tag:blogger.com,1999:blog-52101551644963789302024-03-06T10:08:29.720+07:00ไสยศาสตร์ ศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ เร้นลับ พิสดาร ศาสตร์ที่บรรพชนไทยเชื่อถือมายาวนานศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ เร้นลับ พิสดาร ศาสตร์ที่บรรพชนไทยเชื่อถือมายาวนานUnknownnoreply@blogger.comBlogger67125tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-48843591581557614012015-01-08T17:23:00.002+07:002015-01-08T17:24:31.811+07:00พระอนุรุธคาถา เจริญภาวนาเป็นอาจิณ ห้ามพูดว่า "ไม่มี" "ไม่ได้"<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><b><span style="font-size: small;">เจริญภาวนาเป็นอาจิณ<br />
ห้ามพูดว่า "ไม่มี" "ไม่ได้"</span> </b></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguv60p7W9U4JgBBgvWXY3YoZMrCkF6A1ZrUPTqL7iZmuV85baPFTCe1orcF8L2EQ1UMquKfPZyFK7p-UMfdI4l2WFaIrZwSjBjspqv-nmiISG0f5k3sARuEAkLMbGWyE4qU0eqy1daK-HR/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguv60p7W9U4JgBBgvWXY3YoZMrCkF6A1ZrUPTqL7iZmuV85baPFTCe1orcF8L2EQ1UMquKfPZyFK7p-UMfdI4l2WFaIrZwSjBjspqv-nmiISG0f5k3sARuEAkLMbGWyE4qU0eqy1daK-HR/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2.jpg" height="240" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><b>พระอนุรุทธเถระ</b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: small;"><b>พระอนุรุทธะ
เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ
ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ ประสูติร่วมพระมารดาเดียวกัน ๓
พระองค์ คือ พระเชฏฐา (พี่ชาย) พระนามว่า มหานามะ พระกนิฏฐภคินี
(น้องสาว) พระนามว่า โรหิณี รวมเป็น ๓ กับอนุรุทธกุมาร
ถ้าจะนับตามลำดับพระวงศ์ก็เป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา
อนุรุทธกุมารเป็นกษัตริย์สุมุมาลชาติ มีปราสาท ๓ หลังเป็นที่ประทับใน
๓ ฤดู สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ศฤงคาร* และบริวารยศ แม้แต่คำว่า
ไม่มี ก็ ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยได้สดับเลย
</b></span></div>
<br />
<span style="font-size: small;">เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่อนุปิยนิคมของมัลลกษัตริย์
ในเวลานั้น
ศากยกุมารซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมีคนรู้จักมาก
ออกบวชตามพระบรมศาสดาเป็นจำนวนมาก
วันหนึ่งเจ้ามหานามะผู้เป็นพระเชฏฐา
ได้ปรารภกับอนุรุทธะผู้น้องว่า พ่ออนุรุทธะ
ในตระกูลของเรายังไม่มีใคร
ๆ ออกบวชตามพระบรมศาสดาเลย เจ้า
หรือพี่คนใดคนหนึ่งควรจะออกบวช
อนุรุทธะตอบว่า
น้องเป็นคนที่เคยได้รับแต่ความสุขสบาย
ไม่สามารถจะออกบวชได้ พี่บวชเองเถิด
เจ้ามหานามะจึงกล่าวขึ้นว่า
ถ้าอย่างนั้น
เจ้าจงเรียนให้รู้จักการงานของผู้ครองเรือนเสียก่อน
พี่จะสอนให้ เจ้าจงตั้งใจฟัง
ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว เจ้ามหานามะจึงสอนการงานของผู้ครองเรือน
โดยยกเอาวิธีการทำนาเป็นอันดับแรกขึ้นมาสอน
เมื่ออนุรุทธะได้ฟังแล้วก็เห็นว่าการงานไม่มีที่สิ้นสุดเบื่อหน่ายในการงาน
พูดกับพี่ชายว่า ถ้าอย่างนั้น
พี่อยู่ครองเรือนเถิด น้องจักบวชเอง
ครั้นอนุรุทธะกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงเข้าไปหาพระมารดาทูลว่า
แม่ หม่อมฉันอยากจะบวช
ขอพระแม่เจ้าจงอนุญาติให้หม่อมฉันบวชเถิด
แม้ถูกพระมารดาตรัสห้าม ไม่ยอมให้บวช
ท่านก็ยังอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวชเป็นหลายครั้ง
เมื่อมารดาเห็น
ดังนั้นจึงคิดอุบายที่จะไม่ให้อนุรุทธะบวช
ดำริถึง
พระเจ้าภัททิยะผู้เป็นพระสหายของอนุรุทธะ ท่านคงจะไม่ออกบวชเป็นแน่
จึงพูดว่า พ่ออนุรุทธะ
ถ้าพระเจ้าภัททิยะบวชด้วยจงบวชเถิด
อนุรุทธะได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็ไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยะ
ทูลตามวาทะของผู้ที่คุ้นเคยกันว่า
เพื่อนเอ๋ย บรรพชาของเรา
เนื่องด้วยบรรพชาของท่าน ในตอนแรก
พระเจ้าภัททิยะ ทรงปฏิเสธไม่ยอมบวช
ในที่สุดเมื่อทนการอ้อนวอนไม่ได้ก็ตกลงใจยินยอมบวชด้วย
อนุรุทธะจึงชักชวนศากยกุมารอื่นได้อีก ๓ คน คือ
อานันทะ,ภคุ,กิมพิละ
โกลิยกุมาร อีกองค์หนึ่ง คือ เทวทัต
รวมทั้งอุบาลีผู้เป็นนายภูษามาลาเป็น
๗ พร้อมใจกันเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยนิคม
ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย
เมื่ออนุรุทธะได้อุปสมบทแล้ว
เรียนกรรมฐานในสำนักของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
แล้วเข้าไปอยู่ในป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน </span><br />
<span style="font-size: small;">
</span><span style="font-size: small;">
เมื่อพระอนุรุทธะบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ได้ตรึกตรองถึงมหาปุริสวิตก
๗ ประการ คือ <br />
๑. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความมักมาก
<br />
๒. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่
ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ <br />
๓. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่คณะ
<br />
๔. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
<br />
๕. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีสติมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
<br />
๖. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีใจมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่มั่นคง
<br />
๗. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม
</span><br />
<span style="font-size: small;">
</span><span style="font-size: small;">
เมื่อพระอนุรุทธะตรึกอยู่อย่างนี้
พระบรมศาสดาเสด็จมาถึงทรงทราบเหตุนั้นจึงทรงอนุโมทนาว่า
ชอบละ ๆ อนุรุทธะ เธอตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกตรอง
ถ้าอย่างนั้น เธอจงตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกข้อที่
๘ ว่า "ธรรมนี้ เป็นธรรมของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ให้เนิ่นช้า
ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมเนิ่นช้า" </span><br />
<span style="font-size: small;">
</span><span style="font-size: small;">
ครั้นตรัสสอนอนุรุทธะอย่างนี้แล้วก็เสด็จกลับสู่ที่ประทับ
ส่วนพระอนุรุทธะบำเพ็ญความเพียรต่อไปก็ได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์
ตั้งแต่นั้นมาท่านก็เล็งแลดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุอยู่เสมอ
เล่ากันว่ายกเว้นแต่เวลาฉันเท่านั้น เวลาที่เหลือท่านย่อมพิจารณาแลดูหมู่สัตว์ทั้งปวงด้วยทิพยจักษุ
ด้วยเหตุนี้เอง พระผู้มีพระภาคจึงตรัสยกย่อง สรรเสริญท่านว่า
เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างผู้มีทิพยจักษุญาณ
ครั้นท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.
</span><br />
<span style="font-size: small;">
</span><span style="font-size: small;">
*ทรัพย์ศฤงคาร : ทรัพย์ที่ทำให้คนได้รับ เกิดความรัก ความชอบใจ</span><br />
<h3 align="left" style="text-align: justify;">
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">พระไตรปิฎกเล่มที่ 26 หน้า 402</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">พระอนุรุธคาถา </span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">พระอนุรธอดีตชาติเคยเป็นคนยากจนเคยถวายทาน
แด่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง
ได้อธิษฐานไว้ว่าความไม่มีอย่าได้มีแก่ท่าน หลังตายจากเป็นคนยากจน
ไปเกิดเป็นพระอินทร์ 7 ชาติ เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 7 ชาติ
ชาติสุดท้ายเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีรวยมากตอนเป็นเด็กท่านเล่นกับเพื่อนหลายสิบ
คนมารดาท่านทำขนมให้เด็กกินจนหมด พระอนุรุธสั่งคนไปขอขนมจากมารดาอีก
มารดาท่านสั่งคนบอกพระอนุรุธ และเด็กๆ ว่าขนมไม่มีแล้วหมดแล้ว
เด็กอนุรุธจึงบอกกับคนให้ไปบอกมารดาท่านว่าท่านจะเอาขนมไม่มีแล้วหมดแล้ว
เพราะไม่เข้าใจคำว่าหมดไม่มีมารดาท่านจึง
เอาจานเปล่าปิดฝาไว้เพื่อจะสอนเด็กอนุรุธว่าไม่มีหมด คือ จานเปล่า
ผลบุญจากที่ท่านเคยอธิษฐานสมัยเป็นคนยากจนถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
อธิษฐานขอคำว่าไม่มีอย่าได้ปรากฏแก่ท่านทุกๆ ชาติ
บันดาลให้เทพเทวดาเอาขนมทิพย์มาใส่ในจานเปล่านั้น เด็ก อนุรุทธ และเพื่อนๆ
รับประทานขนมทิพย์อร่อยถูกใจ จึงสั่งคนขอขนมไม่มีจากมารดาท่านอีก
มารดาท่านก็ส่งจานเปล่าๆ ให้ทุกครั้ง
เทพเทวดาก็ทำให้มีขนมทุกครั้งต่อมาเป็นหนุ่มท่านก็ขอบวชกับพระผู้มีพระภาค
เจ้า ท่านนั่งเพ่งญาณภาวนาอยู่องค์เดียว ไม่สนใจในกามคุณทั้ง 5 คือ รูป รส
กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ถูกใจ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบจึงทรงเสด็จมาหาพระอนุรุทธทาง มโนมยิทธิ คือ
แยกกายในออกจากกายเนื้อมาปรากฏกายเหมือนกายเนื้อมาจริงๆ
พระองค์ท่านได้แสดงธรรมอันไม่เนิ่นช้าแก่พระอนุรุทธ
ท่านพระอนุรุทธได้บรรลุพระนิพพานพร้อมด้วยพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเป็นผู้
เลิศทางฌานสมาบัติ
ท่านได้ตอบคำถามจากพระภิกษุก่อนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจะปรินิพพานว่า</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ลมหายใจเข้า
ลมหายใจออกมิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระหฤทัยแจ่มใสตั้งมั่นคงที่
แต่พระพุทธองค์ยังไม่ทรงปรินิพพานก่อน
พระพุทธองค์ทรงทำนิพพานเป็นอารมณ์ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางกายด้วยพระหฤทัยอัน
เบิกบานเสด็จออกจากจตุตถญาณ คือ ฌาน 4 แล้วจึงเสด็จดับขันธ์ 5 ปรินิพพาน
ความพ้นจากนามกายได้อย่างวิเศษได้มีแก่พระหฤทัยของพระผู้มี พระภาคเจ้าแล้ว</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">พระคุณเจ้าพระอนุรุทธ
ท่านได้กล่าวอภิธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในการรวบรวมพระธรรมคำ
สั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นหมวดหมู่
ตอนเริ่มแรกของการสังคายนาพระไตรปิฎกซึ่งมีพระคุณเจ้าพระมหากัสสป
เป็นผู้ริเริ่มเป็นผู้นำ
พวกเราท่านจึงได้รับพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระชินวร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีอยู่แล้วครบถ้วนถูกต้องตามเป็นจริง 100%
เต็มอยู่ในหนังสือพระไตรปิฎกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ </span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 หน้า 26</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">สมาธิสูตร</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงมีปัญญารักษาตนมีสติเจริญสมาธิตลอดเวลา จะได้ญาณทั้ง 5 เกิดขึ้นรู้ได้เฉพาะตนมี </span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ญาณที่ 1 ความรู้เกิดขึ้นว่า สมาธิมีความสุขกายสุขใจในปัจจุบัน และอนาคต</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ญาณที่ 2 มีความรู้ว่า การทำสมาธิเป็นทางแห่งอริยมรรค อริยผล</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ญาณที่ 3 มีความรู้ว่าสมาธิเป็นสุขที่ไม่ต้องใช้วัตถุเงินทองสมบัติ</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ญาณที่ 4 มีความรู้เกิดขึ้นสมาธินี้ละเอียดประณีตคนดีทำได้</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ญาณที่ 5 มีความรู้เกิดขึ้นว่า
มีสติเกิดสมาธิมีปัญญาห้ามกิเลสตัดขาดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม
เป็นทางพ้นทุกข์ดับทุกข์ของจิต เสวยวิมุตติสุข
พระนิพพานได้แน่นอนในชาติปัจจุบัน</span></span></h3>
<span style="font-size: small;">
</span>
<h3 align="left" style="text-align: justify;">
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 17 หน้า 14</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สิ่งใดไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย
สิ่งอันนั้นที่เธอละทิ้งคือร่างกาย ทรัพย์สมบัติไปได้แล้ว
จะทำให้จิตใจมีเอกราชเป็นอิสระภาพ เป็นประโยชน์มีความสุขสะอาดเบิกบาน
เป็นนิพพานอยู่ในใจ ดังนี้
เธอทั้งหลายจงเลิกละสนใจร่างกายเราร่างกายเขาเสีย
ร่างกายทรัพย์สมบัติที่เธอละได้แล้วจะทำให้เธอมีความสุขไม่มีความทุกข์ต่อไป</span></span>
<span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ตอนท้ายของมหาสติปัฏฐานสูตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนว่า เธอทั้งหลายจงอย่าสนใจกายใน คือกายเราเอง
อย่าสนใจกายภายนอก คือ กายผู้อื่น
จงอย่าสนใจสรรพสิ่งทั้งหลายใดใดในโลกทั้งหมด เพราะการสนใจทำให้เกิดความพอใจ
แล้วเกิดความลุ่มหลงในของมายา ของปลอม ของสมมุติ
ท้ายที่สุดก็สูญสลายกลายเป็นอนัตตา คือ ความว่างเปล่า สนใจในของจริงดีกว่า
ของจริงคือนิพพาน และของจริงคือจิตที่สะอาด มีเมตตาจิต มีศีล สมาธิ
มีความฉลาดรอบรู้ในทุกสิ่งในโลกว่าแปรปรวนเปลี่ยนแปลง สูญสลาย
นั้นคือมีวิปัสสนาญาณ หรือปัญญา</span></span></h3>
<span style="font-size: small;">
Category: <a href="http://www.sangthipnipparn.com/category/%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%8f%e0%b8%81-%e0%b8%a2%e0%b9%88/" rel="category tag" title="View all posts in ข้อธรรมจากพระไตรปิฏก ย่อโดยคุณแม่เกษร">ข้อธรรมจากพระไตรปิฏก ย่อโดยคุณแม่เกษร</a></span><br />
<span style="font-size: small;">****</span><br />
<span style="font-size: small;">คาถา</span><span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">พระอนุรุธคาถา </span></span><br />
<span style="font-size: small;"> </span><br />
<br />
<span style="font-size: small;">มัยหังปุตโต ปุญญะวากะตา ภินิหาโร ภะวิสสะติ<br />
เทวะตะหิปาติง ปูเรตวา ปูวาปะหิตา ภะวิสสะตีติ<br />
<br />
เจริญภาวนาเป็นอาจิณ<br />
ห้ามพูดว่า "ไม่มี" "ไม่ได้"<br />
เวลาคนมาขอแล้วจะมีทุกอย่าง<br />
<br />
คาถาของหลวงปู่พระอนุรุทธะเถระเจ้า<br />
เอามาจากหนังสือคู่มือเที่ยวชมถ้ำป่าไผ่
</span><br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-50116585026027464802013-11-28T12:24:00.002+07:002013-11-28T12:25:46.313+07:00รอดตายเพราะคาถา...<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbXvnKT3Fq1VL-0rgYwXytAIMXFUuQyTPG_1JjTxGAZqtBbofW9jh1VTmPepcVExGSrGCP-6z4J0-qXSuufadqeIUyoyL8eVGTFZT8zomRilB4guzi0p0tTTjwFNmt7lBHgxJw-ToM6kSc/s1600/169626.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbXvnKT3Fq1VL-0rgYwXytAIMXFUuQyTPG_1JjTxGAZqtBbofW9jh1VTmPepcVExGSrGCP-6z4J0-qXSuufadqeIUyoyL8eVGTFZT8zomRilB4guzi0p0tTTjwFNmt7lBHgxJw-ToM6kSc/s400/169626.jpg" width="400" /></a></div>
<b>กระเบนท้องน้ำ</b>:<br />
เมื่อ 45 ปีก่อน ณ.หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี
คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา เนื่องจากหมู่บ้านนี้เป็นที่ลุ่ม<br />
มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่าน พอหน้าน้ำๆ ก็ท่วมล้นขึ้นมาสองฟากฝั่ง พวกชาวบ้านจึงมีอาชีพเสริมขึ้นมาอีก อาชีพหนึ่งคืออาชีพจับปลา<br />
<br />
ลุงอ่ำ อายุ 60 กว่าปี เป็นคนร่างเล็กผอมเกร็ง นิสัยขรึมไม่ค่อยชอบพูดล้อเล่นกับใคร เขาลือกันว่าสมัยหนุ่มๆ ลุงอ่ำเป็นคนเกะกะเกเร<br />
ไม่กลัวใคร เคยมีเรื่องมีราวกับคนอื่นบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้แกจึงชอบเล่นคาถาอาคมเป็นชีวิตจิตใจ พอแต่งงานมีภรรยาและมีลูกแกก็เลิก<br />
ประพฤติตัวเป็นอันธพาล หันมาตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ถึงหน้านาก็ทำนา พอหน้าน้ำก็เที่ยวจับปลามาขายบ้างกินเองบ้าง<br />
<br />
วันหนึ่งลุงอ่ำกับเพื่อนอีกคนก็ชวนกันไปสุ่มปลาที่บริเวณนาร้างริมแม่น้ำซึ่งมีปลาชุกชุม น้ำในบริเวณนี้สูงเลยหัวเข่ามาหน่อย ขณะที่<br />
ลุงอ่ำกำลังสุ่มปลาเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายมาทางด้านหลัง พอหันขวับไปมองก็ต้องตกใจแทบช็อก เมื่อเห็นจระเข้<br />
ใหญ่ตัวหนึ่ง ยาวประมาณ 7-8 ศอก สีดำมะเมื่อม เนื้อตัวเกาะเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ อ้าปากกว้างพุ่งเข้าหาหมายงับตัวแกให้จมเขี้ยว<br />
<br />
ด้วยสัญชาตญาณรักตัวกลัวตาย ลุงอ่ำกระโดดพรวดออกไปด้านข้างอย่างว่องไว จระเข้ตัวใหญ่ที่พุ่งเข้าหาจึงพลาดเป้าอย่างหวุด<br />
หวิด "ช่วยด้วยๆ" ลุงอ่ำร้องบอกเสียงหลง พร้อมกับทะลึ่งพรวดขึ้นหาฝั่งด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ จระเข้พองับผิดก็หมุนตัวโบกหาง<br />
อันใหญ่ฟาดน้ำดังตูมตามเข้าหาอย่างดุร้าย<br />
<br />
เพียงแค่เห็นตัวจระเข้ ลุงอ่ำก็แทบจะหัวใจวาย เมื่อมาเจอกับความดุร้ายของมัน มือไม้ก็ถึงกับอ่อนปวกเปียกไปหมด คิดว่าอีกไม่ช้า<br />
คงจะถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆแน่แล้ว ในขณะนั้นแกจึงตัดสินใจยกสุ่มฟาดโครมไปที่ปากของจระเข้ซึ่งอ้ากว้างอยู่อย่างแรง พลาง<br />
กระโดดถลาล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ยังกระเสือกกระสนถอนหนีอย่างไม่คิดชีวิต<br />
<br />
ทันใดนั้น ลุงอ่ำก็สะท้านเฮือกใหญ่ รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เมื่อจระเข้อ้าปากคาบร่างแกไว้ แล้วหมุนตัวกลับลงไปในน้ำอย่างรวด<br />
เร็ว ลุงอ่ำตกใจแทบสิ้น พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ร่างของแกก็ขยับอยู่แค่ในปากอันแข็งแรงของเจ้าเดรัจฉานที่ทรงพลังเท่า<br />
นั้น สองหูได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายและเสียงตะโกนของเพื่อนดังอยู่บนฝั่งว่า "ไอ้เข้...ไอ้เข้"<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ไม่ถึงอึดใจมันก็คาบร่างของลุงอ่ำ ลงสู่แม่น้ำและมุดตัวดำดิ่งลงไปใต้น้ำ ลุงอ่ำเอื้อมมือเปะปะลงไปบนส่วนตะปุ่มตะป่ำสัมผัสได้กับ<br />
เนื้อเย็นๆเปียกๆลื่นๆ ทำให้รู้สึกขยะแขยงและหวาดกลัวจนบอกไม่ถูก แต่ด้วยความรักตัวกลัวตาย แกจึงพยายามเอื้อมมือไปยังปลาย<br />
ปากแล้วจิกแหย่ลงในโพรงจมูก เพื่อให้มันคายร่างแกออก แต่ก็ไร้ผล เพราะจระเข้คงเจ็บจึงสะบัดดิ้นไปมาจนลุงอ่ำทำอะไรมันไม่ได้<br />
<br />
ลุงอ่ำนึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ถึงกับเสียววูบ เริ่มจะหายใจไม่ออก หูอี้อไปหมด ร่างถูกพาดำดิ่งลึกลงไป<br />
ทุกที จนในที่สุดลุงอ่ำก็นึกอะไรขึ้นมาได้ว่า "คาถา" นอกจากคาถาแล้วแกก็นึกไม่ออกว่าจะเอาตัวรอดจากการเป็นเหยื่อของจระเข้<br />
ตัวนี้ได้อย่างไร พอนึกได้ ลุงอ่ำรีบกลั้นหายใจท่อง "คาถาพระเจ้า 16 พระองค์" เท่าที่พอจะนึกออก ทั้งๆที่เคยท่องจนขึ้นใจมาตั้ง<br />
แต่สมัยหนุ่มๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่า จระเข้คาบแกไปซุกอยู้ใต้แพ มันพยายามจะเอาร่างแกไปขัดตรงโน้นตรงนี้เพราะกลัวว่าจะลอย<br />
ขึ้นมา ตอนนี้ลุงอ่ำเริ่มกลั้นหายใจต่อไปไม่ค่อยจะไหว แต่ก็พยายามรวบรวมสมาธิ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่และ<br />
ครูบาอาจารย์ ตั้งจิตแน่วแน่จดจ่ออยู่กับพระคาถา ในใจก็มุ่งมั่นว่าถึงจะตายก็ขอตายอยู่กับพระคาถาบทนี้<br />
<br />
ชั่ว
เดี๋ยวเดียวลุงอ่ำก็กลั้นหายใจไม่อยู่ ต้องอ้าปากกินน้ำเข้าไปหลายอึก
รู้สึกอึดอัดแทบขาดใจให้ได้ เพิ่งรู้รสชาติของความรู้สึกก่อน<br />
ตายว่ามันอึดอัดทรมานขนาดไหน แกสำลักน้ำจนแทบหมดสติ พลันก็มีความรู้สึกเหมือนจระเข้จะคาบร่างเปลี่ยนที่ใหม่ แล้วก็คาบออก<br />
มาจากใต้แพ ว่ายลิ่วขึ้นสู่ผิวน้ำ ทำให้ร่างถูกชูขึ้นเหนือผิวน้ำอีกครั้ง ขณะที่ความรู้สึกกำลังจะดับวูบลง สายตาอันพร่ามัวเลอะเลือน<br />
ของลุงอ่ำก็เห็นคนยืนตะโกนลั่นอยู่บนแพ ลุงอ่ำพยายามยกสองมือกระทุ่มน้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ความรู้สึกจะดับวูบลง<br />
<br />
เมื่อลุงอ่ำรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ก็เห็นคนมายืนมุงล้อมรอบตัวเต็มไปหมด กวาดตามองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วโพล่งออกมาอย่างดีใจว่า<br />
"ข้ายังไม่ตายอีกเหรอ" เอ็งไม่ตายหรอก ไอ้เข้มันปล่อยเอ็งที่หน้าแพข้า ข้าเห็นเอ็งจมลงไป ข้ากับไอ้เหม่าเลยช่วยกันงมขึ้นมา <br />
ลุงจ้อยเจ้าของแพบอก พลางมองอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นแขนและลำตัวของลุงอ่ำ โดนจระเข้กัดจนเลือดออกหลายแห่งแล้วถามต่อว่า<br />
"เอ็งเป็นยังไงมั่ง" ลุงอ่ำส่ายหน้าแล้วค่อยๆยันกายลุกขึ้น "ข้านึกว่าข้าต้องตายแน่แล้ว" ลุงอ่ำพูดพร้อมยิ้มทั้งน้ำตา มีความรู้สึก<br />
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ <br />
<br />
เมื่อสำรวจดูบาดแผลไม่สาหัสอะไร เพียงแต่ปวดระบมไปทั้งตัว แล้วลุงอ่ำก็เล่าให้ชาวบ้านที่มารุมล้อมฟัง ซึ่งทุกคนฟังด้วยความ<br />
แปลกใจไม่นึกว่าลุงอ่ำจะรอดชีวิตมาได้ เพราะจระเข้เปลี่ยนใจปล่อยร่างแกขึ้นมา <br />
<br />
"ที่ข้ารอดมาได้นี่เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์แท้ๆ" ลุงอ่ำบอกอย่างภาคภูมิใจ <br />
<br />
ทุกคนในที่นั้นก็ลงความเห็นเหมือนกันคือ ลุงอ่ำรอดตายมาได้เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์ เป็นแน่...อย่างไม่ต้องสงสัย...<br />
<br />
<br />
คาถาพระเจ้า 16 พระองค์นั้นว่าดังนี้...<br />
<br />
นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ <br />
<br />
นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตัง <br />
<br />
สุนะพุทธัง อะสุนะอะ<br />
<br />
<br />
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม<br />
<br />
<br />
****************กระเบนท้องน้ำ*****************
Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-31826007616498957172013-10-01T00:20:00.000+07:002013-10-01T00:20:00.119+07:00ภาพยนตร์หลวงปู่ทวด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<object width="320" height="266" class="BLOGGER-youtube-video" classid="clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000" codebase="http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=6,0,40,0" data-thumbnail-src="http://img.youtube.com/vi/4UH_DOe_bVc/0.jpg"><param name="movie" value="http://youtube.googleapis.com/v/4UH_DOe_bVc&source=uds" /><param name="bgcolor" value="#FFFFFF" /><param name="allowFullScreen" value="true" /><embed width="320" height="266" src="http://youtube.googleapis.com/v/4UH_DOe_bVc&source=uds" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true"></embed></object></div>
<br />Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-69910286649269012732013-09-30T23:55:00.001+07:002013-09-30T23:55:36.910+07:00คาถาเมตตามหานิยม <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/gGiethjOgcY?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-70183765563807888692013-03-04T12:34:00.001+07:002013-03-04T12:34:11.589+07:00ยันต์โสฬสมหามงคลสุดยอดยันต์วิเศษ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKbSl7nIdMnMREUtNwt1MqQnKau6PyOyz1YNBdGq8tpgGBfr0Ma0dXrSNBWWN2sKw-g-kMZdNbfEFoTGzJRFdbxxMU2Kyg5pQb5PVubfLzG5ZTXhLD_5i1B3E7VOp5rkIdWXULgNK1N7tL/s1600/dg7ghcec9957dd8899i8c.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="207" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKbSl7nIdMnMREUtNwt1MqQnKau6PyOyz1YNBdGq8tpgGBfr0Ma0dXrSNBWWN2sKw-g-kMZdNbfEFoTGzJRFdbxxMU2Kyg5pQb5PVubfLzG5ZTXhLD_5i1B3E7VOp5rkIdWXULgNK1N7tL/s400/dg7ghcec9957dd8899i8c.jpg" width="400" /></a></div>
<h1 class="titleDetail">
ยันต์โสฬสมหามงคลสุดยอดยันต์วิเศษ</h1>
<h2 class="berbDetail">
ยันต์โสฬสมหามงคลสุดยอดยันต์วิเศษจากโบราณกาลถึงปัจจุบัน : ชั่วโมงเซียน โดย อ.ราม วัชรประดิษฐ์
</h2>
"ยันต์" (cabalistic writing) เป็นคำโบราณ
เข้าใจว่ามีพัฒนาการมาจากคำว่า "ยนต์" สมัยก่อนมีการผูกหุ่นพยนต์
คือเสกหุ่นฟางให้กลายเป็นคน หรือเสกเรือสำเภายนต์
ซึ่งทำจากหญ้าฟางให้แล่นไปมาได้ทั้งในน้ำและบนบก
ทางเหนือมีการลงอักขระในช่องสี่เหลี่ยมไว้หน้าเรือนนอนลูกสาวก้นไอ้หนุ่มที่
มีคาถาอาคมแอบเข้าไปทำมิดีมิร้ายถ้ารอดเข้าไปอาคมทางไม่ดีจะเสื่อมรู้จัก
เรียกกันว่า "หำยนต์"
ส่วนใหญ่จะหมายถึงการทำให้สิ่งไม่มีชีวิตเกิดการเคลื่อนไหวตามใจปรารถนาเป็น
รากเหง้าแห่งคำว่า "ภาพยนตร์" ซึ่งเมื่อก่อนเรียก "หนัง" (มาจากหนังใหญ่
หนังตะลุง) เครื่องยนต์ กระทั่ง รถยนต์ ในปัจจุบัน<br />
<br />
ยันต์ เป็นการจาร จารึก
หรือเขียนอักขระโบราณลงบนวัสดุต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเงินแผ่นทองแผ่นโลหะอันเป็นมงคล
และใช้จารหรือสักลงบนร่างกายของมนุษย์เพื่อแสดงกลุ่มชาติพันธุ์หรือความเป็น
หนุ่มพร้อมจะรับผิดชอบมีครอบครัว เช่น การสักยันต์ของกลุ่มชาวลาวพุงดำ
คือสักตั้งแต่พุงลงไป
เกจิคณาจารย์จะได้รับการถ่ายทอดวิชาการลงอักขระเลขยันต์สืบต่อกันมา
โดยเชื่อว่ายันต์แต่ละอย่างมีพุทธคุณช่วยให้เกิดความเป็นสิริมงคลในลักษณะ
