วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

พระอนุรุธคาถา เจริญภาวนาเป็นอาจิณ ห้ามพูดว่า "ไม่มี" "ไม่ได้"

เจริญภาวนาเป็นอาจิณ
ห้ามพูดว่า "ไม่มี" "ไม่ได้"

พระอนุรุทธเถระ
พระอนุรุทธะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ ประสูติร่วมพระมารดาเดียวกัน ๓ พระองค์ คือ พระเชฏฐา (พี่ชาย) พระนามว่า มหานามะ พระกนิฏฐภคินี (น้องสาว) พระนามว่า โรหิณี รวมเป็น ๓ กับอนุรุทธกุมาร ถ้าจะนับตามลำดับพระวงศ์ก็เป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา อนุรุทธกุมารเป็นกษัตริย์สุมุมาลชาติ มีปราสาท ๓ หลังเป็นที่ประทับใน ๓ ฤดู สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ศฤงคาร* และบริวารยศ แม้แต่คำว่า ไม่มี ก็ ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยได้สดับเลย

เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่อนุปิยนิคมของมัลลกษัตริย์ ในเวลานั้น ศากยกุมารซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมีคนรู้จักมาก ออกบวชตามพระบรมศาสดาเป็นจำนวนมาก วันหนึ่งเจ้ามหานามะผู้เป็นพระเชฏฐา ได้ปรารภกับอนุรุทธะผู้น้องว่า พ่ออนุรุทธะ ในตระกูลของเรายังไม่มีใคร ๆ ออกบวชตามพระบรมศาสดาเลย เจ้า หรือพี่คนใดคนหนึ่งควรจะออกบวช อนุรุทธะตอบว่า น้องเป็นคนที่เคยได้รับแต่ความสุขสบาย ไม่สามารถจะออกบวชได้ พี่บวชเองเถิด เจ้ามหานามะจึงกล่าวขึ้นว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงเรียนให้รู้จักการงานของผู้ครองเรือนเสียก่อน พี่จะสอนให้ เจ้าจงตั้งใจฟัง ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว เจ้ามหานามะจึงสอนการงานของผู้ครองเรือน โดยยกเอาวิธีการทำนาเป็นอันดับแรกขึ้นมาสอน เมื่ออนุรุทธะได้ฟังแล้วก็เห็นว่าการงานไม่มีที่สิ้นสุดเบื่อหน่ายในการงาน พูดกับพี่ชายว่า ถ้าอย่างนั้น พี่อยู่ครองเรือนเถิด น้องจักบวชเอง ครั้นอนุรุทธะกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงเข้าไปหาพระมารดาทูลว่า แม่ หม่อมฉันอยากจะบวช ขอพระแม่เจ้าจงอนุญาติให้หม่อมฉันบวชเถิด แม้ถูกพระมารดาตรัสห้าม ไม่ยอมให้บวช ท่านก็ยังอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวชเป็นหลายครั้ง เมื่อมารดาเห็น ดังนั้นจึงคิดอุบายที่จะไม่ให้อนุรุทธะบวช ดำริถึง พระเจ้าภัททิยะผู้เป็นพระสหายของอนุรุทธะ ท่านคงจะไม่ออกบวชเป็นแน่ จึงพูดว่า พ่ออนุรุทธะ ถ้าพระเจ้าภัททิยะบวชด้วยจงบวชเถิด อนุรุทธะได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็ไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยะ ทูลตามวาทะของผู้ที่คุ้นเคยกันว่า เพื่อนเอ๋ย บรรพชาของเรา เนื่องด้วยบรรพชาของท่าน ในตอนแรก พระเจ้าภัททิยะ ทรงปฏิเสธไม่ยอมบวช ในที่สุดเมื่อทนการอ้อนวอนไม่ได้ก็ตกลงใจยินยอมบวชด้วย อนุรุทธะจึงชักชวนศากยกุมารอื่นได้อีก ๓ คน คือ อานันทะ,ภคุ,กิมพิละ โกลิยกุมาร อีกองค์หนึ่ง คือ เทวทัต รวมทั้งอุบาลีผู้เป็นนายภูษามาลาเป็น ๗ พร้อมใจกันเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยนิคม ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย เมื่ออนุรุทธะได้อุปสมบทแล้ว เรียนกรรมฐานในสำนักของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร แล้วเข้าไปอยู่ในป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน
เมื่อพระอนุรุทธะบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ได้ตรึกตรองถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ คือ
๑. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความมักมาก
๒. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
๓. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่คณะ
๔. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
๕. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีสติมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
๖. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีใจมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่มั่นคง
๗. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม

     เมื่อพระอนุรุทธะตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จมาถึงทรงทราบเหตุนั้นจึงทรงอนุโมทนาว่า ชอบละ ๆ อนุรุทธะ เธอตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกตรอง ถ้าอย่างนั้น เธอจงตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกข้อที่ ๘ ว่า "ธรรมนี้ เป็นธรรมของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ให้เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมเนิ่นช้า"
     ครั้นตรัสสอนอนุรุทธะอย่างนี้แล้วก็เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธะบำเพ็ญความเพียรต่อไปก็ได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็เล็งแลดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุอยู่เสมอ เล่ากันว่ายกเว้นแต่เวลาฉันเท่านั้น เวลาที่เหลือท่านย่อมพิจารณาแลดูหมู่สัตว์ทั้งปวงด้วยทิพยจักษุ ด้วยเหตุนี้เอง พระผู้มีพระภาคจึงตรัสยกย่อง สรรเสริญท่านว่า เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างผู้มีทิพยจักษุญาณ ครั้นท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.
*ทรัพย์ศฤงคาร : ทรัพย์ที่ทำให้คนได้รับ เกิดความรัก ความชอบใจ

