้า, หมาก, ใบพลู, ยาสูบ, พริกไทย, ว่านและรากไม้ต่างๆวิชานี้ใช้เสกของกินเพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาปูนคาดคอ 
วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว 
วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาอาบน้ำว่าน 
วิชานี้ใช้อาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำมันเดือด
 
วิชานี้ใช้เสกอาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี  แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
วิชาเสกฝุ่นทาตัว 
วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี   ในบางทีเรียกว่า  “ หนุมารคลุกฝุ่น ”
วิชาสักยันต์ 
วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเขียนยันต์ 
วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ,
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ 
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาชาตรี คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม  วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน
เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่ 
วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น

ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย  เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบ
ตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา 
วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา  และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว  

เรียกว่า  “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม
วิชาแคล้วคลาด
วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี  เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย
จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ  ไม่โดน 
และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป 
โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลัง
และลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย  วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่
เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย

วิชามหาอุด วิชามหาอุดเป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ  “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุด “ เมื่อครั้งมีเหตุให้
โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย 
วิชามหาอุดมักถูกเขียนลงตระกรุด  ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด

เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า  เป็นต้น
วิชาแต่งคน
วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้
คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก 
ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี
  
“ วิชาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ในอดีตจนถึงปัจจุบันพระสงค์และผู้มีวิชาอาคมทั้งหลาย 
มักนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อใช้คุ้มครอง และให้เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่นำไปบูชา
ในบางอาจารย์อาจจะนำมาใช้ในการลงอักขระสักยันต์ลงบนร่างกายอีกด้วย ”

หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้

 หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ :: หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้
    หลวงปู่ทวด เป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยาในแผ่นดินของสมเด็จพระเอกาทศรถ  แต่เดิมท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ
จึงมีอีกสมญานามหนึ่งว่า สมเด็จพะโคะ มีเรื่องเล่าว่า “ตอนที่ท่านเดินทางโดยเรือผ่านอ่าวไทย เพื่อเข้ากรุงศรีอยุธยา
นั้นก็เกิดคลื่นลมทะเลปั่นป่วนขึ้น เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมออยู่กลางทะเลถึง ๗ วันทำให้เสบียง
อาหารและน้ำหมด บรรดาลูกเรือจึงตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดอาเพศในครั้งนี้เป็นเพราะท่านที่เป็นภิกษุ จึงตกลงใจส่งท่าน
ขึ้นเกาะได้นิมนต์ท่านให้ลงเรือมาด ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในเรือมาดนั้นท่านได้ห้อยเท้าซ้ายแช่ลงไปในน้ำทะเล ได้บังเกิด
อัศจรรย์ขึ้นเมื่อน้ำทะเลบริเวณนั้นเกิดประกายแวววาวโชติช่วง ท่านจึงบอกลูกเรือให้ตักน้ำขึ้นมาดื่ม เมื่อดื่มน้ำนั้นก็รู้สึก
ว่าเป็นน้ำจืดจึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาเรือจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นเรือสำเภาอีกครั้ง ”ท่านจึงมีอีกหนึ่งสมญานาม
ว่า  “ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ”
“ มีคำกล่าวว่าหากผู้ใดแขวนพระหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ไว้กับตัวแล้วผู้นั้นจะไม่ตายโหง ” เนื่องจากดวงวิญญาณของท่าน
นี้มีพลังมาก เมื่อท่านเห็นว่าลูกศิษย์ที่เคารพบูชาท่านตกอยู่ในอันตรายท่านจะมาช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย
ดังมีผู้คนบอกเล่าและลือกันอย่างมากมาย 

เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์  ( โต )  วัดระฆังโฆสิตาราม
 เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ :: เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต )  วัดระฆังโฆสิตาราม
    
       ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่พระพุทธศาสนิกชนกล่าวขวัญถึงในนามของสมเด็จโต  ท่านถือกำเนิดในปี พ.ศ. 2319
จนอายุได้ 13 ปี สมเด็จโตจึงบรรพชาเป็นสามเณรในเมืองพิจิตร  เมื่ออายุครบอุปสมบทจึงโปรดฯให้บวชเป็นนาคหลวง
ที่วัดตะไกร จ.พิษณุโลก ท่านได้เป็นพระพี่เลี้ยงและครูสอนหนังสือขอมและคัมภีร์มูลกัจจายน์เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงบวช
เป็นสามเณร ครั้งเจ้าฟ้ามงกุฎครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 สมเด็จฯโตได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามและได้เป็น
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านรอบรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยและธรรมปฏิบัติ ความเป็นเลิศในการเทศนา  ด้รับการยกย่อง
สรรเสริญในสติปัญญาและปฏิญาณโวหารที่ฉลาดหลักแหลมเปี่ยมด้วยจิตเมตตากรุณาแก่ผู้ตกยาก มีอัธยาศัย  มักน้อย 
สันโดษ  “ พระสมเด็จ ”  สมเด็จฯโตท่านสร้างขึ้นเพราะปรารภถึงพระมหาเถระ  ในสมัยก่อนมักสร้างพระพิมพ์บรรจุใน
ปูชนียสถานเพื่อเป็นการสืบต่ออายุพระศาสนาให้ถาวรตลอดกาล ท่านจึงทำตามคตินั้นสร้างพระสมเด็จไว้ 84,000 องค์ 
เท่ากับพระธรรมขันธ์ สมเด็จฯโตท่านถือปฏิบัติในข้อธุดงค์วัตรทุกประการ คือ ฉันในบาตร  ถือผ้าสามผืนออกธุดงค์
เยี่ยมป่าช้านั่งภาวนา เดินจงกรม  จนวาระสุดท้ายท่านมรณภาพเมื่อวันเสาร์  แรม 2 ค่ำ  เดือน 9 ปีจอ  เวลา 2 ยาม
รวมสิริอายุได้ 85 ปี ...

พระเครื่องของท่านนี้เป็นที่รู้กันของคนทั่วไปว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ทั้งทางด้านเมตตามหาเสน่ห์ , มหานิยม 
และยังช่วยคุ้มครองชีวิตให้พ้นจากอันตรายได้เป็นอย่างดี

พระครูวิมลคุณากร  ( หลวงปู่ศุข )  วัดปากคลองมะขามเฒ่า  อ.วัดสิงห์  จ.ชัยนาท
 พระครูวิมลคุณากร :: พระครูวิมลคุณากร  ( หลวงปู่ศุข )  วัดปากคลองมะขามเฒ่า  อ.วัดสิงห์  จ.ชัยนาท
    
     ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๕ ปี ที่วัดโพธิ์บางเขน (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโพธิ์ทองล่าง)  โดยมีพระครูเชย จนฺทสิริ
วัดโพธิ์บางเขนเป็นพระอุปัชฌาย์ พระถายมเป็นพระคู่สวด การอุปสมบทนี้มีลุงแฟงเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ส่วนโยมบิดามารดา
ไม่ได้มาร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก จากชัยนาทถึงกรุงเทพฯ ก็กินเวลาอย่างน้อย ๒ ถึง ๓ วัน จึงจะถึง
    
     เมื่อได้อุปสมบทแล้วอยู่กับพระอุปัชฌาย์  เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบ
ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิชาอาคมต่างๆจากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญดีแล้ว จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้าน
เกิดของท่าน โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชื่อวัดอู่ทอง ปัจจุบันนี้เรียกว่า  “วัดปากคลอง” ชาวบ้าน
แถวนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นเพื่อที่ว่าจะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้น
มาจนท่านมรณภาพ ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้นได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง
พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑปปรากฏให้เห็นอยู่ ส่วนการ
อบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร 
จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก

    อนึ่ง  มีผู้กล่าวว่า  ท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมากสามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย 
เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลังคงกระพันชาตรีมีอีกมาก จนถึงกับสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ใน
ราชวงจักรีได้มาทดลองดูเห็นจริง จึงได้ยอมมอบตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมาและได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์
เองที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้ หลวงปู่ศุขท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ 
ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูวิมลคุณากรและเป็นเจ้าคณะแขวง  (ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ)  เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใดท่านมรณภาพเมื่อเดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน  คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี  วั
นสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน  จึงประชุมเพลิงท่านเป็นผู้เก่งในวิชาอาคมเป็นอย่างมาก ท่านสามารถเสกคนให้
เป็นจระเข้ได้  และเสกหัวปลีเป็นกระต่ายได้
  “มาเดือนนี้อาจารย์เอกจะขอเล่าต่อจากเดือนที่แล้ว พระอริยสงฆ์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ายังมีอีกมากมายหลายรูปแต่จะขอยกตัวอย่าง 
เช่น หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้, สมเด็จโตพรหมรังสี, หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน, หลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติ,
หลวงพ่อปานวัดบางนมโค, หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร, หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอกและยังมีพระอริยสงฆ์ท่านอื่นๆอีกมากมาย
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงส่งแก่กล้า และผู้ที่จะฝึกพลังจิตให้สูงส่งแก่กล้าได้นั้นต้องผ่านการฝึกสมาธิ
กรรมฐานมาเป็นอย่างดี  จึงจะสามารถมีพลังจิตที่แก่กล้าและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งด้านปัญญาและวิชาอาคมให้เกิดอิทธิฤทธิ์
ดั่งใจต้องการ ” และในเดือนนี้อาจารย์เอกจะสอนพื้นฐานสำคัญในการเรียนวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคม

พื้นฐานสำคัญของการเรียนวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคม
อันดับแรก  คือ  ทำการฝึกสมาธิภาวนา  หรือทำการฝึกสมาธิกรรมฐาน
 หากทำการฝึกสมาธิภาวนา   ก็ทำกันง่ายๆ  คือ  การภาวนาคาถาต่างๆแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออกตามไปด้วย 
เช่น  ภาวนา “ พุท ”  หายใจเข้า  “ โธ ” หายใจออก พร้อมกับกำหนดจิตจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา 
เมื่อกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาแล้ว  จิตจะเป็นสมาธิ  ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ  เริ่มต้นที่  5 นาที 
แล้วเพิ่มไปวันละ 1 นาทีก็ได้หรือหากทำการฝึกสมาธิกรรมฐาน ในการฝึกสมาธิกรรมฐานเราต้องรู้จักกรรมฐาน ๔๐ กองก่อน 
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรู้หมดทั้ง ๔๐ กอง  แต่จะเลือกฝึกแบบไหนก็ได้แล้วแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละคน
กรรมฐาน ๔๐  แบ่งได้เป็น  ๗ หมวด
๑. หมวดกสิน ๑๐   
๒. หมวดอสุภกรรมฐาน ๑๐ 
๓. หมวดอนุสสติกรรมฐาน ๑๐ 
๔. หมวดอาหารปฏิกูลสัญญา ๑ 
๕. หมวดจตุธาตุววัฏฐาน ๑ 
๖. หมวดพรหมวิหาร ๔ 
๗. หมวดอรูปฌาณ ๔

หมวดกสิณ ๑๐
  เป็นการทำสมาธิด้วยวิธีการเพ่ง
๑. ปฐวีกสิณ   เพ่งธาตุดิน
๒. อาโปกสิณ   เพ่งธาตุน้ำ
๓. เตโชกสิณ   เพ่งไฟ
๔. วาโยกสิณ   เพ่งลม
๕. นีลกสิณ  เพ่งสีเขียว
๖. ปีตกสิน   เพ่งสีเหลือง
๗. โลหิตกสิณ   เพ่งสีแดง
๘. โอฑาตกสิณ   เพ่งสีขาว
๙. อาโลกกสิณ   เพ่งแสงสว่าง
๑๐. อากาศกสิณ  เพ่งอากาศ

หมวดอสุภกรรมฐาน ๑๐
  เป็นการตั้งอารมณ์ไว้ให้เห็นว่า  ไม่มีอะไรสวยงดงาม  มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก 
น่าเกลียด
๑๑. อุทธุมาตกอสุภ คือ  ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว  นับแต่วันตายเป็นต้นไป  มีร่างกายบวมขึ้น 
พองไปด้วยลม  ขึ้นอืด
๑๒. วินีลกอสุภ   วีนีลกะ  แปลว่า  สีเขียว  เป็นร่างกายที่มีสีเขียว  สีแดง  สีขาว  คละปนระคนกัน 
คือ  มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก  มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก  มีสีเขียวในที่มีผ้าคลุมไว้ฉะนั้นตามร่างกาย
ของผู้ตายจึงมีสีเขียวมาก
๑๓. วิปุพพกอสุภกรรมฐาน  คือ  ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ
๑๔. วิฉิททกอสุภ  คือ  ซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลางกาย
๑๕. วิกขายิตกอสุภ  คือ  ร่างกายของซากศพที่ถูกยื้อแย่งกัดกิน
๑๖. วิกขิตตกอสุภ   คือ  ซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่างๆกระจัดกระจาย มีมือ  แขน  ขา  ศีรษะ 
กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง
๑๗. หตวิกขิตตกอสุภ   คือ  ซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่
๑๘. โลหิตกอสุภ  คือ  ซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ
๑๙. ปุฬุวกอสุภ   คือ  ซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่
๒๐. อัฏฐิกอสุภ  คือ  ซากศพที่มีแต่กระดูก