ต่างๆ ซึ่งการลงอักขระเลขยันต์นั้น
เป็นตำราเฉพาะของแต่ละอาจารย์บางครั้งเป็นการสักด้วยหมึกดำ
บ้างเป็นการสักน้ำมัน ซึ่งจะไม่เห็นรอยสัก<br />
<br />
สำหรับยันต์ในประเทศไทยนั้น ได้รับอิทธิพลจากการเขียน
"ติลก" (Tilok) ซึ่งเป็นเครื่องหมายบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะพระศิวะ
และพระนารายณ์ จากอินเดียโดยเขียนไว้บนหน้าผาก
ภายหลังเขมรรับเอาทั้งพราหมณ์และพุทธมหายานเข้าไปการเขียนยันต์เลยแพร่หลาย
เข้าสู่สยามในเวลาต่อมา<br />
<br />
ในจำนวนยันต์ทั้งหมด
ยันต์โสฬสมงคลและยันต์มหาโสฬสมงคลจัดเป็นยันต์ชั้นสูง ทำเป็นตัวเลข ๓ ชั้น
ชั้นนอกลงด้วยเลข ๑๖ ตัว (โสฬส แปลว่า ๑๖ ชั้นฟ้า
มีความหมายถึงภูมิชั้นอรูปภูมิอันเป็นถิ่นที่อยู่ของพระพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น
และหมายถึงพระพุทธคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๖ ประการ)
พระมหายันต์นี้ปรากกฏหลักฐานในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงตั้ง
ศาลหลักเมืองโปรดเกล้าฯ
ให้อัญเชิญยันต์มหาโสฬสมงคลประดิษฐานไว้ที่ส่วนยอดเพื่อนำความเจริญ
รุ่งเรืองและมหามงคล ณ เสาหลักเมือง<br />
<br />
พระยันต์นี้แม้แต่สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศนฯ กรุงเทพฯ
ผู้เจนจบในพระยันต์ร้อยแปด
ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่ายันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง
พระองค์ได้นำไปประทับในพระอุโบสถของวัดสุทัศนฯ
และเขียนสอดใส่ไว้ใต้หมอนหนุนศีรษะตลอดเวลา จนกระทั่งท่านมรณภาพเมื่อปี
พ.ศ.๒๔๘๗ ลูกศิษย์ลูกหาจึงได้พบแผ่นยันต์วางใว้ใต้หมอนของท่าน
และหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง
ได้อัญเชิญไปดัดแปลงจัดสร้างเป็นตะกรุดโสฬสอันลือลั่น<br />
<br />
ยันต์โสฬสมงคลเป็นมหายันต์ที่เกิดจากการนำเอายันต์ ๓
ชนิดมารวมกันไว้ โดยใช้ตัวเลขแทนด้วยความหมายมงคลต่างๆ จากภาพ
ตรงกลางช่องเล็ก ๙ ช่อง คือ ยันต์ จตุโร ถัดมาวงกลาง
เป็นยันต์สูตรตรีนิสิงเห และด้านนอกสุดเป็น ยันต์ อริยสัจโสฬส
จากนั้นอักขระด้านนอกที่ล้อมยันต์อยู่ คือ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ<br />
<br />
พระยันต์นี้มิได้มีบังคับการลงยันต์ด้านหลังไว้
ฉะนั้นการลงยันต์ด้านหลังตะกรุดก็แล้วแต่พระเถราจารย์ท่านจะลง
ในสายวัดสะพานสูง จะลงไตรสรณคมแบบย่อ อ่านว่าว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ
หากลงเต็ม จะนำเอาบทอิติปิโส ๓ ห้อง มาผูกลงในตารางกระดูกยันต์
ซึ่งถือเป็นพิธีลงยันต์ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่และลงยากมาก<br />
<br />
ส่วนยันต์โสฬสมหามงคล รอบนอกใช้พระคาถาจตุราวุธ
ประกอบด้วย ด้านซ้าย อาวุธอาฬะวะกะยักษ์ มีบ่วงเป็นอาวุธ ด้านขวา
อาวุธยะมะราชา มีนัยน์ตาเป็นอาวุธ ด้านบน อาวุธพระอินทร์ มีสายฟ้าเป็นอาวุธ
ด้านล่าง อาวุธท้าวเวสสุวัณ มีคทาเป็นอาวุธ<br />
<br />
หลวงพ่อทวดรุ่นมงคลมหาโสฬส<br />
<br />
<br />
เนื่องในปีมหามงคล
องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ ๘๕ พรรษา
พสกนิกรทุกหมู่เหล่าพากันประกอบกุศล มหากุศล น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย
คณะกรรมการจัดสร้างโดย ดร.อำนวย ยศสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง,
กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธาน
ได้ดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่ทวด รุ่นมงคลมหาโสฬส ขึ้น
เพื่อบันทึกไว้เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์<br />
<br />
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์
มอบให้โรงพยาบาลมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา
สิริวัฒนาพรรณวดี
และจะนำวัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีมหาพุทธาภิเษกในครั้งนี้
แจกจ่ายให้ทหารและตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
พร้อมทั้งจัดทำถุงยังชีพมอบให้ประชาชนใน ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประสบปัญหายากไร้ ผู้ด้อยโอกาส
และผู้ประสบสาธารณภัยตามโครงการ "หนึ่งใจ....เดียวกัน"<br />
<br />
ในพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณหลวงพ่อทวดและพิธีเททองนำฤกษ์ตามตำรับโบราณ ณ
สถูปเจดีย์หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ ปัตตานี ในวันจันทร์ที่ ๘
ตุลาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๐๙ น. โดยมี ดร.มนัส โนนุช
กรรมการและผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์
และผู้แทนพระองค์ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
ประธานในพิธี มีผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายประมุข ลมุล
เป็นผู้กล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณ นายธนน เวชกรกานนท์
ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม ตัวแทนคณะกรรมการจัดสร้างกล่าวรายงาน
มีพ่อค้า ประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก พระครูสิทธิไชยบดี กองพระราชพิธี
สำนักพระราชวัง บวงสรวงดวงวิญญาณหลวงพ่อทวด<br />
<br />
หลวงพ่อทวดรุ่นนี้มีเกจิอาจารย์ที่ทรงวิทยาคุณเข้มขลังได้ร่วมกันจารยันต์
โสฬสมหามงคลตามตำราโบราณที่ได้สืบทอดมาลงบนแผ่นจาร ได้แก่ หลวงพ่อรวย
วัดตะโก หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
หลวงพ่อชำนาญวัดบางกุฏีทอง เพื่ออัญเชิญไปประกอบพิธีเททองนำฤกษ์
ได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์ต่างๆ<br />
<br />
ในการเททองได้แก่แผ่นอักขระของคณาจารย์ที่เทลงในเบ้าหมุนวนด้วยตัวเองไม่
หยุดถึง ๑๖ รอบ ตามชื่อโสฬส ซึ่งแปลว่า คุณของพระพุทธองค์ ๑๖ ประการ
และหมายถึงสวรรค์ชั้นพรหม ๑๖ ชั้น
สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้เข้าร่วมพิธีอย่างทั่วถึงส่งผลให้ผู้คนแห่กันไป
จองบูชาหลวงพ่อทวด รุ่นมงคลมหาโสฬสนี้อย่างแน่นขนัด
เนื้อทองคำทุกแบบพิมพ์ใกล้เต็มทุกรายการแล้ว
คณะกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อทวดจึงพิจารณาเห็นสมควรให้นำชุดกรรมการ
ซึ่งเป็นชุดที่จะได้นำขึ้นถวายทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา
สิริวัฒนาพรรณวดี ออกให้สาธุชนเช่าบูชาตามคำเรียกร้อง
ซึ่งจะมีชุดกรรมการใหญ่เพียง ๑๙ ชุด และชุดกรรมการทั่วไปอีกเพียง ๕๕
ชุดเท่านั้น สอบถามรายละเอียดได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ<br />
<br />
คาถา<br />
<span style="font-family: AngsanaUPC; font-weight: 700;">
<span style="color: teal;">พระคาถาโสฬสมงคล</span></span>
<br />
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
โสฬะสะมังคะลัญเจวะ นะวะโลกุตตะระธัมมะตา</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
จัตตาโรจะมหาทีปา</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
ปัญจะพุทธามหามุนี ตรีปิฏะกะธัมมักขันธา</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
ฉะกามาวะจะราตะถา</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
ปัญจะทัสสะกะเวสัจจัง ทะสะมังสีละเมวะจะ</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
เตรัสสะธุตังคาจะ</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
ปาฎิหารัญจะทะวาทัสสะ เอกะเมรุจะ สุราอัฎฐะ</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
ทะเวจันทังสุริยังสัคคา</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
สัตตะโพชฌังคาเจวะ จุททัสสะจักกะวัตติจะ</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
เอกาทะสะวิสะณุราชา</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
สัพเพเทวามัง ปะลายังตุ สัพพะทาเอเตนะ</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18.0pt;">
มังคะละเตเชนะ สัพพะโสตถี ภะวันตะ เมฯ</span></b></div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 14.0pt;"> </span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 14.0pt;">
กล่าวให้ปรากฏ อุปเท่ห์โสฬส บันดาลชายหญิง ภาวนาทีหนึ่ง
สองทีดีจริง สิบแปดทีดียิ่งมีผลานิงค์ ชักลูกประคำ ร้อยแปดเลิศล้ำ
ให้ได้คาบทรงคงเกิดส่วนบุญ มีผลานิสงค์ พบแล้วอย่างง ไม่พบเร่งหา
ผู้ใดไม่พบบุญน้อยถอดถด เสียชิตเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา
พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ เหมือนชีวิตเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา
พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ เหมือนได้ดวงแก้วแถม ทองผ่องแผ้ว กุศลชักนำ
สิ่งใดปรารถนาภาวนาหัวค่ำ กุศลเลิศล้ำ ประมูลพูนมา อุบาทว์จัญไร
กันทั้งโรคภัย ปรากฏคาถากลับจิตคิดเห็น ๆ อนัตตา มิอาจมาทำลายตัวเรา
ภาวนาภัยหัวค่ำทีหนึ่งประจำ เที่ยงคืนและย่ำรุ่งเป็นสามทีเกิดสวัสดี
มีลาภทุกประการอาหารการกินปรีเปรมเกษมสันต์ ภาวนา ๓-๗ เป็นสำเร็จการ
ทุกค่ำสำราญกว่าคนทั้งหลาย อายุวัณโณ บรมสุขโขภัญโญทั้งปลาย
ถ้าไฟไหม้มาให้เสกข้าวสาร สาดหว่านหลังคา ลมพาพัดหวลอย่าได้สงกา
ฝนตกลงมาภาวนาป้องกัน ถ้าจะขายของเสกน้ำประพรม สินค้าสารพันระบือลือสั่น
พากันเข้ามาค้าเรือ เหนือใต้ เขียนคาถาไว้
แผ่นกระดาษปรารถนาเสกด้วยตัวเองปิดหัวนาวา นำของสินค้าขายมีกำไร
ถ้าเป็นความเสกน้ำล้างหน้าทาแป้งเสกเครื่องแต่งตน เสกหมากอย่านาน
กินแล้วยาตรา กระทืบเท้าสามทีแปลกายบ่ายสู่คู่ความตามที่เป่าพ่นอย่าหนี
พลุ่งพล่านต้องเวทย์มนต์ถาคาพลัน ให้ภาวนาเสกน้ำล้างหน้า
กันทั้งคุณไสยอุบาทว์ จัญไร อัคคีโจรภัยตามความปรารถนา</span></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 14.0pt;">
พระคาถาบทนี้ เป็นของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง
ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งท่านได้ใช้บทนี้ ปลุกเสกสร้างพระปิดตา และ
ตะกรดทำให้มีพุทธคุณมาก จนเป็นที่ต้องการของผู้คนทั้งหลายตราบเท่าทุกวันนี้</span></div>
<div class="MsoNormal">
<b>
<span lang="TH" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 14.0pt;">
หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม เกิดเมื่อ ๒๓๖๐ มรณะภาพ เมื่อ ๒๔๓๙</span></b></div>
<br />
<br />
Unknownnoreply@blogger.com7tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-58108355736673298892013-03-01T07:33:00.001+07:002013-03-01T07:36:09.999+07:00กุมารทอง(ตุ๊กตาทอง) วัดสามง่าม <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
กุมารทอง(ตุ๊กตาทอง) หลวงพ่อเต๋ หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม<br /><br />ปาฏิหาริย์ รักษาทรัพย์สิน จากกล้องวงจรปิดจากที่บ้าน<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/rUGGc1Ewgz0?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-54261924472983910572013-02-09T14:30:00.000+07:002013-02-09T14:30:07.448+07:00คาถาเงินล้าน<span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ที่มาของ คาถาเงินล้าน</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ก่อนที่อยู่วัดท่าซุงนะฉันอยู่กระต๊อบ เงินร้อยก็หายากสำหรับเงินทำบุญ คาถาวิระทะโย ก็ทำเรื่อยๆ ไป ต่อมาท่านก็มาหา ก็บอกว่า คาถาบทนี้นะที่เขาทำพระวัดพนัญเชิงองค์แรก มีเจ้าอาวาสองค์แรกท่านไปนั่งกรรมฐาน และเสกด้วยคาถาบทนี้ สามปี ท่านให้ดูตัวอย่างวัดพนัญเชิงเงินขาดไหมฉันก็ทำมาเรื ่อย</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">มาอีกปีหนึ่ง กำลังบวงสรวง ท่านบอกว่า"คาถาบทนี้ เป็นคาถาเงินแสนนะ" ก็ใช้คาถาบทนั้น มาประมาณครึ่งปี คนมา ทอดกฐินผ้าป่าได้เงินเป็นแสน นี่เห็นชัดนะ</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">แล้วต่อมา อีกปีหนึ่ง ท่านบอกว่า "คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินล้านนะ" ให้ว่าต่อเนื่องกันไปแล้วไปลง "คาถาวิระทะโย" ต่อมาก็จริง ๆ เพราะปี 27 ก็ใช้เงินล้าน เป็นเดือน ซึ่งไอ้อย่างนี้เราก็คิดไม่ออก ต้องค่อย ๆ ใจเย็น ๆ</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">เวลาว่าไป อย่าไปว่าหวังเอาลาภ คือ ต้องภาวนาด้วยนะ ถ้าทางที่ดีเวลาภาวนากรรมฐาน พอจิตสบายน่ะต่อเลย เพราะเวลา กรรมฐานนี่จิตเป็นฌาณใช่ไหมเอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาฝึกมโนมยิทธิออกไปให้ได้นั้น ออกไปเดี๋ยวเดียวก็ได้ออกไปได้ นี่จิต เป็นฌาณ 4 เข้าเขตพระนิพพาน ได้จิตสะอาดถึงที่สุด กลับลงมาด้วยคาถาบทนี้เลย มากน้อยก็ช่างให้หลับไปเลยคือ ถ้าจิต สะอาดมากผลก็เกิดเร็ว</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ก็สงสัยเหมือนกันนะ เมื่อปี 26 ท่านบอกว่าปี 27 มีอะไรบ้างก็ตุน ๆ ไว้บ้างนะ 28 จะเครียดมาก การค้าของใคร ถ้าทรงตัว ได้ก็ถือว่า ดีไว้ก่อน อันนี้ท่านบอกว่า "ถ้าลูกเราจะจนก็จนไม่เท่าเขา"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ถ้าพูดถึงผลฉันก็นั่งดูเรื่อยๆมาว่า เอ๊ะ! เงินแสนมันจะมีมาอย่างไร ภายในปีนั้นปรากฏว่าสมัยนั้นวัดต่างๆเขายังไม่ถึงหมื ่น เลย แล้วต่อมาคาถาเงินล้านก็ต้องว่าต่อ เพราะต่อไปข้างหน้าต้องใช้เงิน</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">พระพุทธเจ้าบอกนี่ ต้องเชื่อต้องใจเย็นๆไม่ใช่ไปเร่งรัด ถ้าไปว่าแล้วคิดว่าเราต้องรวยนี่เสร็จ พัง ต้องว่าด้วยจิตเคารพนาน หลายปี ท่านไม่ยอมเปิดกับใคร ก่อนจะเข้าถึงดี มันต้องเครียด ไอ้ปี 28 ความจริงมัน น่าจะดี แต่ไปๆมาๆ ก็มีจุดสะดุดจุด สะดุด นี่เป็นชะตาของชาติ แต่ยังไงๆ ก็ต้องไปเจอะจุดรวยแน่</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ถ้าพวกนี้รวยนะ วัดท่าซุง ไม่เป็นไร คือว่า หนี้นี่นะ…..อย่าคิดว่ามันโจ๊ะกันได้ เมื่อปี 30 นะ มันเกิน ค่าใช้ จ่ายเดือนละ 2 ล้านเศษ อันนี้ ต้องคิด เดือนนี้ก็ตกเกือบ 3 ล้าน คือ 2 ล้าน 9 แสนเศษ</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ตอนนี้ ท่านให้ฉันเขียนโครงการ ที่จะทำให้เสร็จ ในปี 30 โครงการของท่าน จริง ๆ มีมาก ท่านย่า ก็เคยบอก ท่านบอกว่า "ท่านไม่บอกคุณตรง ๆ หรอก ท่านรู้ใจคุณ ถ้าบอกโครงการทั้งหมด คุณไม่ทำแน่"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">พระพุทธเจ้า ก็รู้คอนะ ไปๆ มาๆ ท่านให้นั่งเขียน ตามนี้นะ 12 รายการ ให้เสร็จ ภายในปี 30 เลย คิดว่า เงินที่ต้องใช้เป็น ล้านๆ รายการมากนะลูก ถ้าหากจะถามว่า 10 ล้านพอไหม ก็ต้องบอกว่า มันไม่ได้ครึ่งหลัง ที่ท่านสั่งทำหรอก</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">วันนั้นก็ขึ้นไปที่กระต๊อบฉัน ไปถึงกระต๊อบ ก็ปรากฏว่า สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านประทับอยู่ที่นั่น และท่านพระเจ้าแม่ให้นาม ว่า "มัทรี" หรือ"พิมพา"ไปที่อเมริกา ท่านบอก "ฉันแม่คุณ เหมือนกัน ฉันเคยเป็นแม่คุณ" ถามว่าชื่ออะไร "ชื่อมัทรี" แล้วคุมมาตั้งแต่อเมริกาเวลานี้ก็ยังคุมอยู่ ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า คำสั่งที่สั่งให้ทำมันเกินวิสัย แค่อาคาร 300 ห้องจาก พ.ศ. นี้ไปจนถึง 30 มันก็เสร็จยากเหลือเกิน และ อีกหลายรายการ มันก็ใหญ่ทั้งนั้น ท่านแม่มัทรีก็บอกว่า</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"เอาอย่างนี้ซิลูก ขออำนาจพระพุทธานุภาพ" ก็เลยหันไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"ได้ ฉันต้องช่วยเธอ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">แล้วต่อมา เดินเล่นในบริเวณกระต๊อบของฉันเล็กๆ มันมีถนนหนทางใช่ไหม ก็ปรากฏว่า เดินไปเดินมา สมเด็จองค์ปฐมก็ เสด็จมาเดินด้วย ท่านบอกว่า</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"สภาพของพระนิพพาน มันเป็นอย่างนี้นะ คนที่ถึงพระนิพพานแล้ว กิจอื่นที่ทำ ไม่มี มันเป็นอย่างนี้นะ เวลานี้ เราเดินกลาง บริเวณ พวกเราทั้งหมดลองนั่งดูซิ มันจะมีอะไรไหม"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ที่มันเป็นที่นั่งไม่มีเลย พอนั่งปุ๊บไอ้เตียงตั่งมันเสือกมาได้อย่างไร ก็ไม่รู้ เลยคุยไปคุยมา ท่านก็เลยบอกว่า</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"งานที่ฉันสั่งต้องเสร็จทัน 30"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ท่านย่ากับแม่ศรีก็ขึ้นไป ท่านย่าบอกว่า อำนาจพุทธานุภาพก็มีแล้ว สังฆานุภาพก็มีแล้ว พรหมานุภาพกับ เทวานุภาพก็ช่วย แล้ว แต่ว่า ถ้าบรรดาลูกหลานมันยากจน และ ปี 28 มันจะเครียด ขอพรพระพุทธเจ้าขอคาถาสักบท (ที่ท่านให้ฉันไว้นี่) ขอ ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ใช้เถอะ ให้ อนุมัติ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ความจริงคาถาเฉพาะนี่จะให้ใครไม่ได้เลย ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปพิมพ์แจก และก็ให้มันทำด้วยความเคารพ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ฉันไม่ยืนยันว่าคนที่ไม่เคารพฉันจะมีผล จำให้ดีนะ</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">จึงขอให้ทุกคนถ้าได้รับคาถานี้ ให้ตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงใจด้วย ความเคารพในพระพุทธเจ้า</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ต่อนี้ไปก็อ่านคาถาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประธาน และให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า คิดว่า คาถาทั้งหมดนี้ จงปรากฏ อยู่ในจิตของเรา ลาภผลต่างๆ ให้ปรากฏแก่เรา ตามที่พระองค์ทรงต้องการนะ นึกถึง ท่านนะ</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">สัมปจิตฉามิคาถาสนองกลับ</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">นาสังสิโม คาถาพระพุทธกัสสป</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">บทแรก "พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ" อันนี้ตัดอุปสรรค ที่ลาภจะมา แต่เขามาบอกว่า มีผลแน่นอน คือว่าแกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้า ก็ทรงยืนยันบอกว่า ให้หมด</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">บทที่สอง "พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม" คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนของท่าน</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">บทที่สาม "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม" บทนี้เป็นคาถาปลุกพระวัดพนัญเชิง</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">บทที่สี่ "มิเตพาหุหะติ" เป็นคาถาเงินล้าน</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">บทที่ห้า"พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัส</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">สะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม" เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">บทที่หก "สัมปติฉามิ"บทนี้เป็นบทเร่งรัดบทสุดท้าย</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">บทที่เจ็ด "เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พ.ย.33 เป็นภาษาโบราณแต่เทียบกับ ภาษาไทย อ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ต้องสวด เป็นบทเดียวกัน บูชาเรื่อย ๆ ไป การบูชา ถ้าบูชาเฉย ๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">อย่าลืมนะ เวลาสวดมนต์ แล้วให้สวดคาถานี้ 9 จบเท่าเดิมนะ และเวลาภาวนานอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งหลับ ไปเลย ตื่นขึ้นมา ต่อจากกรรมฐาน นอนก็ได้ ใจสบาย ๆ นะ บางทีเผลอ ๆ ฉันก็ต้องว่า ของฉันเรื่อย ๆ ไป คาถาเงินล้านนี่ มาให้เมื่อปีฝังลูกนิมิต ท่านบอกว่า งานข้างหน้าจะหนักมาก หลังจากนี้เป็นต้นไป เงินจะใช้มากกว่า สมัยที่สร้างโบสถ์ อย่า ลืมนะ...เวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่าเป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จเพราะ คาถาที่พระพุทธเจ้าบอก ทุกบทก่อนจะทำ ต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br />
<div align="center" style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">
<span class="bbc_size" style="line-height: 1.4em;">ประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ ที่ได้รับผลในปัจจุบันนี้</span></div>
<br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><div align="center" style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">
<img alt="" class="bbc_img" src="http://www.palungjit.com/buddhism/gallery/data/574/p10035.jpg" style="border: 0px;" /></div>
<br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ผมก็คิดเรื่องการเรื่องงานเป็นประจำเลยครับ ทีนี้อยากถามว่ากรรมฐานบทไหนที่ทำให้ค้าขายดีครับ..?"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : "อ๋อ... ก็บทค้าขายราคาถูกซิ เขาขายหนึ่งบาท เราขายห้าสิบสตางค์ รับรองพรึบเดียวหมด บทนี้ดีมาก เพราะเมตตาบารมีไงล่ะ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : "โอ้โฮ.. ตรงเปี๊ยบเลยหลวงพ่อ.."</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : "ยังมีอีกนะ ถ้าบทที่สองดีกว่านี้อีก จาคานุสสติ แจกดะเลย"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : ( หัวเราะ ) "โอ...บทนี้น่ากลัวจนแย่เลย"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : "ไอ้เรื่องค้าขายดีมีคาถาตกอยู่บทหนึ่ง"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : "เดี๋ยวผมขอจดก่อนครับ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : "ไม่ต้องจดหรอก คาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่สมัยนั้นบวชด้วยกัน มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงมาขาย หาบไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่าย มันก็ไม่หมด</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">วันหนึ่งมหาโต๊ะยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่างแกก็บอก</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"ท่านมหา มีคาถาอะไรดี ๆ ทำน้ำมนต์ให้ทีเถอะจะได้ขายหมดเร็ว ๆ "</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">มหาโต๊ะแกไม่ใช่นักคาถาอาคมกะเขานี่ ก็นึกไม่ออก แต่ไอ้นี่น่าจะดีว่ะ "อนัตตา" แกนึกในใจนะ แกไม่ได้บอก แกก็เอาน้ำล้างหน้าพรม ๆ ยายนั่นแกก็กลับไป พอสาย ๆ แกก็กลับ ปรากฏว่าหมด"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : "อะไรหมดครับ...?"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : "ของหมด ข้าวแกงหมด แต่หม้อยังอยู่ หาบยังอยู่และคนหาบก็ยังอยู่ แหม..นี่ต้องให้อธิบายให้ละเอียดเลยนะ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : ( หัวเราะ )"คือสงสัยครับ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : " ก็เป็นอันว่าวันต่อมา โยมคนนั้นแกก็มาหาเรื่อย ๆ แกก็สังเกตมหาโต๊ะ ในที่สุดมหาโต๊ะต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้เอาไว้ที่บูชา แกก็ไปขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกันเพราะจิตตรงใช่ไหม .. อนัตตา นี่เขาแปลว่าสลายตัวไงล่ะ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : "ลูกหลานเอาไปใช้ได้ไหมครับหลวงพ่อ..?"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : "ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : ( หัวเราะ )"แล้ว คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใช้ได้ไหมครับ...?"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : " ความจริงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของเขาก็ดี เขาขายของแล้วก็พรมตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็พรมหน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนล้างหน้านั่นแหล่ะ ทำตอนนั้น เอาน้ำ ล้างเสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสกแล้วพอล้างหน้าเสร็จก็พรม ตอนพรมก็ว่าไปด้วยนะ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : "บางคนก็บอกว่า ถ้าว่าคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ ก็จะมีลาภมาก..?"