พระไตรปิฎกเล่มที่ 26 หน้า 402 พระอนุรุธคาถา  พระอนุรธอดีตชาติเคยเป็นคนยากจนเคยถวายทาน แด่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง ได้อธิษฐานไว้ว่าความไม่มีอย่าได้มีแก่ท่าน หลังตายจากเป็นคนยากจน ไปเกิดเป็นพระอินทร์ 7 ชาติ เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 7 ชาติ ชาติสุดท้ายเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีรวยมากตอนเป็นเด็กท่านเล่นกับเพื่อนหลายสิบ คนมารดาท่านทำขนมให้เด็กกินจนหมด พระอนุรุธสั่งคนไปขอขนมจากมารดาอีก มารดาท่านสั่งคนบอกพระอนุรุธ และเด็กๆ ว่าขนมไม่มีแล้วหมดแล้ว เด็กอนุรุธจึงบอกกับคนให้ไปบอกมารดาท่านว่าท่านจะเอาขนมไม่มีแล้วหมดแล้ว เพราะไม่เข้าใจคำว่าหมดไม่มีมารดาท่านจึง เอาจานเปล่าปิดฝาไว้เพื่อจะสอนเด็กอนุรุธว่าไม่มีหมด คือ จานเปล่า ผลบุญจากที่ท่านเคยอธิษฐานสมัยเป็นคนยากจนถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า อธิษฐานขอคำว่าไม่มีอย่าได้ปรากฏแก่ท่านทุกๆ ชาติ บันดาลให้เทพเทวดาเอาขนมทิพย์มาใส่ในจานเปล่านั้น เด็ก อนุรุทธ และเพื่อนๆ รับประทานขนมทิพย์อร่อยถูกใจ จึงสั่งคนขอขนมไม่มีจากมารดาท่านอีก มารดาท่านก็ส่งจานเปล่าๆ ให้ทุกครั้ง เทพเทวดาก็ทำให้มีขนมทุกครั้งต่อมาเป็นหนุ่มท่านก็ขอบวชกับพระผู้มีพระภาค เจ้า ท่านนั่งเพ่งญาณภาวนาอยู่องค์เดียว ไม่สนใจในกามคุณทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ถูกใจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบจึงทรงเสด็จมาหาพระอนุรุทธทาง มโนมยิทธิ คือ แยกกายในออกจากกายเนื้อมาปรากฏกายเหมือนกายเนื้อมาจริงๆ พระองค์ท่านได้แสดงธรรมอันไม่เนิ่นช้าแก่พระอนุรุทธ ท่านพระอนุรุทธได้บรรลุพระนิพพานพร้อมด้วยพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเป็นผู้ เลิศทางฌานสมาบัติ ท่านได้ตอบคำถามจากพระภิกษุก่อนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจะปรินิพพานว่า ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกมิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระหฤทัยแจ่มใสตั้งมั่นคงที่ แต่พระพุทธองค์ยังไม่ทรงปรินิพพานก่อน พระพุทธองค์ทรงทำนิพพานเป็นอารมณ์ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางกายด้วยพระหฤทัยอัน เบิกบานเสด็จออกจากจตุตถญาณ คือ ฌาน 4 แล้วจึงเสด็จดับขันธ์ 5 ปรินิพพาน ความพ้นจากนามกายได้อย่างวิเศษได้มีแก่พระหฤทัยของพระผู้มี พระภาคเจ้าแล้ว พระคุณเจ้าพระอนุรุทธ ท่านได้กล่าวอภิธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในการรวบรวมพระธรรมคำ สั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นหมวดหมู่ ตอนเริ่มแรกของการสังคายนาพระไตรปิฎกซึ่งมีพระคุณเจ้าพระมหากัสสป เป็นผู้ริเริ่มเป็นผู้นำ พวกเราท่านจึงได้รับพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระชินวร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอยู่แล้วครบถ้วนถูกต้องตามเป็นจริง 100% เต็มอยู่ในหนังสือพระไตรปิฎกมาจนกระทั่งทุกวันนี้  พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 หน้า 26 สมาธิสูตร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงมีปัญญารักษาตนมีสติเจริญสมาธิตลอดเวลา จะได้ญาณทั้ง 5 เกิดขึ้นรู้ได้เฉพาะตนมี  ญาณที่ 1 ความรู้เกิดขึ้นว่า สมาธิมีความสุขกายสุขใจในปัจจุบัน และอนาคต ญาณที่ 2 มีความรู้ว่า การทำสมาธิเป็นทางแห่งอริยมรรค อริยผล ญาณที่ 3 มีความรู้ว่าสมาธิเป็นสุขที่ไม่ต้องใช้วัตถุเงินทองสมบัติ ญาณที่ 4 มีความรู้เกิดขึ้นสมาธินี้ละเอียดประณีตคนดีทำได้ ญาณที่ 5 มีความรู้เกิดขึ้นว่า มีสติเกิดสมาธิมีปัญญาห้ามกิเลสตัดขาดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม เป็นทางพ้นทุกข์ดับทุกข์ของจิต เสวยวิมุตติสุข พระนิพพานได้แน่นอนในชาติปัจจุบัน

จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 17 หน้า 14 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งอันนั้นที่เธอละทิ้งคือร่างกาย ทรัพย์สมบัติไปได้แล้ว จะทำให้จิตใจมีเอกราชเป็นอิสระภาพ เป็นประโยชน์มีความสุขสะอาดเบิกบาน เป็นนิพพานอยู่ในใจ ดังนี้ เธอทั้งหลายจงเลิกละสนใจร่างกายเราร่างกายเขาเสีย ร่างกายทรัพย์สมบัติที่เธอละได้แล้วจะทำให้เธอมีความสุขไม่มีความทุกข์ต่อไป ตอนท้ายของมหาสติปัฏฐานสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนว่า เธอทั้งหลายจงอย่าสนใจกายใน คือกายเราเอง อย่าสนใจกายภายนอก คือ กายผู้อื่น จงอย่าสนใจสรรพสิ่งทั้งหลายใดใดในโลกทั้งหมด เพราะการสนใจทำให้เกิดความพอใจ แล้วเกิดความลุ่มหลงในของมายา ของปลอม ของสมมุติ ท้ายที่สุดก็สูญสลายกลายเป็นอนัตตา คือ ความว่างเปล่า สนใจในของจริงดีกว่า ของจริงคือนิพพาน และของจริงคือจิตที่สะอาด มีเมตตาจิต มีศีล สมาธิ มีความฉลาดรอบรู้ในทุกสิ่งในโลกว่าแปรปรวนเปลี่ยนแปลง สูญสลาย นั้นคือมีวิปัสสนาญาณ หรือปัญญา

Category: ข้อธรรมจากพระไตรปิฏก ย่อโดยคุณแม่เกษร
****
คาถาพระอนุรุธคาถา


มัยหังปุตโต ปุญญะวากะตา ภินิหาโร ภะวิสสะติ
เทวะตะหิปาติง ปูเรตวา ปูวาปะหิตา ภะวิสสะตีติ

เจริญภาวนาเป็นอาจิณ
ห้ามพูดว่า "ไม่มี" "ไม่ได้"
เวลาคนมาขอแล้วจะมีทุกอย่าง

คาถาของหลวงปู่พระอนุรุทธะเถระเจ้า
เอามาจากหนังสือคู่มือเที่ยวชมถ้ำป่าไผ่ 



วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รอดตายเพราะคาถา...

กระเบนท้องน้ำ:
เมื่อ 45 ปีก่อน ณ.หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา เนื่องจากหมู่บ้านนี้เป็นที่ลุ่ม
มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่าน พอหน้าน้ำๆ ก็ท่วมล้นขึ้นมาสองฟากฝั่ง พวกชาวบ้านจึงมีอาชีพเสริมขึ้นมาอีก อาชีพหนึ่งคืออาชีพจับปลา

ลุงอ่ำ อายุ 60 กว่าปี เป็นคนร่างเล็กผอมเกร็ง นิสัยขรึมไม่ค่อยชอบพูดล้อเล่นกับใคร เขาลือกันว่าสมัยหนุ่มๆ ลุงอ่ำเป็นคนเกะกะเกเร
ไม่กลัวใคร เคยมีเรื่องมีราวกับคนอื่นบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้แกจึงชอบเล่นคาถาอาคมเป็นชีวิตจิตใจ พอแต่งงานมีภรรยาและมีลูกแกก็เลิก
ประพฤติตัวเป็นอันธพาล หันมาตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ถึงหน้านาก็ทำนา พอหน้าน้ำก็เที่ยวจับปลามาขายบ้างกินเองบ้าง