 พระสาวกพิจารณาอสุภกรรมฐาน :: พระสาวกพิจารณาอสุภกรรมฐาน

อนุสสติกรรมฐาน ๑๐
  อนุสสติ  แปลว่า  ตามระลึกถึง  เมื่อเลือกปฏิบัติให้พอเหมาะแก่จริตจะได้ผลเป็นสมาธิ
มีอารมณ์ตั้งมั่นได้รวดเร็ว
๒๑. พุทธานุสสติกรรมฐาน   ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
๒๒. ธัมมานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์
๒๓. สังฆานุสสติกรรมฐาน   ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
๒๔. สีลานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์
๒๕. จาคานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์
๒๖. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน  ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
๒๗. มรณานุสสติกรรมฐาน   ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
๒๘. กายคตานุสสติกรรมฐาน   เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต
๒๙. อานาปานานุสสติกรรมฐาน  เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต
๓๐. อุปสมานุสสติกรรมฐาน   ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์
หมวดอาหาเรปฏิกูลสัญญา๓๑. อาหาเรปฏิกูลสัญญา  เพ่งอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด  บริโภคเพื่อบำรุงร่างกาย  ไม่บริโภคเพื่อสนองกิเลส
หมวดจตุธาตุววัฏฐาน๓๒. จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
หมวดพรหมวิหาร ๔  พรหมวิหาร  แปลว่า  ธรรมเป็นที่อยู่ของพรหม  พรหม  แปลว่า  ประเสริฐ
                     พรหมวิหาร ๔ จึง  แปลว่า  คุณธรรม ๔  ประการ  ที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่

๓๓. เมตตา   คุมอารมณ์ไว้ตลอดวันให้มีความรัก  อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี  ไม่มีอารมณ์เนื่องด้วยกามารมณ์ 
 เมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์
๓๔. กรุณา  ความสงสารปรานี มีประสงค์จะสงเคราะห์แก่ทั้งคนและสัตว์
๓๕. มุทิตา    มีจิตชื่นบาน พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่มีจิตริษยาเจือปน
๓๖. อุเบกขา  มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย
 หมวดอรูปฌาณ ๔  เป็นการปล่อยอารมณ์ไม่ยึดถืออะไร  มีผลทำให้จิตว่าง  มีอารมณ์เป็นสุขประณีตในฌานที่ได้
 จะผู้เจริญอรูปฌาณ ๔ ต้องเจริญฌานในกสินให้ได้ฌาณ ๔ เสียก่อน  แล้วจึงเจริญอรูปฌาณจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
๓๗. อากาสานัญจายตนะ  ถืออากาศเป็นอารมณ์  จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตย่อใหญ่เล็กได้  ทรงจิตรักษาอากาศไว้ 
 กำหนดใจว่าอากาศหาที่สุดมิได้จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
๓๘. วิญญาณัญจายตนะ  กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้  ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมด  ต้องการจิตเท่านั้นจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
๓๙. อากิญจัญญายตนะ  กำหนดความไม่มีอะไรเลย  อากาศไม่มี  วิญญาณก็ไม่มี  ถ้ามีอะไรสักหน่อยหนึ่งก็เป็นเหตุของภยันตราย
  ไม่ยึดถืออะไรจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์
๔๐. เนวสัญญานาสัญญายตนะ  ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า  ทั้งที่มีสัญญาอยู่ก็ทำเหมือนไม่มี  ไม่รับอารมณ์ใดๆ  จะหนาวร้อนก็รู้
 แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย  ปล่อยตามเรื่อง  เปลื้องความสนใจใดๆออกจนสิ้นจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
มาเดือนนี้ต้องขอโทษทุกท่านที่ติดตามอ่านเว็บ  เนื่องจากไม่มีเวลาในการทำเว็บใหม่  ในเดือนนี้จะสอนเรื่องหลักการใช้คาถาอาคมให้มีความขลังและใช้ได้ดังใจ
1. ต้องมีสมาธิ ไม่สนใจในสิ่งรอบข้างที่รบกวน  โดยมีใจมุ่งมั่นจดจ่อในคาถาที่ตนบริกรรมอยู่
2. สร้างอารมณ์ ให้เป็นไปตามชนิดของคาถานั้นๆ  เช่น 
    -  คาถาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม  ต้องสร้างอารมณ์ให้เป็นเมตตา  ไม่แข็งกระด้าง  ไม่เหี้ยมเกรียม
    -  คาถาคงกระพันชาตรี  ต้องสร้างอารมณ์ให้ห้าวหาญ  และแข็งกระด้าง  เหี้ยมเกรียม  โดยยึดความกล้าเป็นอารมณ์
    -  คาถาแคล้วคลาด  ต้องสร้างอารมณ์ให้เป็นสมาธิอย่างแรงกล้า  และห้าวหาญ
3. ต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ในคาถาอาคมที่ตนต้องการจะใช้ 

หลวงพ่อเสือดำ จอมขมังเวทย์