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : " มหาปุญโญ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมดำ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ฉะนั้นวัดนั้นจึงมีลาภมาก แล้วต่อมาสมเด็จหรือใครก็ไม่ทราบ ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ท่านบอกว่า เสกด้วยคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วท่านก็บอกให้ต่อด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า มีอยู่รายหนึ่งชื่อ นายแจ่ม เปาเล้ง บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น ( นี่พูดถึงเงินในสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไรก็คิดกันดู ) ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้" ลูกเมียแกว่าอย่างนั้น</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหล่ะ? ทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริง ๆ ตาแจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะ งามสะพรั่งมีพริกเยอะแยะ มองดูหนาทึบ ไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุก ๆ หงิก ๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่ง ๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบาง ๆ ยอดหงุกหงิก ๆ นั่นแหล่ะ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้ง ๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทราบใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนักเลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่า นั้นหาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">พริกของคน อื่นเขาเก็บกัน ๒ - ๓ ครั้ง ก็หมดแล้วครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สาม เก็บได้อีกเพียงเล็กน้อยเป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้งแล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงได้หมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่า ๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิก ๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่า พริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า "เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง" ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">( นี่เห็นไหม... ถ้าหากว่า ท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ )</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ต่อมามีผู้นำคาถา อนัตตา ไปปฏิบัติหลังจากที่หลวงพ่อแนะนำไปแล้ว เขาผู้นั้นได้เข้ามารายงานกับหลวงพ่อว่า</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"หลวงพ่อครับ อนัตตา แจ๋วเลยครับ อัศจรรย์มาก ตอนบ่ายวันนี้ฟลุ๊คมาก ของที่ผมขายฝรั่งซื้อคนเดียว ๑,๖๐๐ บาท ไม่เคยมีปรากฏเลยครับ""</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">"อาจารย์ทำยังไงล่ะ.. อาจารย์ใช้แบบไหน จึงมีผลตามลำดับ... จะได้แจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : " อันดับแรกตักน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปไว้หน้าพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วชุมนุมเทวดาไหว้พระบูชาพระตามหลวงพ่อกล่าวนำ มีมนต์อะไรก็สวดไป ของผมสวดยาวหน่อย เมื่อสวดเสร็จแล้ว ก็อาราธนาบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็มาหลวงปู่ปาน แล้วมาหลวงพ่อ</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">เสร็จแล้วเช้าตื่นมาก็กราบแก้วน้ำ ๕ ครั้ง แล้วก็เอามาที่ห้องน้ำ แบ่งครึ่ง ครึ่งหนึ่งใส่ขันสำหรับล้างหน้า ก่อนจะแบ่งก็ตั้งจิตให้ดี ว่านะโม ๓ จบ แล้วก็ว่าคาถานี้อีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ใช้ก็ใช้คาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เม ฯ แล้วก็มาว่า คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อว่าเสร็จแล้วก็บอก "อนัตตา ขายเกลี้ยง"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">อีกครึ่งหนึ่งเราแบ่งมาแล้วก็ว่า คาถาวิระทะโย ไป แล้วก็พรมตู้อะไรต่าง ๆ แล้วก็ลงท้าย "อนัตตา ขายเกลี้ยง ๆ ๆ" แม้แต่หน้าร้านก็พรมออกไปเลย ถ้าใครเดินมาถูกน้ำมนต์ปุ๊บอยู่ไม่ได้ ต้องมาซื้อ อันนี้ได้ผลดีครับ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : "อ้าว.. จำได้ไหมล่ะ อันนี้ก็ดีมีประโยชน์นะ ควรจะนำไปใช้ทุก ๆ คนนะ ฉันบอกให้อาจารย์เขาไปทำ ท่านทำแล้วผลมันเกิดขึ้นทุกวัน"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ผู้ถาม : "แล้วถ้าฟลุ๊คอะไรเป็นพิเศษละก้อ เวลาจุดธูปเทียนหรือพรมน้ำมนต์ มันจะมีขนลุกซู่ซ่า ถ้าซู่มากละ มาแน่"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">หลวงพ่อ : " อ้อ..กำลังปีติสูง ใช่ เพราะซู่ซ่านี่เจ้าของมาแสดงให้ปรากฏ ถ้านึกถึงท่านจริง ท่านเข้ามาช่วยจริงก็ถือว่าเป็นอาการของปีติ เมื่อสัมผัสแล้วทางจิตใจก็เกิดปีติ ความอิ่มใจเกิดขึ้น ขนลุกซู่ซ่ามาก การแสดงออกตามอาจารย์พูดน่ะถูก ถ้าหากว่าสัมผัสน้อยก็มีผลน้อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าปกติ สัมผัสมากก็มีผลมากหน่อย ปัจจุบันทันด่วน อันนี้ถูกต้อง ถ้าทำขึ้น หนักจริง ๆ นะ ถ้าขายของเป็นน้ำหนัก น้ำหนักจะสูงขึ้น แล้วก็ไม่สูงแต่ของเรา เอาไปขายคนอื่นต่อก็สูง นี่เขาทำมาแล้วนะ คน ที่ไทรย้อยแกขายข้าว ไปซื้อข้าวมาวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาไปขึ้นโรงสี แกก็พรมน้ำมนต์ก่อน พอถึงบ้านก็พรมน้ำมนต์หน่อย พอขึ้นโรงสีปรากฏว่าน้ำหนักสูง</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">ถ้าหากว่าของที่เก็บไว้ในปี๊บในถงในอะไรก็ตาม จะมีปริมาณสูง</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">เมื่อก่อนหลวงพ่อปานท่านบอก เอาข้าวใส่ยุ้งฉางให้เรียบร้อย ตวงให้ดี แล้วนับให้ดี ทำมาจนกว่าจะถึงฤดูออกมาใช้มาขาย แล้วตวง มันจะมากทุกคราว</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">จำเอาไว้นะ ถ้าปฏิบัติ ทุกคนจะไม่จน ฉันอยากให้ทุกคนรวย ฉันจะได้รวยด้วย พระแช่งให้ชาวบ้านจนก็ซวย พระไม่มีกินน่ะซิ"</span><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><br style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;" /><span style="background-color: #e2e8f0; font-family: Leelawadee, Tahoma; line-height: 20.149999618530273px;">จบ...</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-6450754362472991812013-02-09T09:42:00.003+07:002013-02-09T09:46:05.862+07:00 ประเทศชาติเข้าสู่มังกรยุค 8 <br />
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<b>ณ บัดนี้ ประเทศชาติเข้าสู่มังกรยุค 8 มังกรยุค 8 นี้ ความเจริญรุ่งเรืองทั้งอำนาจและความร่ำรวยคือกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างองศา 105-150 องศาตะวันออก</b></center>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
</center>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
</center>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></center>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<span style="color: brown;"></span></div>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<span style="color: brown;">ประเทศที่อยู่ในโซนแห่งความเจริญรุ่งเรืองของมังกรยุค 8 นี้ ก็จะมี<b>จีน,อินเดีย</b>,รัสเซีย,ฮ่องกง,ไต้หวัน,ญี่ปุ่น,เกาหลีเหนือ,เกาหลีใต้,<b>เวียดนาม</b>,ลาว,กัมพูชา, ฟิลิปินส์,อินโดนีเซีย,ติมอร์ตะวันออก,บูรไน,ปาปัวนิวกินี,ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์</span></center>
<span style="color: brown; font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;"><center>
</center>
</span><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">สำหรับประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างองศา 105-150 องศาตะวันออกนี้ ที่น่าสนใจที่สุดก็ไม่พ้นหัวมังกร คือ ประเทศจีน </span><b style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">และตั้งแต่ที่พระกษิติครรภทำหน้าที่เปิดกระดองเต่าของเต่ามังกรออกแล้วมังกร ก็คือ มังกรเต็มตัว ที่พร้อมที่จะบินได้ทั้งบก น้ำ อากาศ</b><span style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">ชาวจีนในยุคปัจจุบันมีเงิน มีกำลังซื้อสูงมาก ปัจจุบันนี้การค้าคึกคัก ประเทศจีนจะเป็นหัวมังกร อีกทั้งที่ตั้งของเมืองปักกิ่งนั้น ก็อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นทิศทางที่ตั้งของดาวยุค 8 โดยตรงทีเดียว</span><div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
</div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<div style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></div>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<br /></center>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
</center>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
</center>
<center style="font-family: verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; font-size: 16px;">
<span style="color: brown;">การที่ประเทศจีนมีฮวงจุ้ยที่สัมพันธ์กับจักรวาลและดวงดาวของมังกรยุค 8 จีนจึงร่ำรวยเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากแบบฉุดกันไม่อยู่ และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจนี้จะทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจ ซึ่งคือการเป็นหัวมังกรนั่นเองมังกรยุค 8 นี้ เป็นมังกร 5 เล็บ มีอาณาบริเวณถึง 5 ทวีป 5 มหาสมุทร ทีเดียว</span></center>
<br />
<br />
จากการแบ่งภูมิภาคโลกของดาวยุค 8 ประเทศไทยถ้าดูในแผนที่องศาแล้ว จะเห็นว่าในส่วนของประเทศไทยนี้ได้รับ <span style="color: red;">พลังดาวยุค 8</span> โดยตรงคือใน <span style="color: red;">ภาคพื้นอีสาน</span><br />
<br />
<br />
<div align="center">
<br /></div>
<br />
<br />
ตามโองการนวกาพรหม นามแม่กาเผือกสู่แผ่นดินอิสานและสามเหลี่ยมมรกตให้บุรพชนต้นตระกูลเผ่าพันธุ์ลว้า ขอม และไทยที่อยู่ประจำแผ่นดินนี้ สะสางภพชาติให้คำนวณรวมเป็นหนึ่ง ด้วย รัก สันติ สามัคคี นี้คือธรรมเปลี่ยนผังที่ผิด ๆ มาแต่อดีตในภพชาติที่เข่นฆ่ากันมาสู่ความถูกต้อง เที่ยงตรงและเที่ยงธรรม คืนความอุดมสมบูรณ์พูนสุขตลอดแนวทั่วแผ่นดินความเจริญจะปกแผ่ไปทั่วภายใต้ร่มโพธิ์เงิน-ไทรทองภาคพื้นอีสานก็ก้าวขึ้นมาสู่ความเจริญ ประเทศไทยผลิตและส่งออกสินค้าการเกษตรได้มาก ฉะนั้นประเทศไทยก็สามารถสร้างความร่ำรวยในยุค 8 ได้จากการขายสินค้าเกษตรกรรม<br />
<br />
<br />
ในส่วนของประเทศลาวที่ถูกคำนวณในงานนวกาพรหม รหัส "สามมุมเมือง"จะสร้างเมืองใหม่เป็นประตูเชื่อมความเจริญให้ตลอดถึงแนวซึ่งกันและกันของประเทศต่าง ๆ ในสุวัณณภูมินี้<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<div align="center">
<br />
<br />
ปรมัตถ์ประเทศลาว คือ<b> "เมืองทอง บ่อแตน"</b> จะเป็นประตูเปิดต้นทางถนนสายเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ เปิดทางให้จีนลงใต้เข้าสู่ภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และเปิดเส้นทางธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหญ่มณฑลยูนาน ประเทศจีนความเจริญจะแผ่ขยายไปตลอดทั่วประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการบริการขนส่ง การท่องเที่ยว ของประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น จีนและเกาหลี</div>
<br />
<br />
ถนนสายเศรษฐกิจนี้จะเชื่อมผ่านจากจีน,ลาว,ไทยไปถึงสิงคโปร์และเชื่อมสู่กัน ผ่านประเทศไทย ไปสู่ฝั่งตะวันออก - ตะวันตก ถนนสายเศรษฐกิจที่เชื่อมทะเลจีนใต้ในประเทศเวียดนามกับทะเลอันดามันในพม่า ทุกประเทศจะเปิดประตูออกสู่ตลาดโลก ด้วยการลงทุนโดยตรงจากมิตรประเทศ การลงทุนร่วมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะประเทศเวียดนามในอีก 10 ปีข้างหน้าจะขึ้นมาลำดับต้น ๆ ทีเดียว เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว <span style="color: red;">ชาวเวียดนามเป็นมนุษย์ที่มีมันสมองเป็นหนึ่ง </span>(อันดับสอง คือ ยิว ในวิชากระโหลกศีรษะและปุ่มสมอง)<br />
<br />
<br />
และดินแดนสุวัณณภูมิ 6 ประเทศบนบก..........เชื่อมต่อกับอีก 4 ประเทศในทะเล ซึ่งเป็นดินแดนที่มีศักยภาพจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของโลกได้ไม่แพ้มหาอำนาจอื่น ๆมันสามารถทำให้ลมพายุอันรุนแรงคลายตัว สงบลงได้เมื่อพัดมาถึงดินแดนแห่งนี้ มันจะกลายเป็นพื้นที่ที่บรรจบกระแสน้ำสองสายให้ไหลเข้าประสานกันได้สนิทเขตแดนที่เป็นรอยต่อระหว่างมหาสมุทรสองฝั่ง เขตแดนที่เป็นสะพานเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมของโลกทั้งหมดไม่ว่าตะวันออกหรือตะวันตก คนผมดำ และคนผมทองก็จะกลายเป็น........<span style="color: red;">โลกเดียวกันในที่สุดดินแดนเหล่านี้ถูกภาคฟ้ากำหนดเป็น "เขตสันติภาพ"ในมังกรยุค 8 และ 9 จะรวมเป็นภราดรภาพและความร่วมมือร่วมใจระหว่างประชากรด้วยกัน</span><br />
<br />
<span style="color: red;">ภายหลังมหันภัยพิบัติ</span> ภัยเศรษฐกิจต่าง ๆ บรรดาผู้นำประเทศจะค้นพบวิธีการอยู่ร่วมกันด้วย รักเมตตา สันติ สามัคคี นี้คือธรรมสันติภาพที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข ความมั่นคงของภูมิภาคอินโดจีนจะเกิดขึ้นจริง ๆ แม่น้ำสายต่าง ๆ เสมือนหนึ่งนิ้วแต่ละนิ้ว<br />
<br />
<span style="color: brown;"><span style="color: red;">อินโดจีนทั้งหมดจะรวมกลับเป็นมือ ๆ หนึ่งที่ทรงไว้ซึ่งภราดรภาพ สันติภาพ และ เอกภาพแห่งความสมานฉันท์บ้านพี่ เมืองน้อง ดุจอดีตของแผ่นดินสุวัณณภูมิว่าแผ่นดินนี้คือแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง</span></span><br />
<br />
<br />
<span style="color: brown;"><span style="color: black;">กระแสความเปลี่ยนแปลง กระแสลมตะวันออกกับตะวันออกระหว่างเอเชียกับสากล และแหลมอินโดจีนแห่งนี้ดูจะมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้มุมจบของมนุษยชาติเข้าถึงจิตสำนึกแห่งความสามัคคี นี้คือธรรม เข้าถึงความเป็นน้องพี่ การสร้างสันติภาพที่แท้จริงด้วยธรรม อดีตที่สูญเสีย บทเรียนอันเลวร้ายแห่งภัยสงคราม ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็จะถูกลดความสำคัญลงไป และมันคือการทำลาย "อุปสรรค" แห่งสันติได้ดีที่สุด ไม่มีสิ่งสมมติแห่งตัวตน เชื้อชาติ ประเทศชาติ อาณาจักร ลัทธิการปกครองหรือพรมแดนประเทศก็ตามที ความร่วมมือร่วมใจระหว่างผู้คนในชาติ ระหว่างประเทศต่อประเทศแผ่นดินสุวัณณภูมิที่หย่อนตัวลงไปในระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และ ทะเลจีนใต้ เป็นเสมือนป้อมปราการสำหรับเส้นทางการคมนาคมของโลกที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และ </span></span><span style="color: red;">ทวีปเอเชียแผ่นดินแห่งนี้จึงเป็นสพานเชื่อมโลกเหนือและโลกใต้ และจะสร้างสรรโลกใหม่ที่ทั้งโลกเหนือและโลกใต้</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: brown;"><span style="color: black;"><span style="color: red;"><b>มังกรยุค 8 แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ</b> </span></span></span><br />
<span style="color: brown;"><span style="color: black;">1.ระยะเพาะปลูก – ไถพรวน กำหนดกาล 13 ปี หมายถึง เมล็ดพืชพันธุ์ที่เตรียมงอกงาม <b>ระหัส “ 3 ปฏิรูป ” ( ซันเหมินจุ้ยอี๋ = สามประตูสู่ความเป็นเลิศ ) คือภาคฟ้า การอภิวัฒน์ขจัดสิ่งผิดในอดีต คืนสู่ความถูกต้อง เที่ยงตรงและเที่ยงธรรม</b>ภาคปฐพี ได้แก่การปฏิรูป 3 ธาตุ คือ<b>ธาตุไม้ </b>การปฏิรูปการเกษตร และสินค้าแปรรูปการเกษตร โลกมังกรยุค 8 คือ การเกษตร (ยุค 7 คือโลหะ เทคโนโลยี่)<b>ธาตุไฟ</b> การปฏิรูปพลังงานเชื้อเพลิง ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ตั้งแต่รัสเซีย จีน สู่ประเทศคาบสมุทรอินโดจีนทุกประเทศ ระหัส"มดแดง" คือ ระบบท่อยาว ๆ ใต้ดินเหมือนทางเดินใต้ดินของมด<b>ธาตุดิน</b> การปฏิรูปที่ดินทำกิน ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์มากที่สุด รวมถึงระบบขนส่ง การคมนาคม ซึ่งมีถึงกันทั้งทางบก ทางน้ำ และอากาศ ตลอดแนวประเทศโลกมังกรยุค 8 </span></span><br />
<br />
<br />
<span style="color: brown;"><span style="color: black;">2.ระยะเก็บผลดอกบุญ กำหนดกาล 9 ปี หมายถึง การเก็บเกี่ยวไม้ดอก พืชผล เมล็ดพืชพันธุ์ที่งอกงาม ผู้มีคุณธรรม จะได้รับผลบุญ มีความเจริญรุ่งเรืองประสบสุข แผ่นดินตลอดแนวมังกรยุค 8 การค้า – ธุรกิจเป็นหนึ่งใจเดียว ศูนย์เศรษฐกิจของโลกผันพลิกจากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก สู่ความเป็นจ้าวเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่</span></span><br />
<br />
<br />
<div align="center">
<span style="color: brown;"><b>โลกมังกรยุค 8 เป็นโลกของผู้คนที่มีคุณภาพและคุณธรรม แข่งขันกันด้วยปัญญา ความสามารถ ด้วยกายเจริญอริยะ จิตเจริญเมตตา</b>ที่ตั้งทิศของดาวยุค 8 โดยตรง</span><span style="color: brown;"> คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นยุคเที่ยงตรงและเที่ยงธรรมผู้คล้อยตามฟ้า ย่อมเจริญรุ่งเรืองผู้ขัดขวาง ย่อมถูกทำลาย </span><br />
<br />
<span style="color: brown;"><span style="color: sienna;">****************</span></span><br />
<br />
<br />
<span style="color: brown;"><span style="color: blue;">ประวัติธาตุธรรมของวงศ์มังกรที่กำเนิดก่อเกิดกายเพื่อสะสาง และ สืบสานงานธรรมจักร และ พุทธจักรของยุคเขียว ยุคแดง และยุคขาว</span></span></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-81325396615588650702013-02-08T12:43:00.000+07:002013-02-08T12:43:27.314+07:00ชี้ทางผู้เริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์<br />
<div class="article-rel-wrapper" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;">
<h2 class="contentheading" style="font-size: 23px; font-weight: normal; line-height: 32px; margin: 0px 0px 15px; padding: 0px;">
<br /></h2>
</div>
<h2 style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 23px; font-weight: normal; line-height: 23px; margin: 25px 0px 10px; padding-bottom: 5px;">
<strong>ชี้ทางผู้เริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์</strong><br /><hr />
</h2>
<h3 class="MsoNormal mce_style=TEXT-ALIGN: left; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; PADDING-LEFT: 30px" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 21px; font-weight: normal; line-height: 25px; margin: 0cm 0cm 0pt; padding-bottom: 5px; padding-left: 30px;">
เล่าเรื่องวิชาไสยศาสตร์</h3>
<div class="MsoNormal mce_style=TEXT-ALIGN: left; MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
“ไสยศาสตร์นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังมีคนมากมายในโลกที่ยังสงสัยว่า "ไสยศาสตร์"<br />นั้นคืออะไร กำเนิดมาจากไหน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยังคาใจของท่านทั้งหลายที่ต่างก็อยากรู้ในวิชาแขนงนี้</div>
<div class="MsoNormal mce_style=TEXT-ALIGN: left; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; tab-stops: 27.0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
ฉะนั้นเมื่ออยากรู้จึงต้องเสาะหาผู้ที่รู้จริงซึ่งนั่นก็คือผู้ที่เรียนมาทางด้านนี้โดยตรง ซึ่งมีมากมายหลายแขนง<br />ให้ศึกษาเกี่ยวกับความลี้ลับของวิชาไสยศาสตร์และผู้ที่จะเรียนรู้อย่างจริงจังนั้นจะต้องเป็นผู้มีความชอบหรือ<br />ความรักทางด้านนี้โดยเฉพาะเท่านั้นจึงจะเรียนได้และสามารถนำมาใช้ได้จริงจึงต้องมีความพยายามเป็นอย่าง<br />มากในการฝึกฝน ”<br /></div>
<div class="MsoNormal mce_style=MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
เมื่อมาถึงตรงนี้เรามาเข้าเรื่องของวิชาไสยศาสตร์นั้น มี 2 ประเภท คือ<strong></strong></div>
<div class="MsoNormal mce_style=MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /><strong>สายดำ</strong> คือ เดรัจฉาวิชา เรียนแล้วนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ คือ นำมาทำร้ายคนอื่นๆด้วยวิชาที่ตนมี เช่น <br />เสกหนังควายเข้าท้อง , ทำเสน่ห์ยาแฝด , ทำให้ผัวเมียเลิกกัน โดยอาศัยเดรัจฉาวิชาคนพวกนี้เมื่อตายไป<br />แล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะต้องตกนรกอเวจี และต้องใช้กรรมเป็นอย่างมาก<strong></strong></div>
<div class="MsoNormal mce_style=MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
<strong></strong></div>
<div class="MsoNormal mce_style=MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br /><strong>สายขาว</strong> คือ วิชาพุทธคุณ เรียนแล้วนำไปใช้ในการช่วยรักษาคนที่โดนกระทำด้วยคุณไสยศาสตร์ต่างๆ <strong> </strong>หลักศีล 5 เป็นหลัก วิชาพุทธคุณนี้มีเสื่อมมีดับหากเราทำผิดกฎข้อห้าม<strong></strong></div>
<div class="MsoNormal mce_style=MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
<br />และยังช่วยผู้ที่ตกทุกข์ ร้อนใจต่างๆให้พ้นจากทุกข์ โดยใช้วิชาพุทธคุณในการช่วยเหลือ โดยใช้คาถา<br />ต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านได้นำแสดงไว้มาใช้ให้เกิดความขลังในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดเป็นเมตตามหาเสน่ห์,<br />มหานิยม, มหาอำนาจ, โภคทรัพย์ โดยการนำมาสัก, นำมาเขียน, นำมาเป่า, นำมาเสก ลงสู่ร่างกายโดยต้อง<br />ยึดถือกฎข้อห้ามต่างๆ โดยกฎต่างๆจะยึด</div>
<hr class="system-pagebreak title=คุณสมบัติของผู้ที่จะเรียน alt=คุณสมบัติของผู้ที่จะเรียน" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;" />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong></strong></div>
<h3 mce_style="PADDING-LEFT: 30px" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 21px; font-weight: normal; line-height: 25px; margin: 25px 0px 10px; padding-bottom: 5px; padding-left: 30px;">
คุณสมบัติของผู้ที่จะเรียนไสยศาสตร์ได้สำเร็จ คือ</h3>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
1. เป็นผู้ที่มีความสนใจอย่างจริงจัง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
2. ต้องมีความอดทนอย่างยิ่งยวด</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
3. ต้องเป็นผู้ที่เคารพครูบาอาจารย์อย่างที่สุด</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
4. ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนได้เรียนและได้ใช้อย่างไม่แคลงใจ<br /><br /> ผู้ที่สนใจอยากศึกษาไสยศาสตร์ ท่านต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น โดยต้องยึด<br />หลักความจริงของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักและต้องเชื่อเรื่องของกรรมดี-กรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้<br />เพราะมันมีความเกี่ยวเนื่องกับวิชาไสยศาสตร์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผีสาง , เทวดา , เทพ , พรหมต่างๆ <br />ล้วนมีอยู่จริงในหลักธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น และท่านที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์ได้นั้นต้องเป็น</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
ผู้ที่ผ่านการฝึกจิต-สมาธิมาเป็นอย่างดี จนสามารถนำพลังงานที่มีอยู่ในตัวและในโลกมาใช้ได้ในรูปแบบต่างๆ <br />เช่นดังพระเกจิอาจารย์ท่านต่างๆที่สามารถนำพลังงานต่างๆมาประจุลงเครื่องรางและของขลังต่างๆ<br />เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันอันตรายที่จะมีแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่าน และท่านทั้งหลายยังจะสามารถนำพลังงาน<br />ที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่นดังที่มีอยู่ในตำนานเรื่องเล่าของหลวงปู่ศุข<br />วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ท่านสามารถเสกหัวปลีเป็นกระต่ายและเสกคนเป็นจระเข้ได้อย่างน่าแปลกใจ <br />ท่านที่ต้องการศึกษาไสยศาสตร์ท่านต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ในคาถาอาคมต่างๆและต้องเป็นผู้ใฝ่หาครูบาอาจารย์ที่จะมา<br />ให้คำแนะนำอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับตนเองเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่ตนเอง หรือที่เรียกว่า “ ของเข้าตัว ”</div>
<hr class="system-pagebreak title=บทบาทในประเทศไทย alt=บทบาทในประเทศไทย" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;" />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>หลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย<br />ท่านผู้สนใจในวิชาไสยศาสตร์พึงจะต้องรู้จักหลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย มีดังนี้</strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
1. <strong>มฤคเวท</strong> เป็นการสวดเพื่อสรรเสริญพระเจ้า<br />2. <strong>ยชุรเวท </strong> เป็นการสวดอ้อนวอนพระเจ้า<br />3. <strong>สามเวท</strong> ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม<br />4. <strong>อถรรพเวท</strong> เป็นเวทมนตร์คาถาเรียกผีสางเทวดาให้มาช่วยป้องกันอันตราย<br />และมีการแก้อาถรรพณ์ต่างๆในวิชาอาถรรพณ์<br /><br /><strong>อถรรพเวทเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งและเป็นคัมภีร์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก<br />คัมภีร์อถรรพเวทแบ่งออกเป็น 8 สายย่อยอีกด้วย มีดังนี้</strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
4.1 วิชาแก้โรคต่างๆ อาคมประเภทนี้ใช้เป่ารักษาโรคต่างๆให้หายได้</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong></strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
4.2 วิชามหาประสาน อาคมประเภทนี้ใช้เป่าบาดแผลให้ประสานเป็นเนื้อเดียวกัน<br />และยังสามารถใช้ประสานกระดูกได้อีกด้วย ในปัจจุบันยังมีคนนำวิชานี้มาใช้อยู่</div>
<div class="MsoNormal mce_style=MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