วันหนึ่งลุงอ่ำกับเพื่อนอีกคนก็ชวนกันไปสุ่มปลาที่บริเวณนาร้างริมแม่น้ำซึ่งมีปลาชุกชุม น้ำในบริเวณนี้สูงเลยหัวเข่ามาหน่อย ขณะที่
ลุงอ่ำกำลังสุ่มปลาเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายมาทางด้านหลัง พอหันขวับไปมองก็ต้องตกใจแทบช็อก เมื่อเห็นจระเข้
ใหญ่ตัวหนึ่ง ยาวประมาณ 7-8 ศอก สีดำมะเมื่อม เนื้อตัวเกาะเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ อ้าปากกว้างพุ่งเข้าหาหมายงับตัวแกให้จมเขี้ยว

ด้วยสัญชาตญาณรักตัวกลัวตาย ลุงอ่ำกระโดดพรวดออกไปด้านข้างอย่างว่องไว จระเข้ตัวใหญ่ที่พุ่งเข้าหาจึงพลาดเป้าอย่างหวุด
หวิด "ช่วยด้วยๆ" ลุงอ่ำร้องบอกเสียงหลง พร้อมกับทะลึ่งพรวดขึ้นหาฝั่งด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ จระเข้พองับผิดก็หมุนตัวโบกหาง
อันใหญ่ฟาดน้ำดังตูมตามเข้าหาอย่างดุร้าย

เพียงแค่เห็นตัวจระเข้ ลุงอ่ำก็แทบจะหัวใจวาย เมื่อมาเจอกับความดุร้ายของมัน มือไม้ก็ถึงกับอ่อนปวกเปียกไปหมด คิดว่าอีกไม่ช้า
คงจะถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆแน่แล้ว ในขณะนั้นแกจึงตัดสินใจยกสุ่มฟาดโครมไปที่ปากของจระเข้ซึ่งอ้ากว้างอยู่อย่างแรง พลาง
กระโดดถลาล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ยังกระเสือกกระสนถอนหนีอย่างไม่คิดชีวิต

ทันใดนั้น ลุงอ่ำก็สะท้านเฮือกใหญ่ รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เมื่อจระเข้อ้าปากคาบร่างแกไว้ แล้วหมุนตัวกลับลงไปในน้ำอย่างรวด
เร็ว ลุงอ่ำตกใจแทบสิ้น พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ร่างของแกก็ขยับอยู่แค่ในปากอันแข็งแรงของเจ้าเดรัจฉานที่ทรงพลังเท่า
นั้น สองหูได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายและเสียงตะโกนของเพื่อนดังอยู่บนฝั่งว่า "ไอ้เข้...ไอ้เข้"


                    


ไม่ถึงอึดใจมันก็คาบร่างของลุงอ่ำ ลงสู่แม่น้ำและมุดตัวดำดิ่งลงไปใต้น้ำ ลุงอ่ำเอื้อมมือเปะปะลงไปบนส่วนตะปุ่มตะป่ำสัมผัสได้กับ
เนื้อเย็นๆเปียกๆลื่นๆ ทำให้รู้สึกขยะแขยงและหวาดกลัวจนบอกไม่ถูก แต่ด้วยความรักตัวกลัวตาย แกจึงพยายามเอื้อมมือไปยังปลาย
ปากแล้วจิกแหย่ลงในโพรงจมูก เพื่อให้มันคายร่างแกออก แต่ก็ไร้ผล เพราะจระเข้คงเจ็บจึงสะบัดดิ้นไปมาจนลุงอ่ำทำอะไรมันไม่ได้

ลุงอ่ำนึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ถึงกับเสียววูบ เริ่มจะหายใจไม่ออก หูอี้อไปหมด ร่างถูกพาดำดิ่งลึกลงไป
ทุกที จนในที่สุดลุงอ่ำก็นึกอะไรขึ้นมาได้ว่า "คาถา" นอกจากคาถาแล้วแกก็นึกไม่ออกว่าจะเอาตัวรอดจากการเป็นเหยื่อของจระเข้
ตัวนี้ได้อย่างไร พอนึกได้ ลุงอ่ำรีบกลั้นหายใจท่อง "คาถาพระเจ้า 16 พระองค์" เท่าที่พอจะนึกออก ทั้งๆที่เคยท่องจนขึ้นใจมาตั้ง
แต่สมัยหนุ่มๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่า จระเข้คาบแกไปซุกอยู้ใต้แพ มันพยายามจะเอาร่างแกไปขัดตรงโน้นตรงนี้เพราะกลัวว่าจะลอย
ขึ้นมา ตอนนี้ลุงอ่ำเริ่มกลั้นหายใจต่อไปไม่ค่อยจะไหว แต่ก็พยายามรวบรวมสมาธิ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่และ
ครูบาอาจารย์ ตั้งจิตแน่วแน่จดจ่ออยู่กับพระคาถา ในใจก็มุ่งมั่นว่าถึงจะตายก็ขอตายอยู่กับพระคาถาบทนี้

ชั่ว เดี๋ยวเดียวลุงอ่ำก็กลั้นหายใจไม่อยู่ ต้องอ้าปากกินน้ำเข้าไปหลายอึก รู้สึกอึดอัดแทบขาดใจให้ได้ เพิ่งรู้รสชาติของความรู้สึกก่อน
ตายว่ามันอึดอัดทรมานขนาดไหน แกสำลักน้ำจนแทบหมดสติ พลันก็มีความรู้สึกเหมือนจระเข้จะคาบร่างเปลี่ยนที่ใหม่ แล้วก็คาบออก
มาจากใต้แพ ว่ายลิ่วขึ้นสู่ผิวน้ำ ทำให้ร่างถูกชูขึ้นเหนือผิวน้ำอีกครั้ง ขณะที่ความรู้สึกกำลังจะดับวูบลง สายตาอันพร่ามัวเลอะเลือน
ของลุงอ่ำก็เห็นคนยืนตะโกนลั่นอยู่บนแพ ลุงอ่ำพยายามยกสองมือกระทุ่มน้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ความรู้สึกจะดับวูบลง

เมื่อลุงอ่ำรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ก็เห็นคนมายืนมุงล้อมรอบตัวเต็มไปหมด กวาดตามองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วโพล่งออกมาอย่างดีใจว่า
"ข้ายังไม่ตายอีกเหรอ" เอ็งไม่ตายหรอก ไอ้เข้มันปล่อยเอ็งที่หน้าแพข้า ข้าเห็นเอ็งจมลงไป ข้ากับไอ้เหม่าเลยช่วยกันงมขึ้นมา
ลุงจ้อยเจ้าของแพบอก  พลางมองอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นแขนและลำตัวของลุงอ่ำ โดนจระเข้กัดจนเลือดออกหลายแห่งแล้วถามต่อว่า
"เอ็งเป็นยังไงมั่ง" ลุงอ่ำส่ายหน้าแล้วค่อยๆยันกายลุกขึ้น "ข้านึกว่าข้าต้องตายแน่แล้ว" ลุงอ่ำพูดพร้อมยิ้มทั้งน้ำตา มีความรู้สึก
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่

เมื่อสำรวจดูบาดแผลไม่สาหัสอะไร เพียงแต่ปวดระบมไปทั้งตัว แล้วลุงอ่ำก็เล่าให้ชาวบ้านที่มารุมล้อมฟัง ซึ่งทุกคนฟังด้วยความ
แปลกใจไม่นึกว่าลุงอ่ำจะรอดชีวิตมาได้ เพราะจระเข้เปลี่ยนใจปล่อยร่างแกขึ้นมา

"ที่ข้ารอดมาได้นี่เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์แท้ๆ"  ลุงอ่ำบอกอย่างภาคภูมิใจ

ทุกคนในที่นั้นก็ลงความเห็นเหมือนกันคือ ลุงอ่ำรอดตายมาได้เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์ เป็นแน่...อย่างไม่ต้องสงสัย...