4.3 วิชาสะเดาะ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าสิ่งของให้หลุดออกจากกัน เช่น สะเดาะกุญแจ,<br />โซ่ตรวน, สะเดาะลูกในครรภ์ของมารดา แม้แต่ก้างติดคอก็ยังใช้อาคมบทนี้</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
4.4 วิชาป้องกันตัว อาคมประเภทนี้ใช้เป่าปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ เพื่อให้เกิด<br />ความเป็นคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้าคงทนต่ออาวุธทั้งปวง และให้แคล้วคลาด<br />จากอันตรายทั้งปวง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
4.5 วิชาแสดงปาฏิหาริย์ อาคมประเภทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆได้<br />เช่น ล่องหน, กำบังกาย, หายตัวดำดิน เดินบนน้ำและอากาศ, ย่นระยะทาง, ลุยไฟ, แปลงกาย <br />ผู้ที่มีวิชานี้สามารถทำได้หลายอย่าง<br /><br />4.6 วิชาคุณไสยทำอันตรายผู้อื่น อาคมประเภทนี้ใช้ทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บและตายได้ แล้วแต่<br />ความต้องการของผู้กระทำหรือผู้จ้างวาน เช่น เสกหนังควายเข้าท้อง, เสกมีดเข้าท้อง,<br />เสกตะปูเข้าท้อง, เสกกระดูกผีเข้าท้อง เป็นต้น</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
4.7 วิชาแก้คุณไสยและแก้ภูตผีปีศาจ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าและแก้การถูกกระทำด้วย<br />ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสกตะปู, มีด และกระดูกผี วิชานี้สามารถใช้แก้และรักษาได้</div>
<div class="MsoNormal mce_style=MARGIN: 0cm 0cm 0pt" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
4.8 วิชาการทำเสน่ห์ อาคมประเภทนี้ใช้เสกเป่าสิ่งของและของกิน รวมทั้งคนให้มาหลงไหล<br />มารัก มาหลงตนเอง เรียกวิชานี้ว่า “ วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม ”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
วิชาเหล่านี้มีความสำคัญต่างกันและผู้ที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์นั้นก็สามารถเลือกที่จะเรียนได้ตามที่ตนสนใจ<br />แต่ควรรู้จักให้ครบทั้ง 8 สายวิชา เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกัน</div>
<hr class="system-pagebreak title=หลักวิชาไสยศาสตร์ alt=หลักวิชาไสยศาสตร์" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;" />
<h3 style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 21px; font-weight: normal; line-height: 25px; margin: 25px 0px 10px; padding-bottom: 5px;">
ไสยศาสตร์ที่มีบทบาทในประเทศไทยในอดีต</h3>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย ไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะยุคนั้นพระมหากษัตริย์<br />และขุนนางต้องออกรบพร้อมกับทหาร รวมถึงการปกครองการบ้านการเรือนทั้งหมดต้องใช้ไสยศาสตร์<br />ทั้งสิ้น เพราะไสยศาสตร์แยกเป็นหลายแขนง เช่น วิชาคงกระพันชาตรี, วิชาแคล้วคลาด,<br />วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม, วิชาเสน่ห์เล่ห์ , กลวิชาแต่งคน , วิชากำบัง และอื่นๆอีกมากมาย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>วิชาคงกระพันชาตรี</strong> <br /> เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆ<br />ทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง <br />บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหน<br />ก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัว<br />ของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผล<br />ให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลม<br />แทงสวนทวารอย่างเดียว</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>วิชาคงกระพันชาตรีนั้นยังมีแยกออกไปอีก 9 วิชา</strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>วิชาอาพัด, เหล้า, หมาก, ใบพลู, ยาสูบ, พริกไทย, ว่านและรากไม้ต่างๆ</strong><em>วิชานี้ใช้เสกของกินเพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี</em><br /><strong>วิชาปูนคาดคอ</strong> <br /><em>วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี</em><br /><strong>วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว</strong> <br /><em>วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี</em><br /><strong>วิชาอาบน้ำว่าน</strong> <br /><em>วิชานี้ใช้อาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี</em><br /><strong><br />วิชาอาบน้ำมันเดือด</strong> <br /><em>วิชานี้ใช้เสกอาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด</em><br /><strong>วิชาเสกฝุ่นทาตัว</strong> <br /><em>วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี ในบางทีเรียกว่า “ หนุมารคลุกฝุ่น ”</em><br /><strong>วิชาสักยันต์</strong> <br /><em>วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ<br />เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี</em><br /><strong>วิชาเขียนยันต์</strong> <br /><em>วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ,<br />เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี</em><br /><strong>วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ</strong> <br /><em>เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี</em><br /><strong>วิชาชาตรี</strong> คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน<br /><em>เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่ <br />วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น</em><br /><em>ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบ<br />ตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา <br />วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว </em><br /><em>เรียกว่า “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม<br /></em><strong>วิชาแคล้วคลาด</strong><br /><em>วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย<br />จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ ไม่โดน <br />และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป <br />โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลัง<br />และลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่<br />เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย</em><br /><strong>วิชามหาอุด </strong><em>วิชามหาอุดเป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุด “ เมื่อครั้งมีเหตุให้<br />โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย <br />วิชามหาอุดมักถูกเขียนลงตระกรุด ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด</em><br /><em>เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า เป็นต้น</em><br /><strong>วิชาแต่งคน</strong><br />วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้<br />คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก <br />ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี<br /> <em> </em><br /><strong>“ วิชาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ในอดีตจนถึงปัจจุบันพระสงค์และผู้มีวิชาอาคมทั้งหลาย <br />มักนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อใช้คุ้มครอง และให้เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่นำไปบูชา<br />ในบางอาจารย์อาจจะนำมาใช้ในการลงอักขระสักยันต์ลงบนร่างกายอีกด้วย ”</strong></div>
<hr alt="หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้" class="system-pagebreak title=หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;" />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้</strong><br /><br /><a href="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/putouschanghai.jpg" rel="rokbox[300 438](หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้)" style="color: #676565; text-decoration: initial;" title=" หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ :: หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้"><img alt=" หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ :: หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้" class="album" src="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/putouschanghai_thumb.jpg" style="border: 0px;" /></a></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
หลวงปู่ทวด เป็นพระภิกษุในสมัยอยุธยาในแผ่นดินของสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่เดิมท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ<br />จึงมีอีกสมญานามหนึ่งว่า สมเด็จพะโคะ มีเรื่องเล่าว่า “ตอนที่ท่านเดินทางโดยเรือผ่านอ่าวไทย เพื่อเข้ากรุงศรีอยุธยา<br />นั้นก็เกิดคลื่นลมทะเลปั่นป่วนขึ้น เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมออยู่กลางทะเลถึง ๗ วันทำให้เสบียง<br />อาหารและน้ำหมด บรรดาลูกเรือจึงตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดอาเพศในครั้งนี้เป็นเพราะท่านที่เป็นภิกษุ จึงตกลงใจส่งท่าน<br />ขึ้นเกาะได้นิมนต์ท่านให้ลงเรือมาด ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในเรือมาดนั้นท่านได้ห้อยเท้าซ้ายแช่ลงไปในน้ำทะเล ได้บังเกิด<br />อัศจรรย์ขึ้นเมื่อน้ำทะเลบริเวณนั้นเกิดประกายแวววาวโชติช่วง ท่านจึงบอกลูกเรือให้ตักน้ำขึ้นมาดื่ม เมื่อดื่มน้ำนั้นก็รู้สึก<br />ว่าเป็นน้ำจืดจึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาเรือจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นเรือสำเภาอีกครั้ง ”ท่านจึงมีอีกหนึ่งสมญานาม<br />ว่า “ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
“ มีคำกล่าวว่าหากผู้ใดแขวนพระหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ไว้กับตัวแล้วผู้นั้นจะไม่ตายโหง ” เนื่องจากดวงวิญญาณของท่าน<br />นี้มีพลังมาก เมื่อท่านเห็นว่าลูกศิษย์ที่เคารพบูชาท่านตกอยู่ในอันตรายท่านจะมาช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย<br />ดังมีผู้คนบอกเล่าและลือกันอย่างมากมาย </div>
<hr alt="เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ " class="system-pagebreak title=เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ " style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;" />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong></strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) วัดระฆังโฆสิตาราม</strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<a href="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/somdejto.jpg" rel="rokbox[334 433](เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์)" style="color: #676565; text-decoration: initial;" title=" เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ :: เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) วัดระฆังโฆสิตาราม"><img alt=" เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ :: เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) วัดระฆังโฆสิตาราม" class="album" src="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/somdejto_thumb.jpg" style="border: 0px;" /></a><br /> <br /> ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่พระพุทธศาสนิกชนกล่าวขวัญถึงในนามของสมเด็จโต ท่านถือกำเนิดในปี พ.ศ. 2319<br />จนอายุได้ 13 ปี สมเด็จโตจึงบรรพชาเป็นสามเณรในเมืองพิจิตร เมื่ออายุครบอุปสมบทจึงโปรดฯให้บวชเป็นนาคหลวง<br />ที่วัดตะไกร จ.พิษณุโลก ท่านได้เป็นพระพี่เลี้ยงและครูสอนหนังสือขอมและคัมภีร์มูลกัจจายน์เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงบวช<br />เป็นสามเณร ครั้งเจ้าฟ้ามงกุฎครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 สมเด็จฯโตได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามและได้เป็น<br />สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านรอบรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยและธรรมปฏิบัติ ความเป็นเลิศในการเทศนา ด้รับการยกย่อง<br />สรรเสริญในสติปัญญาและปฏิญาณโวหารที่ฉลาดหลักแหลมเปี่ยมด้วยจิตเมตตากรุณาแก่ผู้ตกยาก มีอัธยาศัย มักน้อย <br />สันโดษ “ พระสมเด็จ ” สมเด็จฯโตท่านสร้างขึ้นเพราะปรารภถึงพระมหาเถระ ในสมัยก่อนมักสร้างพระพิมพ์บรรจุใน<br />ปูชนียสถานเพื่อเป็นการสืบต่ออายุพระศาสนาให้ถาวรตลอดกาล ท่านจึงทำตามคตินั้นสร้างพระสมเด็จไว้ 84,000 องค์ <br />เท่ากับพระธรรมขันธ์ สมเด็จฯโตท่านถือปฏิบัติในข้อธุดงค์วัตรทุกประการ คือ ฉันในบาตร ถือผ้าสามผืนออกธุดงค์<br />เยี่ยมป่าช้านั่งภาวนา เดินจงกรม จนวาระสุดท้ายท่านมรณภาพเมื่อวันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 9 ปีจอ เวลา 2 ยาม<br />รวมสิริอายุได้ 85 ปี ...<br /><br />พระเครื่องของท่านนี้เป็นที่รู้กันของคนทั่วไปว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ทั้งทางด้านเมตตามหาเสน่ห์ , มหานิยม <br />และยังช่วยคุ้มครองชีวิตให้พ้นจากอันตรายได้เป็นอย่างดี</div>
<hr class="system-pagebreak title=พระครูวิมลคุณากร alt=พระครูวิมลคุณากร" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;" />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>พระครูวิมลคุณากร ( หลวงปู่ศุข ) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท</strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<a href="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/pusuk.jpg" rel="rokbox[316 314](พระครูวิมลคุณากร)" style="color: #676565; text-decoration: initial;" title=" พระครูวิมลคุณากร :: พระครูวิมลคุณากร ( หลวงปู่ศุข ) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท"><img alt=" พระครูวิมลคุณากร :: พระครูวิมลคุณากร ( หลวงปู่ศุข ) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท" class="album" src="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/pusuk_thumb.jpg" style="border: 0px;" /></a><br /> <br /> ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๕ ปี ที่วัดโพธิ์บางเขน (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโพธิ์ทองล่าง) โดยมีพระครูเชย จนฺทสิริ<br />วัดโพธิ์บางเขนเป็นพระอุปัชฌาย์ พระถายมเป็นพระคู่สวด การอุปสมบทนี้มีลุงแฟงเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ส่วนโยมบิดามารดา<br />ไม่ได้มาร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก จากชัยนาทถึงกรุงเทพฯ ก็กินเวลาอย่างน้อย ๒ ถึง ๓ วัน จึงจะถึง<br /> <br /> เมื่อได้อุปสมบทแล้วอยู่กับพระอุปัชฌาย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบ<br />ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิชาอาคมต่างๆจากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญดีแล้ว จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้าน<br />เกิดของท่าน โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชื่อวัดอู่ทอง ปัจจุบันนี้เรียกว่า “วัดปากคลอง” ชาวบ้าน<br />แถวนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นเพื่อที่ว่าจะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้น<br />มาจนท่านมรณภาพ ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้นได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง<br />พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑปปรากฏให้เห็นอยู่ ส่วนการ<br />อบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร <br />จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก<br /><br /> อนึ่ง มีผู้กล่าวว่า ท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมากสามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย <br />เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลังคงกระพันชาตรีมีอีกมาก จนถึงกับสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ใน<br />ราชวงจักรีได้มาทดลองดูเห็นจริง จึงได้ยอมมอบตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมาและได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์<br />เองที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้ หลวงปู่ศุขท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ <br />ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูวิมลคุณากรและเป็นเจ้าคณะแขวง (ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์<br />ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใดท่านมรณภาพเมื่อเดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วั<br />นสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิงท่านเป็นผู้เก่งในวิชาอาคมเป็นอย่างมาก ท่านสามารถเสกคนให้<br />เป็นจระเข้ได้ และเสกหัวปลีเป็นกระต่ายได้</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
“มาเดือนนี้อาจารย์เอกจะขอเล่าต่อจากเดือนที่แล้ว พระอริยสงฆ์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ายังมีอีกมากมายหลายรูปแต่จะขอยกตัวอย่าง <br />เช่น หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้, สมเด็จโตพรหมรังสี, หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน, หลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติ,<br />หลวงพ่อปานวัดบางนมโค, หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร, หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอกและยังมีพระอริยสงฆ์ท่านอื่นๆอีกมากมาย<br />ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงส่งแก่กล้า และผู้ที่จะฝึกพลังจิตให้สูงส่งแก่กล้าได้นั้นต้องผ่านการฝึกสมาธิ<br />กรรมฐานมาเป็นอย่างดี จึงจะสามารถมีพลังจิตที่แก่กล้าและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งด้านปัญญาและวิชาอาคมให้เกิดอิทธิฤทธิ์<br />ดั่งใจต้องการ ” และในเดือนนี้อาจารย์เอกจะสอนพื้นฐานสำคัญในการเรียนวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคม</div>
<hr class="system-pagebreak title=พื้นฐานสำคัญของการเรียน alt=พื้นฐานสำคัญของการเรียน" style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;" />
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>พื้นฐานสำคัญของการเรียนวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคม</strong></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
อันดับแรก คือ ทำการฝึกสมาธิภาวนา หรือทำการฝึกสมาธิกรรมฐาน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
หากทำการฝึกสมาธิภาวนา ก็ทำกันง่ายๆ คือ การภาวนาคาถาต่างๆแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออกตามไปด้วย <br />เช่น ภาวนา “ พุท ” หายใจเข้า “ โธ ” หายใจออก พร้อมกับกำหนดจิตจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา <br />เมื่อกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาแล้ว จิตจะเป็นสมาธิ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เริ่มต้นที่ 5 นาที <br />แล้วเพิ่มไปวันละ 1 นาทีก็ได้หรือหากทำการฝึกสมาธิกรรมฐาน ในการฝึกสมาธิกรรมฐานเราต้องรู้จักกรรมฐาน ๔๐ กองก่อน <br />แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรู้หมดทั้ง ๔๐ กอง แต่จะเลือกฝึกแบบไหนก็ได้แล้วแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละคน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>กรรมฐาน ๔๐</strong> แบ่งได้เป็น ๗ หมวด</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
๑. หมวดกสิน ๑๐ <br />๒. หมวดอสุภกรรมฐาน ๑๐ <br />๓. หมวดอนุสสติกรรมฐาน ๑๐ <br />๔. หมวดอาหารปฏิกูลสัญญา ๑ <br />๕. หมวดจตุธาตุววัฏฐาน ๑ <br />๖. หมวดพรหมวิหาร ๔ <br />๗. หมวดอรูปฌาณ ๔<br /><strong><br />หมวดกสิณ ๑๐</strong> เป็นการทำสมาธิด้วยวิธีการเพ่ง<br />๑. ปฐวีกสิณ เพ่งธาตุดิน<br />๒. อาโปกสิณ เพ่งธาตุน้ำ<br />๓. เตโชกสิณ เพ่งไฟ<br />๔. วาโยกสิณ เพ่งลม<br />๕. นีลกสิณ เพ่งสีเขียว<br />๖. ปีตกสิน เพ่งสีเหลือง<br />๗. โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง<br />๘. โอฑาตกสิณ เพ่งสีขาว<br />๙. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง<br />๑๐. อากาศกสิณ เพ่งอากาศ<br /><strong><br />หมวดอสุภกรรมฐาน ๑๐</strong> เป็นการตั้งอารมณ์ไว้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยงดงาม มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก <br />น่าเกลียด<br />๑๑. อุทธุมาตกอสุภ คือ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายบวมขึ้น <br />พองไปด้วยลม ขึ้นอืด<br />๑๒. วินีลกอสุภ วีนีลกะ แปลว่า สีเขียว เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน <br />คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวในที่มีผ้าคลุมไว้ฉะนั้นตามร่างกาย<br />ของผู้ตายจึงมีสีเขียวมาก<br />๑๓. วิปุพพกอสุภกรรมฐาน คือ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ<br />๑๔. วิฉิททกอสุภ คือ ซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลางกาย<br />๑๕. วิกขายิตกอสุภ คือ ร่างกายของซากศพที่ถูกยื้อแย่งกัดกิน<br />๑๖. วิกขิตตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่างๆกระจัดกระจาย มีมือ แขน ขา ศีรษะ <br />กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง<br />๑๗. หตวิกขิตตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่<br />๑๘. โลหิตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ<br />๑๙. ปุฬุวกอสุภ คือ ซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่<br />๒๐. อัฏฐิกอสุภ คือ ซากศพที่มีแต่กระดูก<br /><br /><a href="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/Koi3.jpg" rel="rokbox[350 323](พระสาวกพิจารณาอสุภกรรมฐาน)" style="color: #676565; text-decoration: initial;" title=" พระสาวกพิจารณาอสุภกรรมฐาน :: พระสาวกพิจารณาอสุภกรรมฐาน"><img alt=" พระสาวกพิจารณาอสุภกรรมฐาน :: พระสาวกพิจารณาอสุภกรรมฐาน" class="album" src="http://www.pu108.com/images/stories/picPU108/aboutPU108/Koi3_thumb.jpg" style="border: 0px;" /></a><br /><strong><br />อนุสสติกรรมฐาน ๑๐</strong> อนุสสติ แปลว่า ตามระลึกถึง เมื่อเลือกปฏิบัติให้พอเหมาะแก่จริตจะได้ผลเป็นสมาธิ<br />มีอารมณ์ตั้งมั่นได้รวดเร็ว<br />๒๑. พุทธานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์<br />๒๒. ธัมมานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์<br />๒๓. สังฆานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์<br />๒๔. สีลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์<br />๒๕. จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์<br />๒๖. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์<br />๒๗. มรณานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์<br />๒๘. กายคตานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต<br />๒๙. อานาปานานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต<br />๓๐. อุปสมานุสสติกรรมฐาน ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>หมวดอาหาเรปฏิกูลสัญญา</strong>๓๑. อาหาเรปฏิกูลสัญญา เพ่งอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด บริโภคเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่บริโภคเพื่อสนองกิเลส</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>หมวดจตุธาตุววัฏฐาน</strong>๓๒. จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>หมวดพรหมวิหาร ๔</strong> พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมเป็นที่อยู่ของพรหม พรหม แปลว่า ประเสริฐ<br /> พรหมวิหาร ๔ จึง แปลว่า คุณธรรม ๔ ประการ ที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่<br /><br />๓๓. เมตตา คุมอารมณ์ไว้ตลอดวันให้มีความรัก อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอารมณ์เนื่องด้วยกามารมณ์ <br /> เมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์<br />๓๔. กรุณา ความสงสารปรานี มีประสงค์จะสงเคราะห์แก่ทั้งคนและสัตว์<br />๓๕. มุทิตา มีจิตชื่นบาน พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่มีจิตริษยาเจือปน<br />๓๖. อุเบกขา มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
<strong>หมวดอรูปฌาณ ๔</strong> เป็นการปล่อยอารมณ์ไม่ยึดถืออะไร มีผลทำให้จิตว่าง มีอารมณ์เป็นสุขประณีตในฌานที่ได้<br /> จะผู้เจริญอรูปฌาณ ๔ ต้องเจริญฌานในกสินให้ได้ฌาณ ๔ เสียก่อน แล้วจึงเจริญอรูปฌาณจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์<br />๓๗. อากาสานัญจายตนะ ถืออากาศเป็นอารมณ์ จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตย่อใหญ่เล็กได้ ทรงจิตรักษาอากาศไว้ <br /> กำหนดใจว่าอากาศหาที่สุดมิได้จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์<br />๓๘. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมด ต้องการจิตเท่านั้นจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์<br />๓๙. อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรเลย อากาศไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ามีอะไรสักหน่อยหนึ่งก็เป็นเหตุของภยันตราย<br /> ไม่ยึดถืออะไรจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์<br />๔๐. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งที่มีสัญญาอยู่ก็ทำเหมือนไม่มี ไม่รับอารมณ์ใดๆ จะหนาวร้อนก็รู้<br /> แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย ปล่อยตามเรื่อง เปลื้องความสนใจใดๆออกจนสิ้นจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
มาเดือนนี้ต้องขอโทษทุกท่านที่ติดตามอ่านเว็บ เนื่องจากไม่มีเวลาในการทำเว็บใหม่ ในเดือนนี้จะสอนเรื่องหลักการใช้คาถาอาคมให้มีความขลังและใช้ได้ดังใจ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
1. <strong>ต้องมีสมาธิ </strong>ไม่สนใจในสิ่งรอบข้างที่รบกวน โดยมีใจมุ่งมั่นจดจ่อในคาถาที่ตนบริกรรมอยู่</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
2. <strong>สร้างอารมณ์ </strong>ให้เป็นไปตามชนิดของคาถานั้นๆ เช่น </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
- คาถาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม ต้องสร้างอารมณ์ให้เป็นเมตตา ไม่แข็งกระด้าง ไม่เหี้ยมเกรียม</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
- คาถาคงกระพันชาตรี ต้องสร้างอารมณ์ให้ห้าวหาญ และแข็งกระด้าง เหี้ยมเกรียม โดยยึดความกล้าเป็นอารมณ์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
- คาถาแคล้วคลาด ต้องสร้างอารมณ์ให้เป็นสมาธิอย่างแรงกล้า และห้าวหาญ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px; margin-bottom: 15px; margin-top: 10px;">
3. <strong>ต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า </strong>ในคาถาอาคมที่ตนต้องการจะใช้ </div>
Unknownnoreply@blogger.com32tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-69028164443930322132013-02-08T08:25:00.001+07:002013-02-08T08:25:29.414+07:00หลวงพ่อเสือดำ จอมขมังเวทย์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/GrSX7t4gJmI?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-77374958129392411132009-06-07T23:16:00.001+07:002009-06-07T23:16:31.671+07:00สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญามถะ แปลว่า ความสงบ กาย วาจา ใจ วิปัสสนา แปลว่า การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง กรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่เพื่อเกิดความสงบทาง กาย วาจา ใจ เป็นการทำปัญญาให้เห็นแจ้ง<br /><br />ฌาน ญาณ อภิญญา<br /><br />ฌาน<br /><br />ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน รวมกันเราเรียกว่า สมาบัติ 8 และอุปสรรคขวางกั้นฌานคือ นิวรณ์ 5<br /><br />พระพุทธเจ้าสอนให้เราเริ่มจากทาน คือรู้จักการให้ เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยวหรือละความโลภก่อน แล้วจึงมาถึงศีลคือ การไม่เบียดเบียนกัน สมาธิคือการฝึกจิตตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเกิดฌาน คือ การหยั่งรู้ แล้วจะเกิดฌาน คือ ปัญญานั่นเอง อย่างที่เราเรียกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา<br /><br />ฌานนั่นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน<br /><br />ฌานหนึ่งหรือปฐมฌาน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์<br /><br />วิตก : คือ ยังภาวนาพุทโธอยู่<br /><br />วิจาร : คือ การคิดว่าพุทหายใจเข้า โธหายใจออก<br /><br />ปิติ : มีอาการ 5 อย่างคือ ขนลุก น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวลอย ตัวขยายใหญ่ขึ้น (อาจมีเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)<br /><br />สุข : จิตที่อิ่มในอารมณ์<br /><br />เอกัคคตารมณ์ : จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน<br /><br />ฌานสองหรือ ทุติยฌาน จะมีเพียงแค่ ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์<br /><br />ฌานสามหรือ ตติยฌาน จะมีเหลือเพียง สุข กับ เอกัคคตารมณ์<br /><br />ฌานสี่หรือ จตุตถฌาน คนเราส่วนมากมักจะติดอยู่ในฌานสาม จะมีแต่สุขกับเอกัคคตารมณ์ หรือจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อสุขแล้วก็ไม่อยากคิดอะไร จึงติดอยู่ในสุขไปไหนไม่ได้ ฌานหนึ่งถึงฌานสามเรียกว่าสมถะกรรมฐาน คือ ความสงบในกาย วาจา ใจ ถือเป็นสมถะกรรมฐาน เราต้องใช้วิปัสสนาด้วย วิปัสสนาคือ การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง เมื่อจิตสงบอยู่ในฌานสาม ให้รีบพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา<br /><br />ลักษณะ 3 อย่าง คือถ้าเรานั่งสมาธิไปนานๆ มันจะเกิดความปวดเมื่อย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเรียกว่า ทุกขัง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน คงจะไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงจากนั่งเป็นยืน เดิน นอน การเปลี่ยนแปลงนี้เราเรียกว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง<br /><br />อนัตตา คือ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราจะต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่เฒ่า เพราะกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ตัวไม่ใช่ตนของเรา ความตายไม่มีใครหนีไปได้<br /><br />พระพุทธเจ้าทรงถามพระอานนท์ว่า อานนท์เธอคิดถึงความตายอย่างไร พระอานนท์ตอบว่า คิดถึงทุกวันเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าก็ทรงเฉย พระอานนท์ก็ตอบอีกว่า คิดถึงวันละ 3 เวลาเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าทรงส่ายพระพักตร์ ตรัสว่า เธอควรคิดถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อความไม่ประมาท<br /><br />ในเมื่อเรารู้แล้วว่า เราหนีความตายไปไม่พ้น ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แล้วเราจะโลภ จะโกรธ จะหลงไปทำไม เมื่อจิตไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยาก ก็จะเข้าสู่อุเบกขา คือการวางเฉย ในฌานสี่ มีองค์ประกอบอยู่ 2 อย่างคือ อุเบกขา และเอกัคคตารมณ์<br /><br />ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ ฌานที่ไม่มีรูป สังขาร ร่างเหมือนอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อได้ฌานสี่หรือจตุตฌาน เราสามารถถอดกายได้ วิธีการถอดกายอย่าถอดกายออกจากฐานกระหม่อมเบื้องบน เพราะถ้ากายทิพย์ลอยออกจากกระหม่อม เราก้มลงมาเห็นกายหยาบนั่งอยู่จะตกลงมาทันที ให้พยายามถอดกายออกจากด้านข้าง หรือทางด้านหน้า ถอดออกแล้วอย่าไปไหน ให้พยายามมองดูตัวเองที่นั่งสมาธิอยู่ มองดูกายหยาบจนเห็นชัด เห็นแล้วให้รีบพิจารณาอสุภกรรมฐาน มองดูตั้งแต่ เส้นผม หนังศีรษะ กะโหลก มันสมอง เส้นขน ผิว หนัง เนื้อ กระดูก ซี่โครง หัวใจ ตับไต ไส้พุง มองพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภกรรมฐาน มองจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไป เรียกว่า ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง<br /><br />ฌานหกหรืออรูปฌานสอง เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ให้พยายามมองดูที่ดวงจิตที่ใส เหมือนดวงแก้ว มองจนดวงจิตนั้นหายไปเรียกว่า วิญญานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณ<br /><br />ฌานเจ็ดหรืออรูปฌานสาม เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ให้มองที่กาย มองดูที่จิตพร้อมกันทั้งสองอย่างมองจนกระทั่งหายไปทั้งกายและดวงจิต เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่มีกาย ไม่มีจิต<br /><br />ฌานแปดหรืออรูปฌานสี่ เรียกว่า เนวะสัญญานาสัญญายตนะ กายทิพย์นั้นจะกลับเข้าสู่ร่างเดิม แต่จะชาหมด ลมหายใจเหลือแผ่วๆ เบามากจนแทบไม่มีการหายใจ ไม่รับรู้อะไรทั้งหมด ชาไร้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้<br /><br />เมื่อเราได้ฌานแปดหรือสมาบัติแปด ญาณหรือปัญญาจะเกิด ญาณนั้นมี 7 อย่าง บางคนอาจจะไม่ได้ถึงฌานแปด อาจจะได้ฌานหนึ่ง สอง หรือสาม ก็สามารถเกิดญาณหรือปัญญาได้ หรือบางคนอาจจะไม่ได้ฝึกสมาธิเลยก็มีญาณเกิดขึ้นได้ ถือว่าเป็นฌานหรือตัวรู้ ที่ติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน เช่น เราอาจจะเคยพบคนที่สามารถรู้อะไรว่าจะเกิดล่วงหน้า และก็เกิดตามที่คิดนึกรู้นั้น บางคนเรียกว่า ลางสังหร ความจริงแล้วเป็นญาณอย่างหนึ่ง เรียกว่า อนาคตตังญาณ คือปัญญาที่จะรู้เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต<br /><br />ญาณ<br /><br />ญาณ มี 7 อย่างคือ<br /><br /> 1. บุเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตของคนหรือสัตว์ได้<br /> 2. จุตูปปาตญาณ ปัญญาที่รู้ว่าคนหรือสัตว์ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร<br /> 3. เจโตปริยญาณ ปัญญาที่รู้ใจคน รู้อารมณ์ความคิดจิตใจของคนและสัตว์<br /> 4. อตีตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในอดีต เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ของคนและสัตว์<br /> 5. ปัจจุปปันนังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในปัจจุบันว่าขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ และมีสภาพอย่างไร<br /> 6. อนาคตตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในการต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุ เหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ก็อธิษฐานถามก็จะรู้ชัดและไม่ผิด<br /> 7. ยถากัมมุตญาณ ปัญญาที่รู้ผลกรรม คือ รู้ว่าคนเราที่ทุกข์หรือสุขทุกวันนี้ ทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด<br /><br />อภิญญา<br /><br />อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง<br /><br />เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได่แก่<br /><br /> 1. อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้<br /> 2. ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง<br /> 3. จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ<br /> 4. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้<br /> 5. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ<br /> 6. อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้<br /><br /> <br /><br /> <br /><br />ความไม่ประมาทเป็นทางที่ไม่ตาย<br /><br />อปฺปมาโท อมตํ ปทํ<br />1Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-73464679943401079132009-06-07T21:02:00.001+07:002009-06-07T21:04:04.379+07:00สวดพระพุทธคุณแก้กรรม อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3wBzJ083Em_BKVsy1MFs-XPb8T3I3jz_zo5Gkttxvz6ufiDR_dOqi7n_TQfj5-QMmp8SNzWfojAY-ewlgqnzHIkBXxDRm1zPmSDawtdwoM_peUNaSEUWnWpdXZTmjfwHNRZ74Q-HDyfAr/s1600-h/jarunbuddhakun.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 169px; height: 256px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3wBzJ083Em_BKVsy1MFs-XPb8T3I3jz_zo5Gkttxvz6ufiDR_dOqi7n_TQfj5-QMmp8SNzWfojAY-ewlgqnzHIkBXxDRm1zPmSDawtdwoM_peUNaSEUWnWpdXZTmjfwHNRZ74Q-HDyfAr/s320/jarunbuddhakun.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5344586163522109506" /></a><br /> <br /><br />สวดพระพุทธคุณแก้กรรม<br />อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ<br />โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม<br /><br /><br />พระ พุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดู เคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ อาตมาก็มาดูเหตุการณ์ โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวดพาหุงมหากาฯ หายเลย สติก็ดีขึ้น เท่าที่ใช้ได้ผล สวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ อายุ ๓๕ สวด ๓๖ ก็ได้ผล<br /><br /><br />พุทธคุณกับชาวคริสต์<br /><br />มีชาวคริสต์คนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียว อยู่ที่ลาดพร้าว เป็นเศรษฐีที่ดิน อายุ ๕๑ ปี มีลูกชายคนเดียว สามีตาย ลูกชายเรียนหนังสือไม่เก่ง ก็ไปส่งเรียนปริญญาที่อเมริกา เป็นเศรษฐีที่ กทม. ราชาที่ดิน ที่ดินข้างคลองแสนแสบของเขาทั้งนั้น ไปจรดลาดพร้าวหลายร้อยไร่ เมื่อสมัยก่อนก็ขายได้หลายร้อยล้าน เป็นผู้มีเงิน ก็ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ลูกไม่เอาไหน ไปก็ไปซื้อรถเก๋ง พาจิ๊กโก๋ไปหาจิ๊กกี๋ ๓ ปีมาแล้ว แล้วก็มีหนังสือมาหลอกแม่เรื่อย เรียนจวนใกล้สำเร็จ ขอเงินอีก ๑ แสน ขอเงินอีก ๕ แสน<br /><br />แล้วในที่สุดเขาก็ไม่รู้จะไปหาที่พึ่งที่ไหน ก็ไปหาหมอดู หมอดูก็เอาเงินสะเดาะเคราะห์ ลูกถึงจะเรียนได้ แล้วก็ได้เงินสะเดาะเคราะห์ ไปหาหมอทำก็ไม่สามารถจะสำเร็จไ แต่พอดีก็มีคนสิงห์บุรีไปเป็นลูกจ้างบ้านนั้น เขาเป็นนายทุนให้ก็พากันไปนครสวรรค์ กลับมาเขาก็เลยแวะ เขาบอกอย่าแวะ ก็เลยแกล้งเพทุบายว่าปวดท้อง แวะเข้ามาวัดนี้หน่อย จะหาห้องน้ำแวะเข้ามาแล้ว นายทุนคนนี้ก็เข้าห้องน้ำด้วย คนนั้นก็มาบอกกับอาตมาว่า หลวงพ่อช่วยทีเถอะ<br /><br />แต่อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคริสต์ บอกช่วยหน่อยเถอะเขามีลูกชายคนเดียว ผมก็ขอยืมเงินเขาใช้เรื่อย เราก็นึกในใจว่า ขอดูหน้าก่อน แล้วเขาก็พามาแล้ว ก็บอกให้ฟังว่า ลูกชายไปเรียนที่อเมริกา ไม่เอาไหนเลย พอรู้เข้าว่าเรียนไม่สำเร็จ ไปเที่ยว พานักศึกษาไทยไปเสียหายกัน ฉันก็จะเป็นโรคประสาทแล้ว ท่านจะมีทางช่วยได้ไหม ดูหน้าแล้วก็รู้ว่า ลูกชายต้องสำเร็จปริญญาโท และจะสำเร็จปริญญาเอกด้วย แต่ทำไมเรียนไม่สำเร็จ เดี๋ยวมีวิธีทางแก้ เพราะลักษณะบอกให้รู้ถึงลูก ด้วยว่าลูกชายต้องเรียนสำเร็จ แต่ทำไม่ถึงเรียนไม่สำเร็จ<br /><br />มีวิธีแก้ อาตมาก็บอกว่า โยมไปสวดมนต์ สวดพุทธคุณ ๕๒ จบ เพราะตอนนี้อายุ ๕๑ เขาบอกว่า “ฉันสวดไม่ได้ ฉันเป็นคริสต์” “พระบิดา พระบุตร พระจิต สวดได้ไหม” “ฉันก็เป็นคริสต์แบบชาวพุทธที่สวดมนต์ไม่เป็น ไปวัดเข้าโบสถ์ก็เข้าไปอย่างนั้นเอง” วันนั้นก็เจ๊ากันไป ไม่ยอมรับ ก็อยู่ได้อีก ๔-๕ เดือน อาตมาจำหน้าได้ ทีนี้มี่มีคนพามาละ เขามากันเอง ๓ คน บอกว่า “ฉันยอมจำนน” บอก “เอาอย่างนี้โยม ไปซื้อหนังสือสวดมนต์เข้าเล่มหนึ่ง”<br /><br />“ฉันไม่อยากให้หนังสือสวดมนต์มีในบ้านฉัน ท่านช่วยเขียนให้หน่อย”<br /><br />อาตมาก็ต้องเขียน พอตอนหลังขี้เกียจเขียนต้องพิมพ์เป็นใบ นี่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ “ฉันไม่นับถือพระ ฉันจะสวดได้หรือ” “ที่นอนนั้นแหละสวดไปก่อน” อาตมาหาอุบาย เลยก็สวดพาหุงมหากาฯ “ฉันท่องไม่ได้ อ่านตามตัวแล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าอายุ ๕๑ สวด ๕๒” “ใช้ก้านไม่ขีด ทิ้งเข้าซิ ทำไปก่อน” เขาเลยมั่นใจว่าคิดว่าจะทำได้ บอกว่า “โยมสวดมนต์เสร็จแล้วแผ่เมตตาให้ลูก อย่าด่าลูกนะ อย่าแช่งลูก ให้ลูกมีความเจริญสุข และให้ลูกมีความตั้งใจเรียนหนังสือให้สำเร็จ”<br /><br />พอไปสวดได้ ๓ เดือน ท่องได้หมดเลย หนักเข้าก็ไม่ต้องใช้ก้านไม้ขีดแล้ว จึงเกิดอานิสงส์ ๒ ประการ<br /><br />ข้อหนึ่ง โรคประสาทหาย กินได้นอนหลับ ชื่นอกชื่นใจ นอนหลับก็ใจดี เริ่มแผ่ส่วนกุศลให้ถึงลูกแล้ว บุญกุศลของแม่จะถึงลูกถึงตอนไหน รู้กันตอนนี้ เพราะลูกนี่เฟ้อในการเงิน ขอเงินแม่เรื่อยเลย ไม่รู้บุญกุศลของแม่แต่ประการใด วันนั้นบุญกุศลของแม่ถึงประมาณ ๖ เดือนหลังจากสวดมนต์ อาตมาจดไว้ วันนั้นพอดีลูกชายพาพวกนักศึกษาไทยที่ส่งด้วยทุนของตัวเอง ไปเที่ยว ขับรถไปชนเสาไฟฟ้า เพื่อนอยู่ข้างหลังกระเด็นออกจากรถหมด ไม่ตายไม่เป็นอะไรเลย แต่เจ้านี่ต้องไปอัดก๊อปปี้กับเสาไฟฟ้า เสาล้ม ต้องเสียเงินหลายแสน พวงมาลัยอัดหน้าอกไปโคม่าอยู่โรงพยาบาล ไม่รู้สึกตัว แล้วพอดีมีลูกพี่อยู่คนหนึ่ง เป็นแพทย์อยู่ที่อเมริกาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ไปเยี่ยม ถ้าจะไม่รอดแน่ ก็ให้อ๊อกซิเจน นายแพทย์อเมริกาบอกว่าไม่รอดแน่<br /><br />วันนั้นผ่านไป รุ่งขึ้นลืมตา พอรอดมาแล้วปวดเมื่อยจะตาย น้ำตาร่วงคิดถึงแม่ มันเฟ้อไปในสังคม มันจะไม่คิดถึงแม่ บางคนอายุ ๘๐ แก่จะตาย เวลาใกล้ตายหลงคิดถึงแม่จ๋ากระทั่งแม่ตายไปตั้งนานแล้วอย่างนี้แน่นอน มันทุกข์หนัก บอกปวดเมื่อยทั่วสรรพางค์กาย คุณแม่จ๋ารำพันคิดถึงแม่<br /><br />ข้อสอง ลูกคิดถึงแม่ ถ้าแม่ทราบว่าหนูไม่เรียนหนังสือแล้ว แม่จะเสียใจแค่ไหน ทราบเข้าก็ดีอกดีใจมาวัดเลย เลี้ยงเพลพระ สวดธรรมจักรให้ ๑ จบ<br /><br />ในที่สุด พอลูกกลับจากอเมริกาพาลูกมาเลย อาตมาให้พระบูชาไป ๑ องค์ แม่ก็เล่าให้ฟังเพราะเหตุอย่างนี้ ลูกเลยสวดมนต์ภาวนาแล้วไปเข้าวัดไทย ไปนั่งวิปัสสนาที่เมืองนอก เจ้าคุณเทพโสภณรู้จัก แต่ไม่รู้เรื่องวัดอัมพวัน รู้ว่าเจ้านี่มันนักกรรมฐานปริญญาเอก เดี๋ยวนี้ไม่ยอมกลับบ้าน แม่บอกหลวงพ่อให้ฉันสวดมนต์อะไรให้ลูกกลับประเทศไทย ไม่มีกลับเรารู้แล้วไม่กลับแน่<br /><br />อันนี้ได้ผลแน่นอน ขอฝากไว้ว่าเด็กหรือใครก็ตาม ก็ต้องประสบทุกข์จะคิดถึงแม่ ถ้าไม่ประสบทุกข์ให้เงินไปเฟ้อ ไม่คิดถึงแน่ ต้องประสบทุกข์จึงจะเห็นตัวธรรมะ เห็นอกเห็นใจเลยเชียว เขามาเล่าให้อาตมาฟัง บอกหลวงพ่อครับ ผมไม่คิดถึงแม่เลย ๓ - ๔ ปีที่อเมริกา แต่ก็คิดถึงแม่ว่าอยู่กับแม่ป้อนข้าวให้ พัดวีให้ได้ คิดอย่างนี้เลยจึงกลับ แม่ก็เลยเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อนี่ช่วยเอาไว้ เขาเลื่อมใสอาตมาบอกว่า ถ้าเชื่อนะ ไปเดี๋ยวนี้ ตัดผม เพราะผมเขายาวประบ่า เลยตัดผมที่นี่สิงห์บุรีเห็นได้ชัดมาก เจ้าคนนี้ บอกแหมหลวงพ่อว่าผมนี่ผลาญเงินแม่ไปหลายล้านบาท ดังที่กล่าวแล้ว อาตมาก็ตั้งตำรา ถ้าคนไหนเคราะห์ร้ายสวดพุทธคุณ<br /><br /><br />จ่าสอบเป็นนายร้อย<br /><br />จ่าที่ศูนย์ปืนใหญ่นี่บอกว่า หลวงพ่ออีก ๒ - ๓ ปีอายุผมเกินแล้ว สอบนายทหารไม่ได้เสียไป ๒ หมื่นก็ไม่ได้ “อย่าไปพูดเรื่องเสียเงินเสียยี่ห้อทหาร สองคนผัวเมียสวดมนต์ได้มั้ย ต้องได้แน่ สวดสองคนเลย” พวกทหารศูนย์ปืนใหญ่ เขาบอกสงสัยบ้านจ่านี่ท่าจะบ้าแล้ว พอผัวจะไปทำงาน “นี่แม่อีหนูมาสวดมนต์แทน ฉันจะไปทำงาน” เมียก็สวดใหญ่ เพื่อนๆ มาเยี่ยม ไปเถอะขาขาดไปเคยไปเล่นไพ่ด้วยกัน เลิกเล่นมานั่งสวดมนต์<br /><br />ในที่สุดสอบได้สอบนายทหารได้เดี๋ยวนี้เป็นพันตรีไปแล้ว แล้วร่ำรวยมีเงินให้นายทหารกู้ จ่าคนนี้พอสวดมนต์ มีเงินและมีไร่ที่อำเภอพัฒนานิคม มีสวนมะพร้าว มะพร้าวเยอะแยะมันเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ใช่ขลังด้วยคาถา แต่ขลังด้วยสติ สวดมนต์แล้วก็มีสติขึ้นมา ปัญญาก็เกิด สอบเขียนก็ได้เลย ตอนเสียเงิน ๒ หมื่นไม่ได้ เขาบอกข้อสอบให้ยังไม่ได้ บอกสวดพุทธคุณเข้า ได้ทุกราย อาตมาอบรมนักศึกษามานี่ติดตามโดยต่อเนื่อง ไม่ใช่ไปบอกขอกฐินผ้าป่า ต้องการประเมินผลขอให้เธอทำตาม บางคนบอกว่าฉันเรียนสำเร็จวิชาครูมาทำอะไรไม่ได้ บอกหนูไม่จำเป็นต้องเป็นครู มานั่งกรรมฐานสวดมนต์เช้า ไม่จำเป็นต้องวิชาที่เรียนตรงเลย มันจะเกิดมีคนอุปถัมภ์ ช่วยเหลือผลักดันไปจนได้โดยวิธีนี้<br /><br />หนังสือกฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 3<br />หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรีUnknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-5257166207788554622009-06-07T16:42:00.001+07:002009-06-07T16:44:46.782+07:00รวมพระคาถาใช้เวลาถูกผีหลอกอย่างง่ายท่องนะโม ก่อน ไป ทีไหนทันทีที่เข้าห้องแล้วไม่แน่ใจไห้ท่อง คัจฉะอะมุมหิโอกาเสติถถาหิฯ ๓หน แล้วพูดออกไปจากห้องหรือบ้าน ไปที่ประตูตอนลงกลอนท่อง จิตติวิตังนะกรึงคะรังฯ ๓ หนแล้วใช้มือแตะประตูแล้วท่อง ปะโตเมตังปะระ ชีวินังสุขะโตจุติจิตะเมตะนิพพานังสุขะโตจุติฯ ๓หน รับรองนอนสบายมีอย่างมากก็เสียงดังอยู่ข้างนอกไม่ไปหาที่นอน หากเดินไปรู้สึกกลัวให้ท่อง จะพะกะสะปะถะมังฯ ๗หนรับรองผีไม่ไกล้ หากกลัวอาถรรน์ที่เราทำท่อง ตะมัถถังปะกาเสนโตสัตถาอาหะสัตถาดับกาสังอักโกอักวิชชาสะติสัตถาเทวะมะนุ ษษานังฯ ๓หน คาถามีใว้กันผีเพราะบางคนกลัวเกินกว่าจะนั่งแผ่เมตตาคาถาเหล่านี้เป็นของครู บาสาตุ๊เจ้าทางเหนือหากท่องออกสำเนียงเหนือใด้ยิ่งดีหากไม่ได้ท่องตามปรกติ ครับUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-47363194054237027342009-06-05T11:29:00.000+07:002009-06-05T11:30:00.610+07:00คาถามหาเศรษฐีโ<span style="font-weight:bold;">อมรวยมหารวยด้วยขยัน<br />รู้สร้างสรรค์ทรัพย์มา-รักษาไว้<br />คบเพื่อนดีนี้ด้วยยิ่งอวยชัย<br />อยู่อาศัยสมฐานะถึงจะรวย<br /><br />แลหนีห่างทางฉิบหาย"อบายมุข"<br />ย่อมเป็นสุขเปี่ยมทรัพย์กำกับด้วย<br />มิต้องรอขอเทวามาอำนวย<br />ตนจะรวยก็ด้วยตน...ใช่คนไกล<br /><br />พระครูสมุห์วิโรจน์ วรมงฺคโล วัดปราสาทสิทธิ์<span style="font-style:italic;"><span style="font-style:italic;"><span style="font-weight:bold;"></span></span></span></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-22562982275824439002009-06-05T11:24:00.000+07:002009-06-05T11:25:41.182+07:00ประวัติ วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรีวัดอัมพวัน สิงห์บุรี เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดังมีหลักฐานจากศิลาจารึก ตู้พระไตรปิฎก และหลักฐานอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งท่านสามารถหาอ่านได้ในหนังสือกฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ ในปัจจุบันวัดอัมพวัน โดยพระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ได้เปิดสำนักฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ขององค์พระศาสดาสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสอนให้แก่ผู้ใคร่ฝึกปฏิบัติธรรม ได้รับความรู้ที่ถูกต้องในการปฏิบัติ ตลอดจนอบรมธรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นในที่สุด<br /> ประวัติ วัดอัมพวัน<br />อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี<br /><br />ตำแหน่งที่ตั้งวัดอัมพวัน<br /><br /> เลขที่ ๕๓ บ้าน ถนนเอเชีย กิโลเมตรที่ ๑๓๐ หมู่ที่ ๔ ตำบลสงฆ์บ้านแป้ง ตำบลบ้านเมืองพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี<br /><br />ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์<br /><br />ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๓๑ ไร่ ๒ งาน ๘๐ ตารางวา มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินคือ โฉนดที่ ๘๘๗๗ เลขที่ ๒๒๓ มีอาณาเขตดังนี้<br /><br />ทิศเหนือ ยาว ๓๘๐ เมตร จดที่ดินเลขที่ ๑๔๗ ทางสาธารณประโยชน์<br />ทิศใต้ ยาว ๒๕๙ เมตร จดที่ดินเลขที่ ๑๔๕ ที่มีการครอบครองสาธารณประโยชน์<br />ทิศตะวันออก ยาว ๑๘๕ เมตร จดทางสาธารณประโยชน์<br />ทิศตะวันตก ยาว ๑๙๒ เมตร จดที่ดินเลขที่ ๑๔๗ ทางสาธารณประโยชน์<br /><br />ที่ธรณีสงฆ์มี ๓ แปลง มีเนื้อที่ทั้งสิ้น ๓๐ ไร่ ๔ งาน ๑๒๖ ตารางวา<br /><br />แปลง ที่ ๑ ที่ตำบลพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีเนื้อที่จำนวน ๑๔ ไร่ ๑๒ ตารางวา มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ คือ โฉนดเลขที่ ๔๙๐๗ นายพุก นางจุ่น โพธิ์ศรี ถวายเป็นที่ธรณีสงฆ์ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๗<br /><br />แปลง ที่ ๒ ที่ตำบลหัวป่า อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีเนื้อที่จำนวน ๑๑ ไร่ ๓ งาน ๑๒ ตารางวา มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ คือ โฉนดเลขที่ ๔๓๙๐ พันเอกสมภพ ศริพันธุ์, นางโสภิต วรากลาง, นางเพ็ญศรี บุรีรัตน์-นางสาวดวงรัตน์ ศริพันธุ์ ถวายเป็นที่ธรณีสงฆ์ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ตามบัตรอนุโมทนาของเลขาธิการมหาเถรสมาคม<br /><br />แปลงที่ ๓ ที่ตำบลพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีเนื้อที่จำนวน ๕ ไร่ ๑ งาน ๓๔ ตารางวา มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ คือ โฉนดเลขที่ ๔๙๐๑ พันเอกสมภพ ศริพันธุ์, นางโสภิต วรากลาง, นางเพ็ญศรี บุรีรัตน์-นางสาวดวงรัตน์ ศริพันธุ์ ถวายเป็นที่ธรณีสงฆ์ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๓<br /> <br /><br />ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของบริเวณที่ตั้งวัด<br /><br /> วัดอัมพวัน เป็นวัดที่อยู่อย่างราบเรียบ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตะวันออก สภาพของต้นไม้ทั่วไปนั้น ปลูกไม้ดอก - ไม้ใบ สภาพปลูกใหม่ สภาพพื้นที่เป็นที่น้ำท่วม มาบัดนี้ทางวัดได้ทำถนน - คูกั้นน้ำ การป้องกันน้ำไว้ได้ การปลูกสร้างต้นไม้จึงเกิดใหม่ ต้นไม้ประมาณ ๓๐๐ เศษ<br /><br />หลักฐานการตั้งวัด<br /><br /> จากการสำรวจทางราชการประมาณกาลตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๗๕ การสร้างอุโบสถ ผูกพัทธสีมา มาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อรัชกาลที่ ๓ ครั้งที่ ๒ นี้ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๗๐ เมตร และได้ผูกพัทธสีมา วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๓<br /><br />ประวัติความเป็นมาของวัด<br /><br /> วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นชื่อเดิมมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา<br /><br />อุโบสถหลังเก่าได้ชำรุดและพังลง เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๑ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำเดือน ๓ ปีจอ เวลา ๐๙.