คาถาพระเจ้า 16 พระองค์นั้นว่าดังนี้...

นะมะนะอะ   นอกอนะกะ  กอออนออะ

นะอะกะอัง   อุมิอะมิ    มะหิสุตัง

สุนะพุทธัง   อะสุนะอะ


ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


              ****************กระเบนท้องน้ำ*****************

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ภาพยนตร์หลวงปู่ทวด


วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

ยันต์โสฬสมหามงคลสุดยอดยันต์วิเศษ

ยันต์โสฬสมหามงคลสุดยอดยันต์วิเศษ

ยันต์โสฬสมหามงคลสุดยอดยันต์วิเศษจากโบราณกาลถึงปัจจุบัน : ชั่วโมงเซียน โดย อ.ราม วัชรประดิษฐ์

                "ยันต์" (cabalistic writing) เป็นคำโบราณ เข้าใจว่ามีพัฒนาการมาจากคำว่า "ยนต์" สมัยก่อนมีการผูกหุ่นพยนต์ คือเสกหุ่นฟางให้กลายเป็นคน หรือเสกเรือสำเภายนต์ ซึ่งทำจากหญ้าฟางให้แล่นไปมาได้ทั้งในน้ำและบนบก ทางเหนือมีการลงอักขระในช่องสี่เหลี่ยมไว้หน้าเรือนนอนลูกสาวก้นไอ้หนุ่มที่ มีคาถาอาคมแอบเข้าไปทำมิดีมิร้ายถ้ารอดเข้าไปอาคมทางไม่ดีจะเสื่อมรู้จัก เรียกกันว่า "หำยนต์" ส่วนใหญ่จะหมายถึงการทำให้สิ่งไม่มีชีวิตเกิดการเคลื่อนไหวตามใจปรารถนาเป็น รากเหง้าแห่งคำว่า "ภาพยนตร์" ซึ่งเมื่อก่อนเรียก "หนัง" (มาจากหนังใหญ่ หนังตะลุง) เครื่องยนต์ กระทั่ง รถยนต์ ในปัจจุบัน
   
                ยันต์ เป็นการจาร จารึก หรือเขียนอักขระโบราณลงบนวัสดุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเงินแผ่นทองแผ่นโลหะอันเป็นมงคล และใช้จารหรือสักลงบนร่างกายของมนุษย์เพื่อแสดงกลุ่มชาติพันธุ์หรือความเป็น หนุ่มพร้อมจะรับผิดชอบมีครอบครัว เช่น การสักยันต์ของกลุ่มชาวลาวพุงดำ คือสักตั้งแต่พุงลงไป เกจิคณาจารย์จะได้รับการถ่ายทอดวิชาการลงอักขระเลขยันต์สืบต่อกันมา โดยเชื่อว่ายันต์แต่ละอย่างมีพุทธคุณช่วยให้เกิดความเป็นสิริมงคลในลักษณะ ต่างๆ ซึ่งการลงอักขระเลขยันต์นั้น เป็นตำราเฉพาะของแต่ละอาจารย์บางครั้งเป็นการสักด้วยหมึกดำ บ้างเป็นการสักน้ำมัน ซึ่งจะไม่เห็นรอยสัก

                สำหรับยันต์ในประเทศไทยนั้น ได้รับอิทธิพลจากการเขียน "ติลก" (Tilok) ซึ่งเป็นเครื่องหมายบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะพระศิวะ และพระนารายณ์ จากอินเดียโดยเขียนไว้บนหน้าผาก ภายหลังเขมรรับเอาทั้งพราหมณ์และพุทธมหายานเข้าไปการเขียนยันต์เลยแพร่หลาย เข้าสู่สยามในเวลาต่อมา
   
                ในจำนวนยันต์ทั้งหมด ยันต์โสฬสมงคลและยันต์มหาโสฬสมงคลจัดเป็นยันต์ชั้นสูง ทำเป็นตัวเลข ๓ ชั้น ชั้นนอกลงด้วยเลข ๑๖ ตัว (โสฬส แปลว่า ๑๖ ชั้นฟ้า มีความหมายถึงภูมิชั้นอรูปภูมิอันเป็นถิ่นที่อยู่ของพระพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น และหมายถึงพระพุทธคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๖ ประการ) พระมหายันต์นี้ปรากกฏหลักฐานในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงตั้ง ศาลหลักเมืองโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญยันต์มหาโสฬสมงคลประดิษฐานไว้ที่ส่วนยอดเพื่อนำความเจริญ รุ่งเรืองและมหามงคล ณ เสาหลักเมือง
  
                พระยันต์นี้แม้แต่สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศนฯ กรุงเทพฯ ผู้เจนจบในพระยันต์ร้อยแปด ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่ายันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง พระองค์ได้นำไปประทับในพระอุโบสถของวัดสุทัศนฯ และเขียนสอดใส่ไว้ใต้หมอนหนุนศีรษะตลอดเวลา จนกระทั่งท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๗ ลูกศิษย์ลูกหาจึงได้พบแผ่นยันต์วางใว้ใต้หมอนของท่าน และหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง ได้อัญเชิญไปดัดแปลงจัดสร้างเป็นตะกรุดโสฬสอันลือลั่น
  
                ยันต์โสฬสมงคลเป็นมหายันต์ที่เกิดจากการนำเอายันต์ ๓ ชนิดมารวมกันไว้ โดยใช้ตัวเลขแทนด้วยความหมายมงคลต่างๆ จากภาพ ตรงกลางช่องเล็ก ๙ ช่อง คือ ยันต์ จตุโร ถัดมาวงกลาง เป็นยันต์สูตรตรีนิสิงเห และด้านนอกสุดเป็น ยันต์ อริยสัจโสฬส จากนั้นอักขระด้านนอกที่ล้อมยันต์อยู่ คือ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ
  
                พระยันต์นี้มิได้มีบังคับการลงยันต์ด้านหลังไว้ ฉะนั้นการลงยันต์ด้านหลังตะกรุดก็แล้วแต่พระเถราจารย์ท่านจะลง ในสายวัดสะพานสูง จะลงไตรสรณคมแบบย่อ อ่านว่าว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ หากลงเต็ม จะนำเอาบทอิติปิโส ๓ ห้อง มาผูกลงในตารางกระดูกยันต์ ซึ่งถือเป็นพิธีลงยันต์ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่และลงยากมาก
  
                ส่วนยันต์โสฬสมหามงคล รอบนอกใช้พระคาถาจตุราวุธ ประกอบด้วย ด้านซ้าย อาวุธอาฬะวะกะยักษ์ มีบ่วงเป็นอาวุธ ด้านขวา อาวุธยะมะราชา มีนัยน์ตาเป็นอาวุธ ด้านบน อาวุธพระอินทร์ มีสายฟ้าเป็นอาวุธ ด้านล่าง อาวุธท้าวเวสสุวัณ มีคทาเป็นอาวุธ

หลวงพ่อทวดรุ่นมงคลมหาโสฬส


                เนื่องในปีมหามงคล องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ ๘๕ พรรษา พสกนิกรทุกหมู่เหล่าพากันประกอบกุศล มหากุศล น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย คณะกรรมการจัดสร้างโดย ดร.อำนวย ยศสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน ได้ดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่ทวด รุ่นมงคลมหาโสฬส ขึ้น เพื่อบันทึกไว้เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์
  
                โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ มอบให้โรงพยาบาลมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และจะนำวัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีมหาพุทธาภิเษกในครั้งนี้ แจกจ่ายให้ทหารและตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งจัดทำถุงยังชีพมอบให้ประชาชนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประสบปัญหายากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ประสบสาธารณภัยตามโครงการ "หนึ่งใจ....เดียวกัน"
  
                ในพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณหลวงพ่อทวดและพิธีเททองนำฤกษ์ตามตำรับโบราณ ณ สถูปเจดีย์หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ ปัตตานี ในวันจันทร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๐๙ น. โดยมี ดร.มนัส โนนุช กรรมการและผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ และผู้แทนพระองค์ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประธานในพิธี มีผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายประมุข ลมุล เป็นผู้กล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณ นายธนน เวชกรกานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ตัวแทนคณะกรรมการจัดสร้างกล่าวรายงาน มีพ่อค้า ประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก พระครูสิทธิไชยบดี กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง บวงสรวงดวงวิญญาณหลวงพ่อทวด
  
                หลวงพ่อทวดรุ่นนี้มีเกจิอาจารย์ที่ทรงวิทยาคุณเข้มขลังได้ร่วมกันจารยันต์ โสฬสมหามงคลตามตำราโบราณที่ได้สืบทอดมาลงบนแผ่นจาร ได้แก่ หลวงพ่อรวย วัดตะโก หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน หลวงพ่อชำนาญวัดบางกุฏีทอง เพื่ออัญเชิญไปประกอบพิธีเททองนำฤกษ์ ได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์ต่างๆ
  
                ในการเททองได้แก่แผ่นอักขระของคณาจารย์ที่เทลงในเบ้าหมุนวนด้วยตัวเองไม่ หยุดถึง ๑๖ รอบ ตามชื่อโสฬส ซึ่งแปลว่า คุณของพระพุทธองค์ ๑๖ ประการ และหมายถึงสวรรค์ชั้นพรหม ๑๖ ชั้น สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้เข้าร่วมพิธีอย่างทั่วถึงส่งผลให้ผู้คนแห่กันไป จองบูชาหลวงพ่อทวด รุ่นมงคลมหาโสฬสนี้อย่างแน่นขนัด เนื้อทองคำทุกแบบพิมพ์ใกล้เต็มทุกรายการแล้ว คณะกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อทวดจึงพิจารณาเห็นสมควรให้นำชุดกรรมการ ซึ่งเป็นชุดที่จะได้นำขึ้นถวายทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ออกให้สาธุชนเช่าบูชาตามคำเรียกร้อง ซึ่งจะมีชุดกรรมการใหญ่เพียง ๑๙ ชุด และชุดกรรมการทั่วไปอีกเพียง ๕๕ ชุดเท่านั้น สอบถามรายละเอียดได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ

คาถา
พระคาถาโสฬสมงคล
 โสฬะสะมังคะลัญเจวะ  นะวะโลกุตตะระธัมมะตา
จัตตาโรจะมหาทีปา
ปัญจะพุทธามหามุนี  ตรีปิฏะกะธัมมักขันธา
ฉะกามาวะจะราตะถา
ปัญจะทัสสะกะเวสัจจัง  ทะสะมังสีละเมวะจะ
เตรัสสะธุตังคาจะ
ปาฎิหารัญจะทะวาทัสสะ เอกะเมรุจะ  สุราอัฎฐะ
ทะเวจันทังสุริยังสัคคา
สัตตะโพชฌังคาเจวะ  จุททัสสะจักกะวัตติจะ
เอกาทะสะวิสะณุราชา
สัพเพเทวามัง  ปะลายังตุ  สัพพะทาเอเตนะ
มังคะละเตเชนะ  สัพพะโสตถี  ภะวันตะ    เมฯ
 
                กล่าวให้ปรากฏ  อุปเท่ห์โสฬส  บันดาลชายหญิง  ภาวนาทีหนึ่ง  สองทีดีจริง  สิบแปดทีดียิ่งมีผลานิงค์  ชักลูกประคำ  ร้อยแปดเลิศล้ำ  ให้ได้คาบทรงคงเกิดส่วนบุญ  มีผลานิสงค์ พบแล้วอย่างง  ไม่พบเร่งหา  ผู้ใดไม่พบบุญน้อยถอดถด เสียชิตเกิดมา  เป็นคนขัดสน  มืดมนต์หนักหนา  พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ  เหมือนชีวิตเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา  พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ  เหมือนได้ดวงแก้วแถม ทองผ่องแผ้ว  กุศลชักนำ สิ่งใดปรารถนาภาวนาหัวค่ำ  กุศลเลิศล้ำ  ประมูลพูนมา  อุบาทว์จัญไร กันทั้งโรคภัย  ปรากฏคาถากลับจิตคิดเห็น  ๆ  อนัตตา  มิอาจมาทำลายตัวเรา ภาวนาภัยหัวค่ำทีหนึ่งประจำ  เที่ยงคืนและย่ำรุ่งเป็นสามทีเกิดสวัสดี  มีลาภทุกประการอาหารการกินปรีเปรมเกษมสันต์  ภาวนา  ๓-๗  เป็นสำเร็จการ ทุกค่ำสำราญกว่าคนทั้งหลาย  อายุวัณโณ  บรมสุขโขภัญโญทั้งปลาย  ถ้าไฟไหม้มาให้เสกข้าวสาร  สาดหว่านหลังคา ลมพาพัดหวลอย่าได้สงกา  ฝนตกลงมาภาวนาป้องกัน  ถ้าจะขายของเสกน้ำประพรม  สินค้าสารพันระบือลือสั่น  พากันเข้ามาค้าเรือ  เหนือใต้  เขียนคาถาไว้  แผ่นกระดาษปรารถนาเสกด้วยตัวเองปิดหัวนาวา  นำของสินค้าขายมีกำไร ถ้าเป็นความเสกน้ำล้างหน้าทาแป้งเสกเครื่องแต่งตน  เสกหมากอย่านาน กินแล้วยาตรา  กระทืบเท้าสามทีแปลกายบ่ายสู่คู่ความตามที่เป่าพ่นอย่าหนี  พลุ่งพล่านต้องเวทย์มนต์ถาคาพลัน  ให้ภาวนาเสกน้ำล้างหน้า  กันทั้งคุณไสยอุบาทว์  จัญไร  อัคคีโจรภัยตามความปรารถนา
                พระคาถาบทนี้  เป็นของหลวงปู่เอี่ยม  ปฐมนาม  วัดสะพานสูง  ปากเกร็ด  จ.นนทบุรี  ซึ่งท่านได้ใช้บทนี้  ปลุกเสกสร้างพระปิดตา  และ  ตะกรดทำให้มีพุทธคุณมาก  จนเป็นที่ต้องการของผู้คนทั้งหลายตราบเท่าทุกวันนี้
      หลวงปู่เอี่ยม  ปฐมนาม เกิดเมื่อ ๒๓๖๐  มรณะภาพ  เมื่อ ๒๔๓๙


วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

กุมารทอง(ตุ๊กตาทอง) วัดสามง่าม

กุมารทอง(ตุ๊กตาทอง) หลวงพ่อเต๋ หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม

ปาฏิหาริย์ รักษาทรัพย์สิน จากกล้องวงจรปิดจากที่บ้าน

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คาถาเงินล้าน

ที่มาของ คาถาเงินล้าน

ก่อนที่อยู่วัดท่าซุงนะฉันอยู่กระต๊อบ เงินร้อยก็หายากสำหรับเงินทำบุญ คาถาวิระทะโย ก็ทำเรื่อยๆ ไป ต่อมาท่านก็มาหา ก็บอกว่า คาถาบทนี้นะที่เขาทำพระวัดพนัญเชิงองค์แรก มีเจ้าอาวาสองค์แรกท่านไปนั่งกรรมฐาน และเสกด้วยคาถาบทนี้ สามปี ท่านให้ดูตัวอย่างวัดพนัญเชิงเงินขาดไหมฉันก็ทำมาเรื ่อย

มาอีกปีหนึ่ง กำลังบวงสรวง ท่านบอกว่า"คาถาบทนี้ เป็นคาถาเงินแสนนะ" ก็ใช้คาถาบทนั้น มาประมาณครึ่งปี คนมา ทอดกฐินผ้าป่าได้เงินเป็นแสน นี่เห็นชัดนะ

แล้วต่อมา อีกปีหนึ่ง ท่านบอกว่า "คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินล้านนะ" ให้ว่าต่อเนื่องกันไปแล้วไปลง "คาถาวิระทะโย" ต่อมาก็จริง ๆ เพราะปี 27 ก็ใช้เงินล้าน เป็นเดือน ซึ่งไอ้อย่างนี้เราก็คิดไม่ออก ต้องค่อย ๆ ใจเย็น ๆ

เวลาว่าไป อย่าไปว่าหวังเอาลาภ คือ ต้องภาวนาด้วยนะ ถ้าทางที่ดีเวลาภาวนากรรมฐาน พอจิตสบายน่ะต่อเลย เพราะเวลา กรรมฐานนี่จิตเป็นฌาณใช่ไหมเอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาฝึกมโนมยิทธิออกไปให้ได้นั้น ออกไปเดี๋ยวเดียวก็ได้ออกไปได้ นี่จิต เป็นฌาณ 4 เข้าเขตพระนิพพาน ได้จิตสะอาดถึงที่สุด กลับลงมาด้วยคาถาบทนี้เลย มากน้อยก็ช่างให้หลับไปเลยคือ ถ้าจิต สะอาดมากผลก็เกิดเร็ว

ก็สงสัยเหมือนกันนะ เมื่อปี 26 ท่านบอกว่าปี 27 มีอะไรบ้างก็ตุน ๆ ไว้บ้างนะ 28 จะเครียดมาก การค้าของใคร ถ้าทรงตัว ได้ก็ถือว่า ดีไว้ก่อน อันนี้ท่านบอกว่า "ถ้าลูกเราจะจนก็จนไม่เท่าเขา"

ถ้าพูดถึงผลฉันก็นั่งดูเรื่อยๆมาว่า เอ๊ะ! เงินแสนมันจะมีมาอย่างไร ภายในปีนั้นปรากฏว่าสมัยนั้นวัดต่างๆเขายังไม่ถึงหมื ่น เลย แล้วต่อมาคาถาเงินล้านก็ต้องว่าต่อ เพราะต่อไปข้างหน้าต้องใช้เงิน

พระพุทธเจ้าบอกนี่ ต้องเชื่อต้องใจเย็นๆไม่ใช่ไปเร่งรัด ถ้าไปว่าแล้วคิดว่าเราต้องรวยนี่เสร็จ พัง ต้องว่าด้วยจิตเคารพนาน หลายปี ท่านไม่ยอมเปิดกับใคร ก่อนจะเข้าถึงดี มันต้องเครียด ไอ้ปี 28 ความจริงมัน น่าจะดี แต่ไปๆมาๆ ก็มีจุดสะดุดจุด สะดุด นี่เป็นชะตาของชาติ แต่ยังไงๆ ก็ต้องไปเจอะจุดรวยแน่

ถ้าพวกนี้รวยนะ วัดท่าซุง ไม่เป็นไร คือว่า หนี้นี่นะ…..อย่าคิดว่ามันโจ๊ะกันได้ เมื่อปี 30 นะ มันเกิน ค่าใช้ จ่ายเดือนละ 2 ล้านเศษ อันนี้ ต้องคิด เดือนนี้ก็ตกเกือบ 3 ล้าน คือ 2 ล้าน 9 แสนเศษ

ตอนนี้ ท่านให้ฉันเขียนโครงการ ที่จะทำให้เสร็จ ในปี 30 โครงการของท่าน จริง ๆ มีมาก ท่านย่า ก็เคยบอก ท่านบอกว่า "ท่านไม่บอกคุณตรง ๆ หรอก ท่านรู้ใจคุณ ถ้าบอกโครงการทั้งหมด คุณไม่ทำแน่"

พระพุทธเจ้า ก็รู้คอนะ ไปๆ มาๆ ท่านให้นั่งเขียน ตามนี้นะ 12 รายการ ให้เสร็จ ภายในปี 30 เลย คิดว่า เงินที่ต้องใช้เป็น ล้านๆ รายการมากนะลูก ถ้าหากจะถามว่า 10 ล้านพอไหม ก็ต้องบอกว่า มันไม่ได้ครึ่งหลัง ที่ท่านสั่งทำหรอก

วันนั้นก็ขึ้นไปที่กระต๊อบฉัน ไปถึงกระต๊อบ ก็ปรากฏว่า สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านประทับอยู่ที่นั่น และท่านพระเจ้าแม่ให้นาม ว่า "มัทรี" หรือ"พิมพา"ไปที่อเมริกา ท่านบอก "ฉันแม่คุณ เหมือนกัน ฉันเคยเป็นแม่คุณ" ถามว่าชื่ออะไร "ชื่อมัทรี" แล้วคุมมาตั้งแต่อเมริกาเวลานี้ก็ยังคุมอยู่ ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า คำสั่งที่สั่งให้ทำมันเกินวิสัย แค่อาคาร 300 ห้องจาก พ.ศ. นี้ไปจนถึง 30 มันก็เสร็จยากเหลือเกิน และ อีกหลายรายการ มันก็ใหญ่ทั้งนั้น ท่านแม่มัทรีก็บอกว่า

"เอาอย่างนี้ซิลูก ขออำนาจพระพุทธานุภาพ" ก็เลยหันไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า

"ได้ ฉันต้องช่วยเธอ"

แล้วต่อมา เดินเล่นในบริเวณกระต๊อบของฉันเล็กๆ มันมีถนนหนทางใช่ไหม ก็ปรากฏว่า เดินไปเดินมา สมเด็จองค์ปฐมก็ เสด็จมาเดินด้วย ท่านบอกว่า

"สภาพของพระนิพพาน มันเป็นอย่างนี้นะ คนที่ถึงพระนิพพานแล้ว กิจอื่นที่ทำ ไม่มี มันเป็นอย่างนี้นะ เวลานี้ เราเดินกลาง บริเวณ พวกเราทั้งหมดลองนั่งดูซิ มันจะมีอะไรไหม"

ที่มันเป็นที่นั่งไม่มีเลย พอนั่งปุ๊บไอ้เตียงตั่งมันเสือกมาได้อย่างไร ก็ไม่รู้ เลยคุยไปคุยมา ท่านก็เลยบอกว่า

"งานที่ฉันสั่งต้องเสร็จทัน 30"

ท่านย่ากับแม่ศรีก็ขึ้นไป ท่านย่าบอกว่า อำนาจพุทธานุภาพก็มีแล้ว สังฆานุภาพก็มีแล้ว พรหมานุภาพกับ เทวานุภาพก็ช่วย แล้ว แต่ว่า ถ้าบรรดาลูกหลานมันยากจน และ ปี 28 มันจะเครียด ขอพรพระพุทธเจ้าขอคาถาสักบท (ที่ท่านให้ฉันไว้นี่) ขอ ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ใช้เถอะ ให้ อนุมัติ"

ความจริงคาถาเฉพาะนี่จะให้ใครไม่ได้เลย ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปพิมพ์แจก และก็ให้มันทำด้วยความเคารพ"

ฉันไม่ยืนยันว่าคนที่ไม่เคารพฉันจะมีผล จำให้ดีนะ

จึงขอให้ทุกคนถ้าได้รับคาถานี้ ให้ตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงใจด้วย ความเคารพในพระพุทธเจ้า

ต่อนี้ไปก็อ่านคาถาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประธาน และให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า คิดว่า คาถาทั้งหมดนี้ จงปรากฏ อยู่ในจิตของเรา ลาภผลต่างๆ ให้ปรากฏแก่เรา ตามที่พระองค์ทรงต้องการนะ นึกถึง ท่านนะ

สัมปจิตฉามิคาถาสนองกลับ

นาสังสิโม คาถาพระพุทธกัสสป

บทแรก "พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ" อันนี้ตัดอุปสรรค ที่ลาภจะมา แต่เขามาบอกว่า มีผลแน่นอน คือว่าแกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้า ก็ทรงยืนยันบอกว่า ให้หมด

บทที่สอง "พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม" คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนของท่าน

บทที่สาม "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม" บทนี้เป็นคาถาปลุกพระวัดพนัญเชิง

บทที่สี่ "มิเตพาหุหะติ" เป็นคาถาเงินล้าน

บทที่ห้า"พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัส
สะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม" เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

บทที่หก "สัมปติฉามิ"บทนี้เป็นบทเร่งรัดบทสุดท้าย

บทที่เจ็ด "เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พ.ย.33 เป็นภาษาโบราณแต่เทียบกับ ภาษาไทย อ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ต้องสวด เป็นบทเดียวกัน บูชาเรื่อย ๆ ไป การบูชา ถ้าบูชาเฉย ๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้

อย่าลืมนะ เวลาสวดมนต์ แล้วให้สวดคาถานี้ 9 จบเท่าเดิมนะ และเวลาภาวนานอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งหลับ ไปเลย ตื่นขึ้นมา ต่อจากกรรมฐาน นอนก็ได้ ใจสบาย ๆ นะ บางทีเผลอ ๆ ฉันก็ต้องว่า ของฉันเรื่อย ๆ ไป คาถาเงินล้านนี่ มาให้เมื่อปีฝังลูกนิมิต ท่านบอกว่า งานข้างหน้าจะหนักมาก หลังจากนี้เป็นต้นไป เงินจะใช้มากกว่า สมัยที่สร้างโบสถ์ อย่า ลืมนะ...เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่าเป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จเพราะ คาถาที่พระพุทธเจ้าบอก ทุกบทก่อนจะทำ ต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน

ประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ ที่ได้รับผลในปัจจุบันนี้


ผู้ถาม :    "หลวงพ่อครับ ผมก็คิดเรื่องการเรื่องงานเป็นประจำเลยครับ ทีนี้อยากถามว่ากรรมฐานบทไหนที่ทำให้ค้าขายดีครับ..?"

หลวงพ่อ :    "อ๋อ... ก็บทค้าขายราคาถูกซิ เขาขายหนึ่งบาท เราขายห้าสิบสตางค์ รับรองพรึบเดียวหมด บทนี้ดีมาก เพราะเมตตาบารมีไงล่ะ"

ผู้ถาม :    "โอ้โฮ.. ตรงเปี๊ยบเลยหลวงพ่อ.."

หลวงพ่อ :    "ยังมีอีกนะ ถ้าบทที่สองดีกว่านี้อีก จาคานุสสติ แจกดะเลย"

ผู้ถาม :    ( หัวเราะ ) "โอ...บทนี้น่ากลัวจนแย่เลย"

หลวงพ่อ :    "ไอ้เรื่องค้าขายดีมีคาถาตกอยู่บทหนึ่ง"

ผู้ถาม :    "เดี๋ยวผมขอจดก่อนครับ"

หลวงพ่อ :    "ไม่ต้องจดหรอก คาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่สมัยนั้นบวชด้วยกัน มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงมาขาย หาบไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่าย มันก็ไม่หมด

วันหนึ่งมหาโต๊ะยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่างแกก็บอก
"ท่านมหา มีคาถาอะไรดี ๆ ทำน้ำมนต์ให้ทีเถอะจะได้ขายหมดเร็ว ๆ "
มหาโต๊ะแกไม่ใช่นักคาถาอาคมกะเขานี่ ก็นึกไม่ออก แต่ไอ้นี่น่าจะดีว่ะ "อนัตตา" แกนึกในใจนะ แกไม่ได้บอก แกก็เอาน้ำล้างหน้าพรม ๆ ยายนั่นแกก็กลับไป พอสาย ๆ แกก็กลับ ปรากฏว่าหมด"

ผู้ถาม :    "อะไรหมดครับ...?"

หลวงพ่อ :    "ของหมด ข้าวแกงหมด แต่หม้อยังอยู่ หาบยังอยู่และคนหาบก็ยังอยู่ แหม..นี่ต้องให้อธิบายให้ละเอียดเลยนะ"

ผู้ถาม :    ( หัวเราะ )"คือสงสัยครับ"

หลวงพ่อ :    " ก็เป็นอันว่าวันต่อมา โยมคนนั้นแกก็มาหาเรื่อย ๆ แกก็สังเกตมหาโต๊ะ ในที่สุดมหาโต๊ะต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้เอาไว้ที่บูชา แกก็ไปขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกันเพราะจิตตรงใช่ไหม .. อนัตตา นี่เขาแปลว่าสลายตัวไงล่ะ"

ผู้ถาม :    "ลูกหลานเอาไปใช้ได้ไหมครับหลวงพ่อ..?"

หลวงพ่อ :    "ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้"

ผู้ถาม :    ( หัวเราะ )"แล้ว คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใช้ได้ไหมครับ...?"

หลวงพ่อ :    " ความจริงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของเขาก็ดี เขาขายของแล้วก็พรมตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็พรมหน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนล้างหน้านั่นแหล่ะ ทำตอนนั้น เอาน้ำ ล้างเสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสกแล้วพอล้างหน้าเสร็จก็พรม ตอนพรมก็ว่าไปด้วยนะ"

ผู้ถาม :    "บางคนก็บอกว่า ถ้าว่าคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ ก็จะมีลาภมาก..?"

หลวงพ่อ :    " มหาปุญโญ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมดำ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ฉะนั้นวัดนั้นจึงมีลาภมาก แล้วต่อมาสมเด็จหรือใครก็ไม่ทราบ ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ท่านบอกว่า เสกด้วยคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วท่านก็บอกให้ต่อด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า มีอยู่รายหนึ่งชื่อ นายแจ่ม เปาเล้ง บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น ( นี่พูดถึงเงินในสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไรก็คิดกันดู ) ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน

ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา
"คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้" ลูกเมียแกว่าอย่างนั้น

ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหล่ะ? ทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริง ๆ ตาแจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะ งามสะพรั่งมีพริกเยอะแยะ มองดูหนาทึบ ไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุก ๆ หงิก ๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่ง ๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์
อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบาง ๆ ยอดหงุกหงิก ๆ นั่นแหล่ะ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้ง ๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทราบใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนักเลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่า นั้นหาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น

พริกของคน อื่นเขาเก็บกัน ๒ - ๓ ครั้ง ก็หมดแล้วครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สาม เก็บได้อีกเพียงเล็กน้อยเป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้งแล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงได้หมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่า ๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิก ๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่า พริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า "เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง" ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น"

( นี่เห็นไหม... ถ้าหากว่า ท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ )

ต่อมามีผู้นำคาถา อนัตตา ไปปฏิบัติหลังจากที่หลวงพ่อแนะนำไปแล้ว เขาผู้นั้นได้เข้ามารายงานกับหลวงพ่อว่า
"หลวงพ่อครับ อนัตตา แจ๋วเลยครับ อัศจรรย์มาก ตอนบ่ายวันนี้ฟลุ๊คมาก ของที่ผมขายฝรั่งซื้อคนเดียว ๑,๖๐๐ บาท ไม่เคยมีปรากฏเลยครับ""

"อาจารย์ทำยังไงล่ะ.. อาจารย์ใช้แบบไหน จึงมีผลตามลำดับ... จะได้แจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง"

ผู้ถาม :    " อันดับแรกตักน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปไว้หน้าพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วชุมนุมเทวดาไหว้พระบูชาพระตามหลวงพ่อกล่าวนำ มีมนต์อะไรก็สวดไป ของผมสวดยาวหน่อย เมื่อสวดเสร็จแล้ว ก็อาราธนาบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็มาหลวงปู่ปาน แล้วมาหลวงพ่อ

เสร็จแล้วเช้าตื่นมาก็กราบแก้วน้ำ ๕ ครั้ง แล้วก็เอามาที่ห้องน้ำ แบ่งครึ่ง ครึ่งหนึ่งใส่ขันสำหรับล้างหน้า ก่อนจะแบ่งก็ตั้งจิตให้ดี ว่านะโม ๓ จบ แล้วก็ว่าคาถานี้อีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ใช้ก็ใช้คาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เม ฯ แล้วก็มาว่า คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อว่าเสร็จแล้วก็บอก "อนัตตา ขายเกลี้ยง"
อีกครึ่งหนึ่งเราแบ่งมาแล้วก็ว่า คาถาวิระทะโย ไป แล้วก็พรมตู้อะไรต่าง ๆ แล้วก็ลงท้าย "อนัตตา ขายเกลี้ยง ๆ ๆ" แม้แต่หน้าร้านก็พรมออกไปเลย ถ้าใครเดินมาถูกน้ำมนต์ปุ๊บอยู่ไม่ได้ ต้องมาซื้อ อันนี้ได้ผลดีครับ"

หลวงพ่อ :    "อ้าว.. จำได้ไหมล่ะ อันนี้ก็ดีมีประโยชน์นะ ควรจะนำไปใช้ทุก ๆ คนนะ ฉันบอกให้อาจารย์เขาไปทำ ท่านทำแล้วผลมันเกิดขึ้นทุกวัน"

ผู้ถาม :    "แล้วถ้าฟลุ๊คอะไรเป็นพิเศษละก้อ เวลาจุดธูปเทียนหรือพรมน้ำมนต์ มันจะมีขนลุกซู่ซ่า ถ้าซู่มากละ มาแน่"

หลวงพ่อ :    " อ้อ..กำลังปีติสูง ใช่ เพราะซู่ซ่านี่เจ้าของมาแสดงให้ปรากฏ ถ้านึกถึงท่านจริง ท่านเข้ามาช่วยจริงก็ถือว่าเป็นอาการของปีติ เมื่อสัมผัสแล้วทางจิตใจก็เกิดปีติ ความอิ่มใจเกิดขึ้น ขนลุกซู่ซ่ามาก การแสดงออกตามอาจารย์พูดน่ะถูก ถ้าหากว่าสัมผัสน้อยก็มีผลน้อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าปกติ สัมผัสมากก็มีผลมากหน่อย ปัจจุบันทันด่วน อันนี้ถูกต้อง ถ้าทำขึ้น หนักจริง ๆ นะ ถ้าขายของเป็นน้ำหนัก น้ำหนักจะสูงขึ้น แล้วก็ไม่สูงแต่ของเรา เอาไปขายคนอื่นต่อก็สูง นี่เขาทำมาแล้วนะ คน ที่ไทรย้อยแกขายข้าว ไปซื้อข้าวมาวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาไปขึ้นโรงสี แกก็พรมน้ำมนต์ก่อน พอถึงบ้านก็พรมน้ำมนต์หน่อย พอขึ้นโรงสีปรากฏว่าน้ำหนักสูง

ถ้าหากว่าของที่เก็บไว้ในปี๊บในถงในอะไรก็ตาม จะมีปริมาณสูง
เมื่อก่อนหลวงพ่อปานท่านบอก เอาข้าวใส่ยุ้งฉางให้เรียบร้อย ตวงให้ดี แล้วนับให้ดี ทำมาจนกว่าจะถึงฤดูออกมาใช้มาขาย แล้วตวง มันจะมากทุกคราว
จำเอาไว้นะ ถ้าปฏิบัติ ทุกคนจะไม่จน ฉันอยากให้ทุกคนรวย ฉันจะได้รวยด้วย พระแช่งให้ชาวบ้านจนก็ซวย พระไม่มีกินน่ะซิ"

จบ...