๔๕ น.<br /><br />ได้ รื้อถอนเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๑ ตรงกับแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ด้วยแรงชาวบ้านและรถยกของ ป.พัน ๑๐๑ มาช่วยกันรื้ออุโบสถ เสร็จเรียบร้อยภายใน ๔ วัน<br /><br />เริ่มก่อสร้างอุโบสถ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๑ วางศิลาฤกษ์ ๑๔-๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๒ สร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ รวมเวลาการก่อสร้าง ๑ ปี ๔ เดือน ๑๕ วัน<br /><br />ผูกพัทธสีมาวันที่ ๘-๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๓<br /><br /> ศิลาจารึกในอุโบสถหลังเก่าจารึกเป็นภาษาจีนว่าคนจีนได้สร้างอุโบสถวัด อัมพวัน สมัยเหม็งเชี้ยว คนจีนได้นำเรือกำปั่นมาทำการค้าขายกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมืองลพบุรี มากับฝรั่งชาติฮอลันดา จอดหน้าวัดอัมพวัน ได้สร้างโบสถ์วัดอัมพวัน สมัยเจ้าอาวาสวัดอัมพวันชื่อ พระครูญาณสังวร อายุ ๙๙ ปี สร้างโบสถ์เสร็จแล้ว ฝรั่งเพื่อนคนจีนได้ขอพระราชทาน พระหน้าปรกหินทั้งสององค์จากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้คนจีนเอาไว้ในโบสถ์ จนถึงการสร้างโบสถ์หลังใหม่มาจนถึงทุกวันนี้<br /><br /> วัดนี้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ตามลำดับ มาถึง พ.ศ. ๒๕๑๓ กรมการศาสนาได้ยกย่องให้เกียรติ เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างมาจนบัดนี้<br /><br />ปูชนียวัตถุ - โบราณวัตถุ<br /><br /> มีพระพุทธรูปหน้าปรกหิน ๓ องค์ สมัยลพบุรี แบบหูยาน ๒ องค์ แบบเขมรคางคนหูตุ้ม ๑ องค์ มีพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนสมาธิเพชร เกตุดอกบัวตูม ๑ องค์ หน้าตัก ๑ ศอก ตู้พระธรรมสร้าง พ.ศ.๒๒๐๐ จำนวน ๑ ตู้ ตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำ ๑ ตู้ พ.ศ.๒๓๑๐<br /><br /> ในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทำการซ่อมอุโบสถที่ชำรุดทรุดโทรมเสร็จแล้ว ได้ขอผูกพัทธสีมาใหม่โดยทำเป็นการภายในของการคณะสงฆ์ เพราะเขตที่ขอพระราชทานมีอยู่เดิมแล้ว และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้พระราชทานเรือยาว ให้กับวัดอัมพวันไว้ ๑ ลำ ชื่อว่า “ก้านตอง” บรรทุกคนได้ ๕๐ คน<br /><br /> ในสมัย ท่านพระครูเทศ เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชสมบัติ จึงได้พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ จำนวน ๑ ภาพ พร้อมด้วยโต๊ะหมู่บูชา จำนวน ๑ ชุด ไว้กับวัดอัมพวัน<br /><br />เสนาสนะและสิ่งปลูกสร้าง<br /><br /> ๑. อุโบสถ กว้าง ๑๓ เมตร ยาว ๒๗ เมตร สร้างเสร็จ พ.ศ.๒๕๑๓ ลักษณะทั่วไปอุโบสถสร้างใหม่แบบทรงไทยโบราณ สีมาติดฝาผนังโบสถ์ บรรจุคนได้ ๓๐๐ คน อุโบสถหลังเก่าชำรุด เพราะสมัยกรุงศรีอยุธยา<br /> ๒. ศาลาการเปรียญ กว้าง ๑๔.๕๐ เมตร ยาว ๓๓ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ ลักษณะทั่วไป ทรงไทยธรรมดาเหมือนศาลาการเปรียญทั่วไป มีช่อฟ้าหน้าบรรณ<br /> ๓. หอสวดมนต์ กว้าง ๑๑.๗๕ เมตร ยาว ๒๐.๒๕ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ลักษณะทั่วไป ทรงไทยสองชั้น - ชั้นบนไว้สวดมนต์ บำเพ็ญกุศล - เป็นที่ภิกษุ,สามเณรฉันภัตตาหาร ชั้นล่างเป็นโรงเรียนปริยัติธรรม<br /> ๔. กุฏิจำนวน ๕ หลัง คือ<br /><br />หลัง ที่ ๑ กว้าง ๑๒.๕๐ เมตร ยาว ๑๒.๕๐ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๙ ๗ ลักษณะทั่วไป สองชั้น - กุฏิเจ้าอาวาส กองอำนวยการ ใช้รับแขก และบริการ และประชุมสงฆ์ในวัด<br /><br />หลังที่ ๒ กว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๕ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙<br /><br />หลังที่ ๓ กว้าง ๖ เมตร ยาว ๑๕ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐<br /><br />หลังที่ ๔ กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๐ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๑<br /><br />หลังที่ ๕ กว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๐ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒<br /><br />กุฏิกรรมฐานมี ๒๑ หลัง ฝ่ายของสงฆ์<br /><br /> กว้าง ๓ เมตร ยาว ๗.๗๕ เมตร<br /><br />กุฏิกรรมฐาน ฝ่ายอุบาสก, อุบาสิกา ๑๔ หลัง<br /><br /> กว้าง ๓ เมตร ยาว ๗.๗๕ เมตร<br /><br />ศาลาบำเพ็ญกุศล<br /><br /> กว้าง ๑๔ เมตร ยาว ๒๑ เมตร คุณนายสุมาลย์ ชโลธร สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙<br /><br />เมรุเผาศพ<br /><br /> กว้าง ๓.๗๕ เมตร ยาว ๑๒ เมตร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ และได้ดำเนินการก่อสร้างเสนาสนะ และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน<br /> <br />การบริหาร และการปกครอง<br /><br /> ปัจจุบัน เจ้าอาวาสชื่อ “พระราชสุทธิญาณมงคล” อายุ ๗๑ พรรษา ๕๒ รายชื่อเจ้าอาวาสวัดอัมพวันเท่าที่มีหลักฐาน ดังนี้ :-<br /> รูปที่ ๑ พระครูพรหมนครบวรราชมุนี พ.ศ.๒๓๘๒ ถึง พ.ศ.๒๓๙ ๗<br /> รูปที่ ๒ พระครูปาน พ.ศ.๒๓๙๘ ถึง พ.ศ.๒๔๑๒<br /> รูปที่ ๓ พระอธิการเทศ พ.ศ.๒๔๑๒ ถึง พ.ศ.๒๔๒๗<br /> รูปที่ ๔ พระอธิการเยื้อน พ.ศ.๒๔๒๘ ถึง พ.ศ.๒๔๔๒<br /> รูปที่ ๕ พระใบฎีกาแย้ม พ.ศ.๒๔๔๓ ถึง พ.ศ.๒๔๕๖<br /> รูปที่ ๖ พระอธิการเลี่ยม พ.ศ.๒๔๕๖ ถึง พ.ศ.๒๔๖๕<br /> รูปที่ ๗ เจ้าอธิการสัว พ.ศ.๒๔๖๖ ถึง พ.ศ.๒๔๗๖<br /> รูปที่ ๘ พระอธิการล้วน พ.ศ.๒๔๗๖ ถึง พ.ศ.๒๔๘๐<br /> รูปที่ ๙ พระอธิการหล่ำ เหมโก พ.ศ.๒๔๘๑ ถึง พ.ศ.๒๔๙๙<br /> รูปที่ ๑๐ พระราชสุทธิญาณมงคล พ.ศ.๒๕๐๐ ถึง พ.ศ. ปัจจุบัน<br /><br />ประวัติ พระราชสุทธิญาณมงคล<br />( จรัญ ฐิตธมฺโม )<br /><br />เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน<br />เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี<br /><br />ชื่อเดิม จรัญ จรรยารักษ์<br />เกิด ปีมะโรง วันพุธที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ เวลา ๐๗.๑๐ น.<br />ณ บ้านตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี<br />บิดาชื่อ แพ จรรยารักษ์<br />มารดาชื่อ เจิม สุขประเสริฐ<br />อุปสมบท ปีชวด วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๙๑ เวลา ๑๔.๐๐ น.<br />ณ วัดพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี<br />พระครูพรหมจริยคุณ วัดแจ้งพรหมนคร เป็นพระอุปัชฌาย์<br />พระปลัดกิมเฮง วัดพุทธาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์<br />พระอธิการช่อ วัดพรหมบุรี เป็นอนุศาสนาจารย์<br />วิทยฐานะ พ.ศ. ๒๔๘๗ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔<br />โรงเรียนสุวิทดารามาศ จังหวัดสิงห์บุรี<br />พ.ศ. ๒๔๙๒ สอบไล่ได้นักธรรมโท<br />ณ สำนักเรียนวัดแจ้งพรหมนคร<br />อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี<br /> <br /><br />ตำแหน่งและหน้าที่การปกครอง<br /><br />พุทธศักราช ๒๕๐๐ รักษาการเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี<br />พุทธ ศักราช ๒๕๐๑ ได้รับสมณศักดิ์เป็น ที่พระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม ในฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณ สุนทรธรรมประพุทธ เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑<br />พุทธศักราช ๒๕๑๑ ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๑<br />พุทธศักราช ๒๕๑๖ เลื่อนเป็นพระครู เทียบผู้ช่วยพระอารามหลวงชั้นเอก<br />ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน<br />พุทธศักราช ๒๕๑๗ รักษาการตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี<br />พุทธศักราช ๒๕๑๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี <br />พุทธศักราช ๒๕๑๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์<br />พุทธศักราช ๒๕๒๕ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก <br />พุทธศักราช ๒๕๓๑ ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะที่ พระภาวนาวิสุทธิคุณ เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑<br />พุทธศักราช ๒๕๓๕ ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะที่ พระราชสุทธิญาณมงคล เมื่อวันพุธที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕<br />พุทธศักราช ๒๕๔๑ ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี<br />เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๑<br />พุทธศักราช ๒๕๔๒ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี<br />เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ <br />การเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน<br /><br /><br /><br /> ท่านสามารถจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันได้ โดยทางรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารประจำทางที่ท่าขนส่งสายเหนือ (หมอชิต)<br /><br /> <br /><br />เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพฯ<br /> <br /><br /> ท่านสามารถขับรถยนต์ส่วนตัวจากในตัวเมืองกรุงเทพฯ ออกได้หลายทาง เช่น เส้นถนนวงแหวนไปบางปะอิน หรือไปเส้นถนนพหลโยธิน ผ่านรังสิต เลี้ยวซ้ายตัดเข้าถนนสายเอเซีย ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง เข้าอำเภอพรหมบุรี จนกระทั่งถึงป้ายแนวเขตค่ายพม่า (ซ้ายมือ) และจะเห็นป้ายวัดอัมพวัน (ซ้ายมือ) ให้ขับเลี้ยวซ้ายตรงเข้าไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๑ ก.ม. ท่านก็จะถึงวัดอัมพวันครับ<br /><br /><br /><br /> <br /><br />เดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง<br /> <br /><br /> ท่านสามารถโดยสารรถประจำทางไปจังหวัดสิงห์บุรี หรือ จังหวัดอื่น ๆ ที่อยู่เลยขึ้นไปทางเหนือ โดยมีเส้นทางผ่านถนนสายเอเซีย ที่ท่าขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) ท่านสามารถบอกเจ้าหน้าที่ประจำรถโดยสารว่า ให้จอดหน้าวัดอัมพวัน ก็จะได้รับความสะดวกครับ หลังจากลงรถประจำทางแล้ว ท่านยังสามารถใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง จากปากทางเข้าวัดไปยังวัดอัมพวันได้ครับ หรือท่านจะออกกำลังกายด้วยการเดินก็ได้ครับ ระยะทางแค่ ๑ ก.ม. เท่านั้นเอง<br />ระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม<br /><br />ณ สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายคฤหัสถ์<br /><br />วัดอัมพวัน อ. พรหมบุรี จ. สิงห์บุรี<br /><br /> <br /><br /> ผู้ที่สมัครเข้ามาปฏิบัติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมฝ่ายคฤหัสถ์ ควรทำความเข้าใจ ในระเบียบปฏิบัติ ดังนี้<br /><br /> <br /><br />๑. ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องแจ้งความจำนงต่ออาจารย์ผู้ปกครอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลอำนวยความสะดวก และรับลงทะเบียนโดยจะมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสับเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่จัดที่ พัก แนะนำขั้นตอนแก่ผู้มาใหม่<br /><br />๒. ต้องแสดงความจำนงเป็นลายลักษณ์อักษรในใบสมัคร ซึ่งทางสำนักจัดเตรียมไว้ให้ ต้องมีบัตรประชาชน หรือใบสำคัญแสดงสัญชาติ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่กรณี เพื่อแสดงแก่อาจารย์ ผู้ปกครองของสำนักจนเป็นที่พอใจ<br /><br />๓. จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่า จะอยู่ปฏิบัติกี่วัน ถ้าหากท่านเป็นผู้มาใหม่ ยังไม่เคยรับการฝึกปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ควรอยู่ปฏิบัติอย่างน้อย ๓ วัน ส่วนท่านที่เคยรับการฝึกปฏิบัติแล้วควรอยู่ปฏิบัติให้ครบ ๗ วัน และปฏิบัติอยู่ในระเบียบที่กำหนดของสำนัก ส่วนผู้ที่มีความประสงค์อยู่ต่อ หลังจากปฏิบัติครบ ๗ วันแล้ว ให้ขออยู่ต่อเป็นกรณี ๆ ไป<br /><br />๔. ผู้สูงอายุไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเด็กที่มีอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี ซึ่งไม่มีผู้ปกครองมาด้วย (ยกเว้นได้รับอนุญาต) ผู้ป่วยโรคจิต โรคติดต่อ โรคที่สังคมรังเกียจ หรือมีอวัยวะไม่สมบูรณ์ และผู้ที่บวชเพื่อแก้บน ทางสำนักไม่สามารถรับไว้ปฏิบัติธรรมได้<br /><br />๕. หากนักปฏิบัติยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับอนุญาตจากมารดา บิดา สามี หรือผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษรในใบสมัคร<br /><br />๖. สำหรับผู้ที่มาลงทะเบียน ในช่วงเช้าหรือก่อน ๑๗.๐๐ น. ควรเข้าที่พักเพื่อพักผ่อน หรือทำกิจต่าง ๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น จึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดปฏิบัติธรรมสีขาวแบบสุภาพเรียบร้อย ไม่มีลวดลายหรือเครื่องประดับ และไม่สวมลูกประคำ เมื่อท่านแต่งชุดขาวแล้ว ห้ามออกไปนอกเขตภาวนา และห้ามไปรับประทานอาหาร<br /><br />๗. ให้ผู้ปฏิบัติมาพร้อมกัน ณ ศาลาคามวาสี (ศาลาหลวงพ่อเทพนิมิต) อยู่ตรงข้ามศาลาลงทะเบียน เวลา ๑๘.๐๐ น. หรือที่นัดหมาย ที่เจ้าหน้าที่จัดตามความเหมาะสม เพื่อทำพิธีขอศีลแปด จากพระภิกษุที่ได้รับนิมนต์ไว้ โดยเจ้าหน้าที่จะได้จัดเตรียม ดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้ผู้ปฏิบัติใช้ในพิธี<br /><br />๘. การปฏิบัติธรรมแบ่งออกเป็น ๔ ช่วงในแต่ละวันดังนี้<br /><br />ช่วงแรก ๐๔.๐๐ น. - ๐๖.๓๐ น.<br /><br />ช่วงที่สอง ๐๘.๐๐ น. - ๑๑.๐๐ น.<br /><br />ช่วงที่สาม ๑๓.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น.<br /><br />ช่วงที่สี่ ๑๘.๓๐ น. - ๒๑.๐๐ น.<br /><br />๙. ผู้ปฏิบัติต้องมาพร้อมกันที่ศาลาปฏิบัติของสำนัก ตามเวลาที่กำหนดโดยฟังจากสัญญาณระฆัง ใช้ศาลาเป็นที่นั่งกรรมฐาน และบริเวณรอบนอกศาลาเป็นที่เดินจงกรม<br /><br />๑๐. ขั้นตอนการปฏิบัติ เมื่อผู้ปฏิบัติมาพร้อมกันตามเวลาในการปฏิบัติช่วงแรก ณ สถานที่ปฏิบัติแล้ว หัวหน้าจุดเทียนธูปบูชา พระรัตนตรัย นำสวดมนต์ กราบพระประธานแล้ว จึงเริ่มปฏิบัติธรรม โดยการเดินจงกรมก่อน ๓๐ นาที แล้วเปลี่ยนอิริยาบถ เข้ามานั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที สลับกันไปจนครบเวลาปฏิบัติที่กำหนด ส่วนเวลาในการปฏิบัติ ๓๐ นาที ที่กำหนดนี้ ผู้ปฏิบัติอาจปรับ ให้มากหรือน้อยกว่า ๓๐ นาที ตามความเหมาะสมของสภาวะอารมณ์<br /><br />๑๑. ก่อนถึงเวลาพักทุกช่วง ผู้ปฏิบัติธรรมควรอยู่ในอิริยาบถ ของการนั่งกรรมฐาน ทั้งนี้เพราะเมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติในแต่ละช่วง จะได้แผ่เมตตาต่อไปได้ โดยไม่เสียสมาธิจิต<br /><br />๑๒. เมื่อแผ่เมตตา (สัพเพ สัตตา...) เสร็จแล้ว นั่งพับเพียบประนมมือ เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญในการปฏิบัติธรรมแก่มารดา บิดา ญาติพี่น้อง เทวดา เปรต และสรรพสัตว์ทั้งหลาย (อิทัง เม มาติปิตูนัง โหตุ....) จากนั้นลุกขึ้นนั่งคุกเข่า สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย (อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา....) กราบพระประธาน<br /><br />ขั้นตอนในการปฏิบัติจะเป็น เช่นเดียวกันในทุกช่วง เว้นแต่การจุดเทียน ธูป บูชาพระรัตนตรัยในช่วยที่ ๒-๓-๔ ไม่มี เพราะได้บูชาแล้วในช่วงแรก<br /><br />๑๓. การให้ความรู้สำหรับผู้ปฏิบัติที่มาใหม่ อาจารย์หรือหัวหน้า ผู้ได้รับมอบหมาย จะเป็นผู้ให้คำแนะนำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น ส่วนการทดสอบอารมณ์ตลอดจนความรู้ที่ละเอียดขึ้น ทางอาจารย์ใหญ่ จะเป็นผู้ให้ความรู้หลังจากปฏิบัติธรรม ช่วงแรกเสร็จเวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น. ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่เข้าใจ หากมีข้อสงสัยใด ๆ อาจใช้ช่วงเวลานี้สอบถามขอความรู้ได้<br /><br />๑๔. ห้ามคุย บอก หรือ ถามสภาวะกับผู้ปฏิบัติ เพราะจะเป็นภัย แก่ผู้ที่กำลังปฏิบัติทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โดยจะทำให้อารมณ์ฟุ้งซ่าน และเพ้อเจ้อ หากมีความสงสัยในข้อวัตรปฏิบัติอย่างไรแล้ว ให้เก็บไว้สอบถามครูผู้สอน ห้ามสอบถามผู้ปฏิบัติด้วยกันเป็นอันขาด<br /><br />๑๕. ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ ก็ให้พูดเบา ๆ ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ แต่ไม่ควรพูดนาน เพราะจะทำให้ฟุ้งซ่าน ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง และทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า<br /><br />๑๖. ถ้ามีเรื่องจะพูดกันนาน ต้องออกจากห้องกรรมฐาน ไปพูดในสถานที่อื่น ห้ามใช้ห้องปฏิบัติรับแขก<br /><br />๑๗. ขณะที่ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติ ห้ามอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เรียนหนังสือ ฟังวิทยุ ดูทีวี ตลอดจนสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก<br /><br />๑๘. ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่เสพเครื่องดองของมึนเมา หรือ นำยาเสพติด ทุกชนิด เข้ามาในบริเวณสำนักเป็นอันขาด<br /><br />๑๙. นักปฏิบัติต้องระลึกเสมอว่า เรามาปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจ ขัดเกลากิเลสตัณหาให้เบาบางลง มิใช่มาเพื่อหาความสุข ในการอยู่ดี กินดี จึงต้องใช้ความอดทนเป็นพิเศษต่อความไม่สะดวก และสิ่งที่กระทบกระทั่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องทดสอบ ความอดทนและคุณธรรมของนักปฏิบัติว่ามีอยู่มาน้อยเพียงใด<br /><br />นักปฏิบัติต้องเข้าอบรม รับศีล ประชุมพร้อมกันในอุโบสถ หรือ ศาลาที่จัดไว้ตามความเหมาะสมกับจำนวนนักปฏิบัติ ในวันพระ<br /><br />หาก ผู้ปฏิบัติเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น ให้รีบแจ้งแก่เจ้าหน้าที่โดยเร็ว เพื่อหาทางช่วยเหลือตามสมควรแก่กรณี ไม่ควรละการปฏิบัติ ในเมื่อไม่มีความจำเป็น<br /><br />ห้องหรือกุฏิที่จัดไว้เป็นห้องปฏิบัติ เฉพาะพระสงฆ์ก็ดี หรือห้องที่จัดไว้เฉพาะนักปฏิบัติที่เป็นบุรุษก็ดี สตรีก็ดี ห้ามมิให้เพศตรงข้ามเข้าไปนอน หรือใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมนั้นเด็ดขาด<br /><br />๒๐. ทุกวันอุโบสถ (วันพระ) ในช่วงบ่ายให้ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าปฏิบัติธรรม ณ สถานที่ ที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบ โดยมาพร้อมกัน ณ กุฏิอาจารย์ใหญ่ เวลา ๑๓.๓๐ น. อาจารย์ใหญ่จะเป็นผู้นำไป และเริ่มปฏิบัติตั้งแต่เวลา ๑๔.๐๐ น. – ๑๗.๐๐ น. หลังจากนั้นหลวงพ่อ พระราชสุทธิญาณมงคล จะลงสวดมนต์ทำวัตรเย็น ประกอบพิธี ให้กรรมฐานแก่ผู้ปฏิบัติที่มาใหม่ และแสดงพระธรรมเทศนา<br /><br />๒๑. การเข้านั่งในอุโบสถ ให้ผู้ปฏิบัติธรรมนั่งหันหน้าไปทางพระประธาน โดยสังเกตการนั่งให้เป็นแถวขนานไปกับพระสงฆ์<br /><br />๒๒. เมื่อถึงบริเวณพิธี ให้คอยสังเกตสัญญาณการนั่ง การกราบ จากอาจารย์ผู้นำ ทั้งนี้เพื่อความพร้อมเพรียงเป็นระเบียบและเจริญตา แก่ผู้พบเห็น<br /><br />๒๓. การออกนอกบริเวณสำนักโดยการพิธีทุกครั้ง อาจารย์ผู้ปกครองจะเป็นผู้นำทั้งไปและกลับ ให้เดินเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง ตามลำดับอาวุโส ด้วยอาการสงบสำรวม<br /><br />๒๔. นักปฏิบัติจะต้องอยู่ในบริเวณที่กำหนดให้เท่านั้น ถ้าไม่มีธุระจำเป็น ไม่ควรออกนอกสถานที่ปฏิบัติ และถ้ามีธุระจำเป็นต้องออกนอกสำนัก ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเสียก่อน<br /><br />๒๕. ทางสำนักได้จัดที่พักไว้โดยเฉพาะเป็นห้อง ๆ มีไฟฟ้า น้ำ ห้องน้ำ ห้องส้วมพร้อม ขอความร่วมมือได้โปรดช่วยกันรักษาความสะอาดในห้อง หน้าห้อง ห้องน้ำ ห้องส้วม และขอให้ใช้น้ำ ไฟ อย่างประหยัด<br /><br />๒๖. ไม่ควรเปิดน้ำ ไฟฟ้า และพัดลมทิ้งไว้เมื่อไม่อยู่ในห้องพัก<br /><br />๒๗. เวลาว่างตอนเช้า ตอนกลางวัน หรือตอนเย็น ผู้ปฏิบัติธรรม อาจใช้เวลาว่าง ทำความสะอาดกวาดลานภายในเขตสำนักและบริเวณที่พัก เพื่อความสะอาดของสถานที่และเจริญสุขภาพของผู้ปฏิบัติ<br /><br />๒๘. การรับประทานอาหารมี ๒ เวลา และดื่มน้ำปานะ ๑ เวลาดังนี้<br /><br />๐๗.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้า<br /><br />๑๑.๐๐ น. รับประทานอาหารกลางวัน<br /><br />๑๗.๐๐ น. ดื่มน้ำปานะ<br /><br />๒๙. การรับประทานอาหารและดื่มน้ำปานะทุกครั้ง ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องมารับประทาน พร้อมกันที่โรงอาหารตรงตามเวลาที่กำหนด<br /><br />๓๐. เมื่อตักอาหารใส่ภาชนะแล้ว ให้เข้านั่งประจำที่ให้เป็นระเบียบ ควรนั่งให้เต็มเป็นโต๊ะ ๆ ไปก่อน โดยผู้ไปถึงก่อนต้องนั่งชิด้านในก่อนเสมอ เมื่อเต็มแล้ว จึงเริ่มโต๊ะใหม่ต่อไป รอจนพร้อมเพรียงกัน แล้วหัวหน้าจะกล่าวนำ ขออนุญาตรับประทานอาหาร<br /><br />๓๑. ขณะนั่งรอและรับประทานอาหาร ผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคุยกันหรือแสดงอาการใด ๆ ที่ไม่สำรวม<br /><br />๓๒. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ให้นั่งรออยู่ที่เดิม จนทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ ให้ประนมมือ หัวหน้าจะให้พรผู้บริจาคอาหาร (สัพพี ฯลฯ..) ผู้ปฏิบัติธรรมสวดรับโดยพร้อมเพรียงกัน<br /><br />๓๓. เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหาร ให้ผู้ปฏิบัติธรรมช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ ทำความสะอาดภาชนะ จัดโต๊ะ เก้าอี้ ให้เรียบร้อย<br /><br />๓๔. นักปฏิบัติจะต้องไม่นำของที่มีค่าติดตัวมาด้วย หากสูญหาย ทางสำนักจะไม่รับผิดชอบไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น<br /><br />๓๕. นักปฏิบัติจะต้องไม่คะนองกาย วาจา หรือส่งเสียงก่อความรำคาญ หรือพูดคุยกับบุคคลอื่นโดยไม่มีความจำเป็น ถ้ามีผู้มาเยี่ยม จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เสียก่อน การเยี่ยมนั้นให้แขกคุยได้ไม่เกิน ๑๕ นาที ถ้าเป็นแขกต่างเพศ ให้ออกไปคุยข้างนอกสถานที่ปฏิบัติธรรม<br /><br />๓๖. การลา เมื่อผู้ปฏิบัติธรรม ได้ปฏิบัติครบตามกำหนดที่ได้แจ้งความจำนงไว้แล้วนั้น เจ้าหน้าที่จะได้จัดเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน เพื่อทำพิธีลาศีล และขอขมาพระรัตนตรัย ให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่จะลาศีล พร้อมกัน ณ ที่นัดหมาย (ฟังประกาศจากเจ้าหน้าที่) โดยอาจารย์ผู้ปกครองเป็นผู้นำไป<br /><br />อนึ่ง ทางสำนักจะงดพิธีรับศีลในวันโกน และไม่มีพิธีลาศีลในวันพระ ดังนั้น ท่านที่มาลงทะเบียนเข้าปฏิบัติธรรมในวันโกน จะได้เข้ารับพิธีรับศีลในวันพระ ส่วนที่ที่จะลากลับในวันพระ หรือวันถัดจากวันพระ จะต้องเข้าลาศีลล่วงหน้า แต่คงปฏิบัติธรรมได้ตามปกติ จนถึงกำหนดวันที่ท่านได้แจ้งไว้ในใบลงทะเบียน<br /><br />ในกรณีที่มีความจำเป็น ต้องลากลับก่อนกำหนดนั้น ผู้ปฏิบัติต้องแจ้งให้อาจารย์ผู้ปกครองทราบสาเหตุ และหากไม่มีความจำเป็น ไม่ควรหนีกลับไปโดยพลการ เพราะจะเป็นผลเสียต่อผู้ปฏิบัติ<br /><br />๓๗. ถ้านักปฏิบัติผู้ใด ไม่ทำตามระเบียบของสำนักที่กำหนดไว้นี้ ทางสำนักจำเป็นต้องพิจารณาเตือนให้ทราบก่อน หากยังไม่ยอมรับฟัง ทางสำนักมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอให้ออกจากสำนัก ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น ที่จะเข้ามาปฏิบัติต่อไป<br /><br />๓๘. ข้อแนะนำนี้ เป็นคู่มือให้รายละเอียดในแนวทางปฏิบัติ เพื่อความเป็นระเบียบของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมจะได้เข้าใจ สบายใจในการอยู่อาศัยและปฏิบัติกรรมฐาน ร่วมกันอย่างสงบ ในสังคมของผู้ปฏิบัติธรรมย่อมประหยัดการพูด โอกาสที่ท่านจะถามระเบียบหรือโอกาสที่จะมีผู้อธิบายแนะนำแก่ท่านมีน้อย คู่มือนี้ จะช่วยท่านได้เป็นอย่างดี<br /><br /> <br /><br />กำหนดเวลาการปฏิบัติธรรม<br /><br /> <br /><br />เช้า ๐๓.๓๐ น. ตื่นนอน พร้อมกัน ณ สถานที่ปฏิบัติธรรม<br /><br /> สวดมนต์ทำวัตรเช้า (แปล)<br /><br /> เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน<br /><br /> ๐๗.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้า<br /><br /> ๐๘.๐๐ น. สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน ที่สถานที่ปฏิบัติ<br /><br /> ๑๑.๐๐ น. รับประทานอาหารกลางวัน<br /><br />บ่าย ๑๓.๐๐ น. เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน ที่สถานที่ปฏิบัติ<br /><br /> ๑๗.๐๐ น. ดื่มน้ำปานะ พักผ่อน<br /><br />ค่ำ ๑๘.๓๐ น. เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน ที่ศาลาปฏิบัติ<br /><br /> สวดมนต์ทำวัตรเย็น (แปล)<br /><br /> ๒๑.๓๐ น. สอบอารมณ์<br /><br /> ๒๓.๐๐ น. พักผ่อน นอน<br /><br />วันพระ ภาคเช้า<br /><br /> ภาคบ่าย<br /><br /> ภาคค่ำ<br />การเตรียมตัวไปปฏิบัติธรรม<br /><br /> <br /><br />Prep01<br /><br /> <br /><br /> การเตรียมตัวไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ผู้ปฏิบัติควรจะเตรียมตัวดังต่อไปนี้<br /><br /> <br /><br />1. ชุดปฏิบัติธรรมสีขาว<br /><br />ชาย กางเกงขายาวสีขาว เสื้อแขนสั้นสีขาว<br /><br />หญิง เสื้อแขนยาวสีขาว ผ้าถุงสีขาว สไบสีขาว<br /><br />2. ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น (ควรงดเว้นการสวมใส่เครื่องประดับ)<br /><br />แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ เป็นต้น<br /><br />3. ตั้งใจไปปฏิบัติธรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล ได้เป็นผู้อนุเคราะห์ในเรื่องของที่พัก อาหาร พร้อม โดยท่านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ขอเพียงตั้งใจปฏิบัติอย่างเดียวครับUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-29470819781988102352009-06-05T11:22:00.000+07:002009-06-05T11:23:19.545+07:00มูลเหตุแห่งการค้นพบพระชัยมงคลคาถา เมื่ออาตมาได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วคืนหนึ่งอาตมานอนหลับ แล้ว ฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโส ผู้รัตตัญญู จึงน้อมนมัสการท่าน ท่นหยุดยืนตรงหน้าอาตมา แล้วกล่าวกับอาตมาว่า<br /><br />"ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อดูจารึก ที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้เป็นเจ้า เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะ เหนือพระมหาอุปราชแห่งพม่า และประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"<br /><br />ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งที่บรรจุให้ แล้วก็ตกใจตื่นตอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝัน ก็นึกอยู่ในใจว่า เราเองนั้น กำหนดจิตด้วยกรรมฐาน มีสติอยู่เสมอ เรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ ในวัดใหญ่ชัยมงคล และจะทำการบรรจุพระบรมธาตุที่ยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น<br /><br />อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร บอกนายภิรมณ์ ชินเจริญ ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่ง เพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอที่อาตมาได้สร้างขึ้น ตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ ที่ก๋งเหล๋งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมา ตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ ๆ แต่แตกหัก ผุพัง ทั้งนั้น หลายสิบปี๊บ อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง<br /><br />วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึง ก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันได แล้วมองเห็นโพรงที่ทางเข้าทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง มีร้านไม่พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่า ลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านไม้ ก็ยอมตาย คนที่ร่วมเดินทางมา เขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๙.๐๐ น. อาตมาลงไปภายในพบลานทองคำ ๑๓ ลาน ดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริง ๆ อาตมาจึงได้พบว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านได้จารึกถวายพระพร ก็คือ บทสวดมนต์ที่เรียกว่า "พาหุง มหาการุณิโก" ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ ถวายพระพรแด่พระมหาบพิตรเจ้า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />พาหุงมหาการุณิโก คืออะไร<br /><br />พาหุงมหากา คือ บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็ พรพาหุงอันเริ่มด้วย พาหุงสะหัส จนไปถึง ทุคคาหะทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึง มหาการุณิโกนาโถหิตายะ และจบลงด้วย "ภะวะตุสัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธรรมา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต" อาตมาเรียกรวมกันว่า "พาหุงมหากาฯ"<br /><br />อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือ บทสวดมนต์ที่ สมเด็จพระพนรัตน์ วัด ป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้สวดเป็นประจำ เวลาอยู่กับพระบรมราชวัง และในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฎว่า พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ทรงรบ ณ ที่ใดทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมา มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่า ด้วยการกระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากา ที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง อาตมาได้พบตามที่นิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจ ถึงปากปล่องที่ลงไป เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ<br /><br />ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาฯ ให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้น เป็นบทสวดมนต์ที่มีค่ามากที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากพญาวัสดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคีรี จากองคุลิมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนธ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มา ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้เป็นประจำทุกวัน จะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ<br /><br />ขอให้คุณโยมช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะ ว่าให้สวดพาหุงมหากากันให้ถ้วนหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้วยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมาก ๆ เข้า สวดกันทั้งหลายประเทศ ก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า<br /><br />ไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น ที่พบความมหัศจรรย์ของพบพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงพบเช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ดังนี้<br /><br />"เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเล็งเห็นว่า สงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้น แล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตาม พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />อานิสงส์ของการสวดพระชัยมงคลคาถา และพุทธคุณ<br /><br />ที่มาของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา อาตมาได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของ "สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว" ปัจจุบันเรียกว่า วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา ได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระพนรัตน์เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช<br /><br />อานิสงส์ของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่เคยแพ้ทัพ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่เคยแพ้ทัพ พระชัยหลังช้างของ ร.๑ นั้นมาจากบทพาหุงมหากาฯ<br /><br />ผู้ใดสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ เป็นประจำทุก ๆ วันแล้ว มีแต่ชัยชนะทุกประการ เรียนหนังสือก็เกิดปัญญา มีแต่ความเก่งกล้าสามารถ ผู้ใดสวดทุกเช้าค่ำ คิดสิ่งใดที่ดีเป็นมงคล จะสมความปรารถนาทุกประการ<br /><br />ปฐมเหตุ ต้นพุทราในพระราชวังโบราณอยุธยา<br /><br />ขอฝาก พ.อ.ทองคำ ศรีโยธิน ไว้ด้วยว่าคัมภีร์ใบลานทองคำจารึกบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถานั้น อาตมาให้สัญญาสมเด็จพระพนรัตน์มาจะไม่ให้ใครดู ถ้าไปให้ใครดู อาตมาก็สิ้นชีวีแน่ ๆ เหมือนอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ที่ให้อาตมาเล่าเรื่องพระในป่าให้ฟัง<br /><br />อาตมาบอกว่า ถ้าเล่าแล้วอาจารย์ต้องตายนะ เขาบอกว่าตายให้ตาย เพราะพระในป่าบอกว่า ตายไปแล้ว ๓ เดือนจะฟื้น และบอกว่าวันนี้จะมาสาวไส้หลวงพ่อวัดอัมพวันให้หมด<br /><br />เลยบอกว่า เอ้าตกลง โยมต้องตายนะ เลยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปากบาง เขาอัดเทปไว้ ๕-๖ ม้วน ถ่ายรูปด้วย ขณะเล่ามีงูใหญ่โผล่ขึ้นมา ไม่มีรู หลานเขยจะตี ก็ห้ามไว้ ก็นึกว่าอาจารย์ปถัมภ์ต้องตายแน่<br /><br />พอเล่าเหตุการณ์เรียบร้อย อาจารย์ปถัมภ์เอาพระเกศพระที่หล่อที่หอประชุมภาวนา-กรศรีทิพา มาขอถ่ายกลับไปเทปก็ไม่ติด รูปก็ถ่ายไม่ติด อาจารย์ปถัมภ์ก็แน่นที่หัวใจ รุ่งเช้าถึงแก่กรรม<br /><br />ภรรยาอาจารย์ปถัมภ์ มาถามอาตมาว่า อาจารย์ปถัมภ์ จะฟื้นหลัง ๓ เดือนแล้วจริงหรือไม่ อาตมาบอกว่าโยมไปดูเสียให้ดี เลือดออกทาง หู ตา ปาก หรือเปล่า ถ้าออกแล้วไม่มีฟื้น ถ้าทวาร ๙ เปิดไม่มีฟื้นนะ<br /><br />แต่คนที่ฟื้นแบบ พ.อ.เสนาะ ไม่ใช่ตายนะ แค่สลบไป หัวใจยังเต้นทำงานอยู่ ฟื้นได้ ถ้าขาดใจตาย ไม่มีลมวิญญาณออกไปแล้วไม่มีกลับมา เลยอาจารย์ปถัมภ์ถึงแก่ความตาย ถ้าอาตมาไม่ได้รับสัญญามา จะให้คุณโยมทองคำดูให้ได้<br /><br />อย่าลืมนะเขาขึ้นไปยอดเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลกัน อาตมาโดดลงบ่อ ถ้าขึ้นไม่ได้ก็ขอตายที่นี่ ที่สมเด็จพระพนรัตน์ท่านมาเข้าฝันบอก และได้ตามนั้นด้วย<br /><br />อาตมาถึงยืนยันว่า พระสงฆ์ไทยเรานี้ มีความรู้ในพระพุทธศาสนาลึกซึ้ง กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี พระอุบาลีที่ไปประกาศศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ท่านแปลพระไตรปิฎกจบ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านเป็นผู้รจนาฉันท์บาลีว่าด้วยชัยชนะของพระพุทธเจ้า ๘ บทที่เรียก พาหุงมหากาฯ ขึ้นมา ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนเรศวร<br /><br />อาตมาจึงให้เขาสวดมนต์บท “พาหุงมหากาฯ” เป็นประจำ ถ้าเด็กมีศรัทธาสวด สอบได้ที่หนึ่งเลย ถ้าสวดไปซังกะตาย ไม่มีศรัทธาสวด รับรองไม่ได้ผล<br /><br />บท “พาหุงมหากาฯ” เป็นจารึกของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว เอาประวัติที่พระพุทธเจ้าผจญมาร มารจนาขึ้น แล้วท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เอาไปเผยแผ่ที่ประเทศศรีลังกา จนได้รับยกย่องมาจนทุกวันนี้<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />ปฐมเหตุต้นพุทรา ในพระราชวังโบราณกรุงศรีอยุธยา<br /><br />คุณโยมทองคำโปรดทราบ มีอีกคัมภีร์หนึ่ง เป็นคัมภีร์ฉลองวัด ฉลองศึกมหาอุปราช จารึกไว้ว่า ทำไมมีต้นพุทราที่พระราชวังมากมาย ถ้าไม่มีเหตุผลเขาไม่ปลูกไว้หรอก นี่คนโบราณ<br /><br />คัมภีร์นี้บอกไว้ชัด ตอนที่สมเด็จพระนเรศวร ยกทัพไปได้นำคัมภีร์ชัยมงคลคาถาไปด้วย พอสวดพาหุงสะหัสฯ ช้างตกน้ำมันแผลงฤทธิ์เลย แม่ทัพนายกองตามไม่ทัน เข้าไปถึงกองทัพพม่า พม่าล้อมไว้เลย<br /><br />ไปเพียงสองพระองค์กับพระเอกาทศรถ พระอนุชา พม่าจะฆ่าเสียก็ตาย แล้วเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด แต่พระองค์มีบุญญาธิการเพราะมนต์บทพาหุงสะหัส<br /><br />ผลสุดท้าย มีสุนทรวาจาทักทายปราศรัย ก่อนกระทำยุทธหัตถีว่าทั้งสองฝ่ายขอสมาลาโทษต่อกัน<br /><br />พระนเรศวรตรัสว่า เจ้าพี่มหาอุปราชเอ๋ย เราเป็นพี่น้องกัน อย่าให้ทหารไพร่พลต้องล้มตาย เรามายุทธนากันตัวต่อตัวดีกว่า<br /><br />พระมหาอุปราชเห็นด้วยทันที เพราะบทสวดมนต์พาหุงมหากาฯ อิติปิโส ภควา ใครจะสู้ได้ อัญเชิญพระคุณของพระพุทธเจ้าออกไปสนทนาไปด้วยจิตเป็นเมตตา คนจึงเชื่อถือ<br /><br />ถ้าออกปากไปด้วยโทสะ คนไม่เชื่อถือ ลูกก็ไม่สนใจ นี่เรื่องจริงตรงนี้ พระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีด้วยช้างตกน้ำมัน มีกำลังเจ็ดช้างสาร มีพลังยิ่งกว่าช้างมหาอุปราช ก็พุ่งเข้าไปเลย<br /><br />“เราไม่โกรธกันนะ อย่าเอาบาปกันนะ” พระมหาอุปราชก็ตกลง<br /><br />พอพูดขาดคำปั๊บ ช้างแปร๋นเลย เสียท่าเข้าไปเลย เข้าไปทำอย่างไร มหาอุปราชฟันเลย ไปชนกันอย่างนี้จึงฟันถึง จำไว้<br /><br />พระนเรศวรเก่งมาก ทรงหมอบเลยถูกพระมาลาเบี่ยง เบี่ยงแล้วทำอย่างไร กำลังอยู่กระชั้นชิด ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เอาของ้าวฟัน ไม่มีทาง ขอเคียงฟันได้เหรอ จะขาดไหม มันมีน้ำหนักอยู่ตรงไหน มันยาว ฟังตรงนี้นะ อยู่ในคัมภีร์เสร็จ<br /><br />พระนเรศวรหมอบ ข้างหลังส่งของ้าว ภายใน ๑ วินาที สอดเข้าไปในรักแร้เลย แล้วชักด้ามกลับ ช้างเผ่นทันที ช้างพระนเรศวรเสียหลักแล้วก็ช่วยดึงด้วย<br /><br />พระนเรศวรจับของ้าวแน่นเลย ของ้าวขึ้นมาที่คอสะพายแล่งแล้ว พอช้างดึงปั๊บ ช้างจะล้ม พระมหาอุปราชสะพายแล่งขาดลงคอช้างทันที แต่ช้างพระนเรศวรจะต้องล้ม เสียท่าทหารพม่าแน่ แต่ช้างกลับถอยหลังไปโดนต้นพุทรา เอาขายันเข้าไว้ได้ ต้นพุทราจึงมีบุญคุณต่อพระนเรศวร พระนเรศวรจึงเอาพุทราต้นนี้มาปลูก และไหว้ต้นพุทรา พระนเรศวรจึงบูชาต้นพุทรา ว่ารอดตายนี่เพราะต้นพุทราแท้ ๆ ช้างมายันต้นพุทราไว้ เพราะปฐมเหตุนี้ ต้นพุทราจึงมีมาก จนตราบเท่าทุกวันนี้ ในราชวังโบราณกรุงศรีอโยธยา<br /><br />ใครไม่เชื่อไม่เป็นไร อาตมาเชื่อหมื่นเปอร์เซ็นต์ เพราะเราฝันของเราเอง และโดดลงบ่อได้คัมภีร์นี้มา คนอื่น ๆ ขึ้นข้างบน อัญเชิญพระธาตุไปบรรจุ และนำพระเครื่องเมืองพรหมนคร พระเสมาชัย พระเสมาขอ ไปบรรจุไว้ที่วัดใหญ่ชัยมงคลด้วย<br /><br />พระเสมาขอ คือ พระนเรศวรขอเมืองคืน<br /><br />พระเสมาชัย คือ ได้ชัยชนะปลงพระชนม์พระมหาอุปราชแล้ว พระนเรศวรสร้างแล้วบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดชัยชนะสงคราม อยู่ใต้วัดอัมพวัน<br /><br />อาตมาก็ขอบรรจุพระเสมาขอ และเสมาชัยไว้ที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อเป็นอนุสรณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสืบไป<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />เทวดา กับ การสวดมนต์<br /><br />“หลวงพ่อครับ กระผมอยากทราบความคิดเห็นของหลวงพ่อ ที่มีต่อเทวดาที่เขาสวดชุมนุมเทวดานั้น จะมีจริงหรือไม่”<br /><br />หลวงพ่อจรัญท่านตอบในทันทีว่า “อาตมาเชื่อ ทำไมจึงเชื่อ อาตมาจะเล่าให้ฟัง”<br /><br />แต่เดิมนั้นอาตมาไม่เคยเชื่อเรื่องเทวดา เพราะอาตมาไม่เคยสัมผัสนี่ แล้วอาตมาจะไปเชื่ออย่างไร ในเมื่อแม่ชีก้อนทอง ปานเณร อายุ ๘๗ ปี มาบอกกับอาตมาว่า เทวดามาสอนสวดมนต์<br /><br />แม่ชีมาเรียนกรรมฐาน อาตมาสอนให้เดินจงกรม ให้พิจารณาเห็นหนอ แต่แม่ชีเดินจงกรมแล้วไปคิดถึงเทวดา ไปเพ่งเทวดาเข้า เทวดาก็มา แกก็เก็บเงียบไว้ แต่แล้วในที่สุดแกก็เก็บไม่ไหวต้องการให้มีใครสักคนได้รับรู้เอาไว้ แกจึงมาบอกอาตมาว่า<br /><br />“หลวงพ่อ ดิฉันเห็นเทวดาเจ้าค่ะ มาสอนสวดมนต์ให้ด้วยเจ้าค่ะ”<br /><br />“เทวดาที่ไหนกับแม่ชีเอ๊ย อาตมาไม่เชื่อหรอก”<br /><br />แต่แม่ชีก็ว่าไม่ได้โกหก อาตมาถามว่า “เทวดามาตอนไหนเล่า” แม่ชีบอกว่า<br /><br />“พอดิฉันได้ยินนาฬิกาตี ๑๒ เป็นเวลาเที่ยงคืนเทวดาก็ปรากฎให้ดิฉันเห็นไม่ได้มาเปล่านะคะ มาสอนให้ดิฉันสวดมนต์บทเมตตาใหญ่ ดิฉันจึงสวดได้”<br /><br />อาตมาก็บอกให้แม่ชีไปถามเทวดาว่าอยู่ที่ไหน วันรุ่งขึ้นแม่ชีก็มาเล่าให้ฟังว่า<br /><br />เทวดาอยู่ที่ต้นพิกุล ต้นพิกุลที่ว่านี่ อาตมาถามผู้เชี่ยวชาญด้านต้นไม้ เช่นหลวงสมานวนกิจ อธิบดีกรมป่าไม่มาที่นี่ ในตอนที่แม่ชีเห็นเทวดา ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงสมานฯ ว่า อายุกว่า ๑,๐๐๐ ปี เทวดาบอกแม่ชีว่า เดิมอยู่บนสวรรค์ แล้วละเมิดกฎต่อนางฟ้าจึงถูกให้ลงมาอาศัยวิมานต้นพิกุลอยู่จนกว่าจะหมดกรรม แล้วก็บอกวันเวลาเอาไว้ชัดเจน อาตมาก็จดไว้แล้วก็เป็นจริง พอถึงเวลาก็เหมือนที่เทวดาให้สังเกตสังกา<br /><br />อาตมาก็ให้แม่ชีไปถามเทวดาว่า ไปชวนมนุษย์สวดมนต์ทุกบ้านหรือไม่ เพราะอาตมาเริ่มจะเชื่อ เพราะบทเมตตาใหญ่ที่แม่ชีสวดนี่ อาตมาไปหาที่ไหน ๆ ก็ไม่เจอ จนกระทั่งไปรู้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ได้นำเอาไปต่อท้ายพุทธมนต์พุทธาภิเษก และตำรับนั้นไปตกอยู่กับ พระครูลมูล วัดสุทัศน์ฯ พระครูลมูลนี้เป็นศิษย์สมเด็จพระสังฆราชแพนะ ทำสมเด็จเนื้อผงดีมากนะ มีละก็เก็บเอาไว้ให้ดีเชียว<br /><br />อาตมาไปขอตำรับมาตรวจสอบที่วัด ท่านพระครูลมูลบอกว่าไม่ได้ๆ ตำรับนี้ของอาจารย์ อาตมาให้ใครยืมไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าไม่ได้เอาไปเลย แต่จะเอาไปสอบทานอะไรหน่อย แล้วก็เล่าความจริงให้ท่านฟัง ท่านก็ใจอ่อนบอกว่า เอ้าเอาไปเถอะให้ยืมเจ็ดวัน แล้วเอามาส่งคืนนะ อาตมาก็เอามาเป็นตัวขอมทั้งนั้น อาตมาก็บอกแม่ชีว่า มาท่องให้อาตมาฟังหน่อย แม่ชีก็เริ่มท่อง ก็แกอายุ ๘๗ แล้วนี่นะ ก็ยานคางกว่าจะหลุดออกมาได้ตามประสาคนแก่<br /><br />โยมเชื่อไหมล่ะว่า แม่ชีก้อนทอง คนนี้เป็นคนไม่รู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ออก ตัวขอมยิ่งไม่กระดิกใหญ่ แล้วเมตตาใหญ่ที่แกท่อง อาตมาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แกท่องด้วยความมั่นใจ อาตมาสอบกับต้นฉบับขอมของท่านพระครูลมูล ปรากฎว่าไงรู้ไหมโยม<br /><br />“ตั้งแต่ตัวแรกจนตัวสุดท้ายไม่มีผิดเลย”<br /><br />อาตมาถามว่าเทวดาไปชวนคนสวดมนต์ทุกบ้านหรือเปล่า เทวดาบอกกับแม่ชีมาว่า<br /><br />“เปล่า บ้านไหนจัดที่บูชามีโต๊ะหมู่ มีพระพุทธรูปตั้งไว้ แล้วเจ้าของบ้านสวดมนต์ เทวดาก็มาร่วมสวดมนต์ด้วย พระพุทธรูปเหล่านั้น ที่ไม่ได้เข้าพิธีอะไร เช่ามาบูชาจากเสาชิงช้า หากเจ้าของบ้านเอามาสวดมนต์ไหว้พระทุกวันด้วยใจศรัทธา เทวดามาสวดมนต์ หนักเข้าก็เลยเข้าสิงรักษาองค์พระเอาไว้ ก็เลยศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ทำให้เกิดสิริมงคลในครัวเรือน"<br /><br />หลวงพ่อพระพุทธโสธรนั้น คนกราบไหว้บูชากันมากเลยมีเทวดามารักษา ๑๖ องค์ ทำให้เกิดอภินิหารนานาประการ พระพุทธรูปสำคัญ ๆ ก็มีเทวดารักษาทั้งนั้นแหละ<br /><br />เทวดาท่านว่าอย่างนั้นและเทวดาก็ว่าบ้านไหนมีพระพุทธรูปแค่ตั้งโชว์ เทวดาก็ไม่ไปสวดมนต์ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยทำวัตรสวดมนต์ เทวดาก็ไม่มา ผ่านเลยไปเลย มาไม่ลงมาสวดมนต์ คนเราก็มีเทวดารักษา คนดีมีศีลธรรม เทวดาที่เป็นบัณฑิตรักษา ถ้าคนชั่วขี้เหล้าเมายาทำชั่ว เทวดาพาลพวกมิจฉาทิฐิก็มารักษา<br /><br />อาตมาถามต่อไปว่าแล้ว “เวลาพระสัคเคกาเมจะรูเป เทวดาลงมาหรือไม่”เทวดาว่า “รีบลงมา เทวดาบัณฑิตมาก่อน พอเห็นเจ้าภาพกินเหล้าเมาหงำกันในงานบุญก็เบ้หน้าแล้วกลับ เทวดาพาลก็เข้ามาแทนที่ เลยเกิดเรื่องเกิดราวตูมตามนั่นแหละ<br /><br />คุณดอน เจดีย์ จาก น.ส.พ. มหัศจรรย์ <br />เขียนจากคำบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (ครั้งยังเป็นพระครูภาวนาวิสุทธิ์)<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />ชาวคริสต์กับพระพุทธคุณ<br /><br />มีชาวคริสต์คนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียวอยู่แถวลาดพร้าว อายุ ๕๑ ปี สามีตายเป็นเศรษฐีที่ กทม. ราชาที่ดิน ที่ดินข้างคลองแสนแสบของเขาทั้งนั้น ไปจรดตลาดลาดพร้าวหลายร้อยไร่ เมื่อสมัยก่อนก็ขายได้หลายร้อยล้าน เป็นผู้มีเงิน ลูกชายเรียนหนังสือไม่เก่ง ก็ส่งลูกไม่เรียนนอก ไปเรียนปริญญาที่อเมริกา ลูกไม่เอาไหน ไปก็ไปซื้อรถเก๋ง พาจิ๊กโก๋ไปหาจิ๊กกี๋ ๓ ปีแล้ว ก็มีหนังสือมาหลอกแม่เรื่อย เรียนใกล้สำเร็จแล้วขอเงินอีก ๑ แสน อีก ๕ แสน<br /><br />แล้วในที่สุด เขาไม่รู้จะไปหาที่พึ่งที่ไหน ก็ไปหาหมอดู หมอดูก็เอาเงิน สะเดาะเคราะห์ ไปหาหมอทำก็ไม่สามารถทำให้เรียนสำเร็จได้ แต่พอดีมีคนที่สิงห์บุรีไปเป็นลูกจ้างบ้านนั้น เขาเป็นนายทุนให้ ก็พากันไปนครสวรรค์ กลับมาเขาก็เลยอยากให้อาตมาช่วย เขาก็พามาแวะ เขาบอก "อย่าแวะ" ก็เลยแกล้งเพทุบายว่า "ปวดท้องแวะเข้ามาแวะวัดนี้หน่อย จะหาห้องน้ำ" แวะเข้ามาแล้ว นายทุนคนนี้ก็เข้าห้องน้ำด้วย คนนั้นก็มาบอกกับอาตมาว่า "หลวงพ่อช่วยทีเถอะ" แต่อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคริสต์ บอก "ช่วยหน่อยเถอะ เขามีลูกชายคนเดียว ผมก็ขอยืมเงินเขาใช้เรื่อย" เราก็นึกในใจขอดูหน้าก่อน แล้วเขาก็พามา แล้วก็บอกให้ฟังว่าลูกชายไปเรียนที่อเมริกาไม่เอาไหนเลย พอรู้ว่าเขาเรียนไม่สำเร็จ ไปเที่ยวพานักศึกษาไทยไปเสียหายกัน ฉันก็จะเป็นโรคประสาทแล้ว ท่านจะมีทางช่วยได้ไหม ดูหน้าแล้วก็รู้ว่าลูกชายต้องสำเร็จปริญญาโท แล้วจะสำเร็จปริญญาเอกด้วย แต่ทำไมเรียนไม่สำเร็จ เดี๋ยวมีวิธีแก้ เพราะลักษณะบอกให้รู้ถึงลูกด้วย ว่าลูกชายต้องเรียนสำเร็จ แต่ทำไมเรียนไม่สำเร็จ มีวิธีแก้<br /><br />อาตมาก็บอกว่า "โยมไปสวดมนต์ สวดพุทธคุณ ๕๒ จบ เพราะตอนนี้อายุ ๕๑" เขาก็บอก "ฉันสวดไม่ได้ ฉันเป็นคริสต์" "พระบิดา พระบุตร พระจิต สวดได้ไหม?" ฉันก็เป็นคริสต์แบบชาวพุทธที่สวดมนต์ไม่เป็น ไปวัดเข้าโบสถ์ก็เข้าไปอย่างนั้นเอง วันนั้นก็เจ๊าไปไม่ยอมรับ<br /><br />ก็อยู่ได้อีก ๔ - ๕ เดือน อาตมาจำหน้าได้ ทีนี้ไม่มีคนพามาเขามากันเอง ๓ คน บอกว่า "ฉันยอมจำนน" บอก "เอาอย่างนี้ โยมไปซื้อหนังสือสวดมนต์เข้าเล่มหนึ่ง" "ฉันไม่อยากให้หนังสือสวดมนต์มีในบ้านฉัน ท่านช่วยเขียนให้หน่อย" อาตมาก็ต้องเขียน พอตอนหลัง ขี้เกียจเขียน ต้องพิมพ์เป็นใบ นี่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา "ฉันไม่นับถือพระ ฉันจะสวดได้หรือ" ที่นอนนั้นแหละ สวดไปก่อน อาตมาหาอุบายเลย ก็สวดพาหุงมหากา "ฉันท่องไม่ได้" "อ่านตามตัว" "แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า อายุ ๕๑ สวด ๕๒" "ใช้ก้านไม้ขีดทิ้งเข้าซิ ทำไปก่อน" เขาเลยมั่นใจ คิดว่าจะทำได้บอกว่า "โยมสวดมนต์เสร็จแล้ว แผ่เมตตาให้ลูก อย่าด่าลูกนะ อย่าแช่งลูก ให้ลูกมีความเจริญสุข และให้ลูกมีความตั้งใจเรียนหนังสือให้สำเร็จ" พอไปสวดได้ ๓ เดือนท่องได้หมดเลย หนักเข้าไม่ต้องใช้ก้านไม้ขีดแล้ว จึงเกิดอานิสงส์ ๒ ประการ<br /><br />หนึ่ง โรคประสาทหาย กินได้นอนหลับ ชื่นอกชื่นใจนอนหลับ เมื่อนอนหลับก็ใจดี เริ่มแผ่ส่วนกุศลให้ถึงลูกแล้ว บุญกุศลของแม่จะถึงลูก ถึงตอนไหนรู้กันตอนนี้ เพราะลูกนี่เฟ้อในการเงิน ขอเงินแม่เรื่อย ไม่รู้จักบุญกุศลของแม่แต่ประการใด วันนั้นบุญกุศลของแม่ถึง ประมาณ ๖ เดือน หลังสวดมนต์ อาตมาจดไว้ วันนั้นพอดีลูกชายพานักศึกษาไทยไปส่งด้วยทุนของตัวเองไปเที่ยวขับรถ ไปชนเสาไฟฟ้า เพื่อนอยู่ข้างหลัง กระเด็นออกจากรถหมดไม่ตายไม่เป็นอะไรเลย แต่เจ้านี่ต้องไปอัดก๊อปปี้กับเสาไฟฟ้าเสาล้ม ต้องเสียเงินหลายแสน พวงมาลัยอัดหน้าอก ไปโคม่าอยู่โรงพยาบาลไม่รู้สึกตัว แล้วพอดีมีลูกพี่อยู่คนหนึ่งเป็นแพทย์อยู่ที่อเมริกา เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ไปเยี่ยม ถ้าจะไปไม่รอด ตายแน่ ก็ให้อ๊อกซิเยน นายแพทย์อเมริกันบอกว่าไม่รอด<br /><br />วันนั้นผ่านไป รุ่งขึ้นลืมตาพอรอดมาแล้วปวดเมื่อยจะตายน้ำตาร่วงคิดถึงแม่ นี่คนเราพอมีทุกข์ถึงจะคิดถึงแม่ มันเฟ้อไปในสังคม มันจะไม่คิดถึงแม่ บางคนอายุ ๘๐ แก่จะตาย เวลาใกล้ตายหลงคิดถึงแม่ ร้องแม่จ๋า แม้กระทั่งแม่ตายไปตั้งนานแล้ว อย่างนี้แน่นอน มันทุกข์หนัก บอกปวดเมื่อยทั่วสรรพางค์กาย คุณแม่จ๋ารำพึงรำพันคิดถึงแม่<br /><br />ข้อสอง ลูกคิดถึงแม่ ถ้าแม่ทราบว่าหนูไม่ได้เรียนหนังสือแล้วแม่จะเสียใจแค่ไหน แม่ทราบเข้า ก็ดีอกดีใจ มาวัดเลย เลี้ยงเพลพระ พระสวดธรรมจักรให้ ๑ จบ ในที่สุดพอลูกชายกลับมาจากอเมริกา พาลูกมาวัดเลย อาตมาให้พระบูชาไป ๑ องค์ แม่เล่าเรื่องให้ลูกฟัง เพราะเหตุอย่างนี้ ลูกสวดมนต์ภาวนาแล้วเข้าไปวัดไทยไปนั่งวิปัสสนาที่เมืองนอก เจ้าคุณเทพโสภณ (ปัจจุบันคือ พระธรรมราชานุวัตร) หรือหลวงเตี่ย ปัจจุปันจำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพฯ รู้จักแต่ไม่รู้เรื่องของวัดอัมพวัน รู้ว่าเจ้านี่มันนักกรรมฐานปริญญาเอก เดี๋ยวนี้ไม่ยอมกลับบ้าน แม่บอกหลวงพ่อให้ฉันสวดมนต์อะไรให้ลูกกลับเมืองไทย "ไม่มีกลับ" เรารู้แล้วไม่กลับแน่<br /><br />อันนี้ได้ผลแน่นอน ขอฝากไว้ว่าเด็ก หรือใครก็ตามต้องประสบทุกข์ จึงฉุกคิดถึงแม่ ถ้าไม่ประสบทุกข์ให้เงินไปมันเฟ้อ ไม่คิดถึงแม่ ต้องประสบทุกข์จึงจะเห็นตัวธรรมะ เห็นอกเห็นใจเลยเชียว เขาเล่าให้อาตมาฟัง บอกหลวงพ่อครับผมไม่คิดถึงแม่เลย ๓ - ๔ ปีที่อยู่อเมริกา แต่ก็คิดถึงแม่ ว่าอยู่กับแม่ ป้อนข้าวให้ พัดวีให้ ได้คิดอย่างนี้เลยจึงกลับ แม่ก็เลยเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อนี่ช่วยเอาไว้ เขาเลื่อมใสอาตมาบอกว่า "ถ้าเชื่อนะไปตัดผมเดี๋ยวนี้" เพราะผมเขายาวประบ่า เลยตัดผมที่สิงห์บุรี เจ้าคนนี้บอกว่า "แหมหลวงพ่อ ผมนี่ผลาญเงินแม่ไปหลายล้านบาท" นี่เห็นได้ชัดมาก ดังที่กล่าวมาแล้ว อาตมาก็ตั้งตำรา ถ้าคนไหนเคราะห์ร้ายสวดพุทธคุณ<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule03r0801.html<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />จ่าสอบเป็นนายร้อย<br /><br />จ่าที่ศูนย์ปืนใหญ่นี่บอกว่า หลวงพ่ออีก ๒ - ๓ ปี อายุผมเกินแล้วสอบนายทหารไม่ได้ เสียเงินไป ๒ หมื่นก็ไม่ได้ "อย่าไปพูดเรื่องเสียเงินเสียยี่ห้อทหาร สองคนผัวเมียสวดมนต์ได้มั๊ย" ต้องได้แน่ "สวดสองคนเลย" พวกทหารศูนย์ปืนใหญ่ เขาบอก สงสัยบ้านจ่านี่ถ้าจะบ้าแล้วพอผัวจะไปทำงาน "นี่แม่อีหนูมาสวดมนต์แทน ฉันจะไปทำงาน" เมียก็สวดใหญ่เพื่อน ๆ มาเยี่ยม ไปเถอะขาขาด เคยไปเล่นไพ่ด้วยกัน เลิกเล่นมานั่งสวดมนต์<br /><br />ในที่สุด สอบนายทหารได้ เดี๋ยวนี้เป็นพันตรีไปแล้ว แล้วร่ำรวยมีเงินให้นายทหารกู้ จ่าคนนี้ พอสวดมนต์ มีเงินและมีไร่ ที่อำเภอพัฒนานิคม มีสวนมะพร้าว มะพร้าวเยอะแยะ มันเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ใช่ขลังด้วยคาถา แต่ขลังด้วยสติ สวดมนต์แล้วก็มีสติขึ้นมา ปัญญาก็เกิด สอบเขียนก็ได้เลย ตอนเสียเงิน ๒ หมื่นไม่ได้ เขาบอกข้อสอบให้ยังไม่ได้ บอกสวดพุทธคุณเข้า ได้ทุกราย อาตมาอบรมนักศึกษาที่มานี่ ติดตามโดยต่อเนื่องไม่ใช่ไปบอกขอกฐินผ้าป่า ต้องการประเมินผล ขอให้เธอทำตามบางคนบอกว่า ฉันเรียนสำเร็จวิชาครูมาทำอะไรไม่ได้ บอก หนูไม่จำเป็นต้องเป็นครู มานั่งกัมมัฏฐานสวดมนต์เข้า ไม่จำเป็นต้องวิชาที่เรียนตรงเลย มันจะเกิดมีคนอุปถัมภ์ช่วยเหลือผลักดันให้ไปจนได้โดยวิธีนี้<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule03r0801.html<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />โรคเบาหวานหายได้<br /><br />ท่านนายกพุทธสมาคมและสมาชิกสภาจังหวัดอุทัยธานีท่านหนึ่ง มีธุระต้องนำหนังสือเชิญคณะกรรมการพุทธสมาคม จังหวัดอุทัยธานี มาประชุมประจำเดือน จึงขึ้นรถเครื่องตระเวนไปส่งหนังสือจนครบทุกคน แล้วรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมวานการประชุมต่อไป ครั้นรถเครื่องวิ่งมาถึงสี่แยกไฟแดงวัดสังกัสรัตนคีรี มีรถกะบะวิ่งสวนมาอย่างรีบร้อน หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะที่รถของท่านกำลังวิ่งสวนมา จึงเกิดเฉี่ยวชน ถูกขาขวาของท่านหัก และมีบาดแผลที่ขาอีกหลายแห่ง กระเด็นลงไปกลิ้งอยู่กับถนน แต่ไม่มีส่วนอื่นใดอีกที่ได้รับอันตราย รถเครื่องเสียหายเพียงเล็กน้อย รถกะบะไม่เสียหายอะไรเลย ปรากฎว่าผู้ขับขี่รถยนต์กะบะ เป็นผู้หญิงออกรถยนต์มาใหม่ ๆ คาดว่าชั่วโมงการขับคงยังมีน้อย เพราะก่อนหน้าสักวันหรือสองวันก็ปรากฎว่า ขับชนกับเสาไฟฟ้ามาแล้ว คนขับเขาไม่มีเจตนาที่จะขับชน แต่เป็นเพราะท่านขับรถช้าเอง มีผู้นำส่งโรงพยาบาลอุทัยธานี วันนั้นหมอกระดูกไม่อยู่ ต้องทรมานปวดอยู่อีก ๑ วัน วันรุ่งขึ้นจึงได้เข้าเฝือก คงจะเป็นกรรมที่ขับรถชนสุนัขขาหักกระมัง<br /><br />ก่อนจะถูกรถชนครั้งนี้ เป็นเวลาหลายวันมาแล้วที่ท่านไม่มีความสบายใจ ใจคอห่อเหี่ยวและหดหู่ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเป็นสิ่งที่ไม่น่าดู เห็นผู้คนแปลกหน้าไปหมด เบื่อสังคม ดูโลกไม่สดชื่นเลย นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ประเดี๋ยวก็ตื่น นอนหลับไม่ถึง ๓๐ นาทีก็ตื่นแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นอะไร จึงต้องขอพึ่งพระรัตนตรัย เข้าห้องพระ สวดมนต์ ทำสมาธิ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและแผ่เมตตา ทำให้นอนหลับในห้องพระนั้นได้บ้าง เป็นที่กังขาของแม่บ้านยิ่งนัก<br /><br />แต่ก็นับเป็นสิ่งที่แปลกมากอยู่เหมือนกัน เมื่อถูกรถชนแล้ว ใจกลับรู้สึกปลอดโปร่ง มีกำลังใจดี บอกกับบุตรภรรยาว่า อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด ท่านไม่มีห่วงอะไรแล้ว แม้จะพิการหรือถึงแก่เสียชีวิตเพราะมีอายุที่ได้ใช้มาคุ้มทุนแล้ว อายุที่อยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนของกำไร จึงขอให้ทุกคนทำใจให้ได้<br /><br />อนึ่งท่านเป็นโรคเบาหวาน ตรวจพบหลายปีแล้ว มีค่าน้ำตาลในโลหิต ๒๐๕ มิลลิกรัม ต่อ ดีแอล หมอสั่งให้รับประทานยาเป็นประจำ แต่ก็ไม่ยอมลด เข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ นอกจากรักษาโรคกระดูกหักแล้ว ยังต้องรักษาโรคเบาหวานอีกด้วย เข้าโรงพยาบาลรักษาแผลเป็นเวลาได้ ๑ เดือน บาดแผลที่ขาก็ไม่หายและมีทีท่าว่าจะติดเชื้อ ตรวจโลหิตเบาหวานก็ไม่ยอมลด ฉายเอ๊กซเรย์กระดูกปรากฎว่า ไม่ยอมติดกันเลย จึงสอบถามนายแพทย์ชยันตร์ ตันวัฒนกุล ซึ่งเป็นหมอประจำตัวว่าจะต้องถูกตัดขาหรือไม่ หมอตอบว่ามีทางเป็นไปได้ ในระหว่างนี้อยู่ในเกณฑ์ ๕๐ หมอจึงทำการผ่าตัดโดยนำเอาเนื้อที่สะโพกไปปะที่ขาทั้ง ๓ แผล<br /><br />ในระหว่างพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งนี้ ท่านใช้เวลาให้หมดไป ด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ มีหนังสือของหลวงพ่อที่รวบรวมไว้ หนังสือวิปัสสนากรรมฐาน ของพระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙) วัดมหาธาตุ และของท่านอื่น ๆ อีกมาก เมื่อทราบว่ามีโอกาสที่จะถูกตัดข้าทิ้งกลายเป็นคนพิการในไม่ช้านี้ ก็รำลึกถึงหลวงพ่อขอให้ท่านช่วยด้วย บังเกิดแรงดลใจ นำหนังสืออานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณของหลวงพ่อมาทบทวน และปฏิบัติตามทันที<br /><br />ตามปกติก่อนนอน ท่านก็สวดมนต์เป็นนิตย์ ตั้งจิตภาวนาเป็นประจำ อโหสิกรรมทุกวันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ เพิ่มการสวดมนต์บทพาหุงมหากาฯ คาถาชินบัญชร และสวดพุทธคุณเท่าอายุเพิ่มเข้าไปอีก ตอนนั้นท่านอายุ ๖๗ ปี สวดพุทธคุณ ๖๘ จบ จิตใจปราศจากการฟุ้งซ่าน<br /><br />เกิดปรากฎการณ์ที่น่าสนเท่ห์ คือแผลที่ขาขวา ๓ แผลนั้น แผลใหญ่ ๒ แผล เนื้อที่นำมาปะติดนั้นติดกันดี ส่วนแผลเล็กอีกหนึ่งแผล ไม่ยอมรับเนื้อใหม่ แต่แสดงอาการดีขึ้น รักษาแผลตอนนี้ ใช้เวลาอีก ๑ เดือน บาดแผลใหญ่น้อยก็หาย เมื่อไปฉายเอ๊กซเรย์ดูอีกครั้ง ปรากฎว่ากระดูกยังไม่ยอมติด เพราะบอบช้ำมาก มีบางส่วนหักป่นไปหมด จึงนำเข้าห้องผ่าตัด นำกระดูกเชิงกรานไปต่อกระดูกที่ขา และนำเหล็กไปดามกระดูกไว้ผ่าตัดครั้งนี้ มีแผลที่ ขายาว ๑๕ เซนติเมตร พอครบ ๑๐ วัน ก็สามารถตัดไหมออกได้ บาดแผลไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเลย ท่านรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา ๙๐ วันพอดี ก็ออกมาพักฟื้นอยู่กับบ้านอีก ๒ เดือน จึงทำการผ่าตัดเอาเฝือกออก ปัจจุบันสามารถเดินได้โดยไม่ต้องมีไม้ค้ำยัน แต่ยังเดินไม่ได้ดีเหมือนเก่า หมอจึงสั่งให้ทำกายภาพบำบัดต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง<br /><br />การที่ท่านรอดพ้นจากการถูกตัดขาทิ้ง เพราะโรคเบาหวานไปได้นี้ ส่วนหนึ่งเป็นด้วยอำนาจของการสวดพระพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งด้วยการดูแลของหมอโรคกระดูก และเป็นหมอประจำตัวของท่านเป็นอย่างดีด้วย<br /><br />ผู้ใดที่มีทุกข์เพราะโรคภัยเบียดเบียนก็ดี หรือทุกข์เพราะความผิดหวังก็ดี หรือทุกข์เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็ดี ขอให้ลองรำลึกถึง หลวงพ่อและสวดบทพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่งเป็นประจำ อาจจะได้รับผลอย่างที่ท่านได้ปฏิบัติมา ท่านได้รับทุกข์เพราะรถชนครั้งนี้ คิดว่าเป็นกรรมที่ทำไว้ ตามมาให้ผลสมดังที่พระพุทธองค์ดำรัสว่า เราทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมเก่าเป็นของแก้ไม่ได้ เพราะแล้วไปแล้ว แต่กรรมที่จะทำใหม่ บุคคลควรละฝ่ายชั่วเสีย ทำแต่กรรมดี กิเลสนั้นเมื่อคนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็หมดเรื่อง ส่วนเรื่องกรรมนั้นถึงสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้ายังไม่นิพพานก็ยังต้องเสวยผลของกรรมเก่า ต่อเมื่อนิพพานแล้วจึงจบเรื่องกรรม กมฺมสฺสโกมฺหิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน...<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๘ เรื่อง สวดพระพุทธคุณแก้กรรม (โรคเบาหวาน) โดย ยงยุทธ สาธิตานนท์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule08r0101.htmlUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-51766741355709993092009-06-05T11:21:00.001+07:002009-06-05T11:21:54.237+07:00บทสวดมนต์บทสวดมนต์<br /><br />กราบพระรัตนตรัย<br /><br />อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)<br />สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)<br />สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)<br /><br />นมัสการ (นะโม)<br /><br />นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ จบ)<br /><br />ไตรสรณคมน์ (พุทธัง ธัมมัง สังฆัง)<br /><br />พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ<br />ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ<br />สังฆัง สะระณัง คัจฉาม<br /><br />ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ<br />ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ<br />ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ<br /><br />ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ<br />ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ<br />ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ<br /><br />พระพุทธคุณ (อิติปิ โส)<br /><br />อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ<br />วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู<br />อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ<br />สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ<br /><br />พระธรรมคุณ<br /><br />สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม<br />สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก<br />ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติฯ * <br /><br />(* อ่านว่า วิญญูฮีติ)<br /><br />พระสังฆคุณ<br /><br />สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ<br />อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ<br />ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ<br />สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ<br />ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา<br />เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ<br />อาหุเนยโย* ปาหุเนยโย* ทักขิเณยโย* อัญชะลี กะระณีโย<br />อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ<br /><br />(อ่านออกเสียง อาหุไนยโย ปาหุไนยโย ทักขิไณยโย โดยสระเอ กึ่งสระไอ)<br /><br />พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)<br /><br />พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง<br />ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง<br />ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง<br />โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง<br />ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง<br />ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง<br />เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง<br />ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง<br />อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา<br />จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ<br />สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง<br />วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง<br />ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง<br />ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต<br />อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง<br />พรัหมัง* วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง<br />ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท<br />ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ<br /><br />เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย<br />วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที<br />หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ<br />โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญฯ<br /><br />* พรัหมัง อ่านว่า พรัมมัง<br /><br />มหาการุณิโก<br /><br />มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง<br />ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง<br />เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ<br /><br />ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง<br />ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะรา<br />ชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก<br />สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ<br /><br />สุนั ขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ<br />สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ** จาริสุ ปะทักขิณัง<br />กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง<br />มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ<br />กัตตะวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ<br /><br />** พรัหมะ อ่านว่า พรัมมะ<br /><br />ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา<br />สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ<br /><br />ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา<br />สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ<br /><br />ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา<br />สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ<br /><br />หลังจากสวดมนต์ตั้งแต่ต้นจนจบบทพาหุงมาหากาฯ แล้วก็ให้สวดเฉพาะบทพระพุทธคุณ หรืออิติปิโส ให้ได้จำนวนจบเท่ากับอายุของตนเอง แล้วสวดเพิ่มไปอีกหนึ่งจบ ตัวอย่างเช่น ถ้าอายุ ๓๕ ปี ต้องสวด ๓๖ จบ จากนั้นจึงค่อยแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล<br /><br />พุทธคุณเท่าอายุเกิน ๑ (อิติปิโสเท่าอายุ+๑)<br /><br />อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ<br />วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู<br />อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ<br />สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br />บทแผ่เมตตา<br /><br />สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น<br />อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กัน และกันเลย<br />อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้ พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย<br />อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย<br />สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />บทอุทิศส่วนกุศล (บทกรวดน้ำ)<br /><br />อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตา ปิตะโร<br />ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข<br /><br />อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย<br />ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข<br /><br />อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยา<br />ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข<br /><br />อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา<br />ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข<br /><br />อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา<br />ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข<br /><br />อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี<br />ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข<br /><br />อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา<br />ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />บทสวดมนต์ (แปล)<br /><br />คำแปลกราบพระรัตนตรัย<br /><br />พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง<br />ข้าพเจ้า อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (กราบ)<br /><br />พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว<br />ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม (กราบ)<br /><br />พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว<br />ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์ (กราบ)<br /><br />คำแปลนมัสการ<br /><br />ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็น ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (๓ จบ)<br /><br />คำแปลไตรสรณคมน์<br /><br />ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก<br />ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก<br />ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก<br /><br />แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก<br />แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก<br />แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก<br /><br />แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก<br />แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก<br />แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก<br /><br />คำแปลพระพุทธคุณ<br /><br />พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น<br />เป็นผู้ไกลจากกิเลส <br />เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง<br />เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ)<br />เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว<br />เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง<br />เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งไปกว่า<br />เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย<br />เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม<br />เป็นผู้มีความเจริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้ฯ<br /><br />คำแปลพระธรรมคุณ<br /><br />พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว<br />เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัตึพึงเห็นได้ด้วยตนเอง<br />เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล<br />เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด<br />เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว<br />เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ฯ<br /><br />คำแปลพระสังฆคุณ<br /><br />สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว<br />สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว<br />สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม เป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว<br />สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว<br /><br />ได้แก่ บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัว บุรุษได้ ๘ บุรุษ<br />นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า<br /><br />เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา<br />เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ<br />เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน<br />เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี<br />เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ฯ<br /><br />คำแปลพุทธชัยมงคลคาถา<br /><br />๑. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพญามารผู้เนรมิตแขนมากตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่คชสารชื่อครีเมขละ พร้อมด้วยเสนา มารโห่ร้องกึกก้อง<br />ด้วยธรรมวิธี คือ ทรงระลึกถึงพระบารมี ๑๐ ประการ ที่ทรงบำเพ็ญแล้ว มีทานบารมีเป็นต้น<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />๒. พระจอมมุนีได้ทรงชนะอาฬวกยักษ์ ผู้มีจิตกระด้าง ดุร้ายเหี้ยมโหด มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพญามาร ผู้เข้ามาต่อสู้ยิ่งนัก จนตลอดรุ่ง<br />ด้วยวิธีที่ทรงฝึกฝนเป็นอันดี คือ ขันติบารมี<br />(คือ ความอดทน อดกลั้น ซึ่งเป็น ๑ ในพระบารมี ๑๐ ประการ)<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />๓. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพญาช้างตัวประเสริฐชื่อ นาฬาคิรี เป็นช้างเมามันยิ่งนัก ดุร้ายประดุจไฟป่า และร้ายแรงดังจักราวุธและสายฟ้า (ขององค์อินทร์) ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือ พระเมตตา<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />๔. พระจอมมุนีทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ทางใจอันยอดเยี่ยม ชนะโจรชื่อองคุลิมาล (ผู้มีพวงมาลัย คือ นิ้วมือมนุษย์) แสนร้ายกาจ<br />มีฝีมือ ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปสิ้นทาง ๓ โยชน์<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />๕. พระจอมมุนีได้ทรงชนะความกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา<br />ผู้ทำอาการประดุจว่ามีครรภ์ เพราะทำไม้สัณฐานกลม (ผูกติดไว้) ให้เป็นประดุจมีท้อง<br />ด้วยวิธีสมาธิอันงาม คือ ความสงบระงับพระหฤทัย<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />๖. พระจอมมุนี ทรงรุ่งเรืองแล้วด้วยประทีป คือ ปัญญา ได้ชนะสัจจกนิครนถ์<br />(อ่านว่า สัจจะกะนิครนถ์, นิครนถ์ คือ นักบวชประเภทหนึ่งในสมัยพุทธกาล)<br />ผู้มีอัชฌาสัยในที่จะสละเสียซึ่งความสัตย์ มุ่งยกถ้อยคำของตนให้สูงล้ำดุจยกธง<br />เป็นผู้มืดมนยิ่งนัก<br />ด้วยเทศนาญาณวิธี คือ รู้อัชฌาสัยแล้ว ตรัสเทศนาให้มองเห็นความจริง<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />๗. พระจอมมุนีทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระพุทธชิโนรส นิรมิตกายเป็นนาคราชไปทรมานพญานาคราช ชื่อ นันโทปนันทะ ผู้มีความหลงผิดมีฤทธิ์มาก<br />ด้วยวิธีให้ฤทธิ์ที่เหนือกว่าแก่พระเถระ<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />๘. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพรหมผู้มีนามว่าพกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ สำคัญตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีความเห็นผิดประดุจถูกงูรัดมือไว้อย่างแน่นแฟ้นแล้ว<br />ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษ คือ เทศนาญาณ<br />ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น<br /><br />นรชนใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดก็ดี ระลึกก็ดี ซึ่งพระพุทธชัยมงคล ๘ บทนี้ทุก ๆ วัน<br />นรชนนั้นจะพึงละเสียได้ ซึ่งอุปัทวันตรายทั้งหลายมีประการต่าง ๆ<br />เป็นอเนกและถึงซึ่งวิโมกข์ (คือ ความหลุดพ้น) อันเป็นบรมสุขแล<br /><br />คำแปลมหาการุณิโก<br /><br />ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ประกอบแล้วด้วยพระมหากรุณา ยังบารมีทั้งหลายทั้งปวงให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สรรพ<br />สัตว์ทั้งหลาย ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน<br /><br />ขอท่านจงมีชัยชนะ ดุจพระจอมมุนีที่ทรงชนะมาร ที่โคนโพธิพฤกษ์ ถึงความเป็นผู้เลิศในสรรพพุทธาภิเษก ทรงปราโมทย์อยู่บนอปราชิตบัลลังก์อันสูง เป็นจอมมหาปฐพี ทรงเพิ่มพูนความยินดีแก่ เหล่าประยูรญาติศากยวงศ์ฉะนั้นเทอญ<br /><br />เวลาที่ “สัตว์” (หมายถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เช่น มนุษย์และสรรพสัตว์) ประพฤติชอบ ชื่อว่า ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี และขณะดี ครู่ดี บูชาดีแล้ว ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย กายกรรม เป็นประทักษิณ วจีกรรม เป็นประทักษิณ มโนกรรม เป็นประทักษิณ ความปรารถนาของท่านเป็นประทักษิณ สัตว์ทั้งหลายทำกรรม อันเป็นประทักษิณแล้ว ย่อมได้ประโยชน์ทั้งหลาย อันเป็น ประทักษิณ*<br /><br />ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่าน<br />ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ<br /><br />ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่าน<br />ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ<br /><br />ขอสรรพมงคลจงมีแกท่าน ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษาท่าน<br />ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ<br /><br /><br />หมายเหตุ ประทักษิณ หมายถึง การกระทำความดีด้วย ความเคารพ โดยใช้มือขวาหรือแขนด้านขวา หรือที่หลายท่าน เรียกว่า “ส่วนเบื้องขวา” ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่มีมาช้านานแล้ว ซึ่งพวกพราหมณ์ถือว่า การประทักษิณ คือ การเดินเวียนขวารอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบุคคลที่ตนเคารพนั้น เป็นการให้เกียรติ และเป็นการแสดงความเคารพสูงสุด เป็นมงคลสูงสุด เพราะฉะนั้นบาลีที่แสดงไว้ว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ความปรารถนาและการที่กระทำกรรมทั้งหลาย เป็นประทักษิณ อันเป็นส่วนเบื้องขวาหรือเวียนขวานั้น จึงหมายถึงการทำการพูดการคิดที่เป็นมงคล และผลที่ได้รับก็เป็นประทักษิณ อันเป็นส่วนเบื้องขวาหรือเวียนขวา ก็หมายถึงได้รับผลที่เป็นมงคลอันสูงสุดนั่นแลฯUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-5604019501846761272009-06-05T11:20:00.001+07:002009-06-05T11:21:06.440+07:00ถามตอบเรื่องการสวดมนต์พิธีกร: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: วันนี้ลูกอยากเรียนถามหลวงพ่อว่าการสวดพุทธคุณหมายความ ว่าอย่างไรค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพรพุทธคุณหมายความว่ากระไร พุทธคุณมีมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวพุทธคุณมันเรียกรวมกันเรียกพุทธคุณ ถ้าจะเรียกให้ครบถ้วนก็เรียกว่าไตรรัตน์ รัตนตรัย คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อยู่รวมกันเป็นพุทธคุณ เป็นอำนาจของพุทธคุณ อำนาจของพระพุทธเจ้า แต่ที่ว่าสวดพุทธคุณอานิสงส์หรืออะไรก็ตามมีความหมายยังไง มีความหมายมานานแล้วคนไทยชาวพุทธไม่ได้ศึกษา มาที่วัดกันเยอะแยะ อาตมาบอกว่าโยมไม่สบายใจสวดพุทธคุณสิ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ สวดพุทธคุณ ยาว.. ยาว... ไม่สวด แต่เสียใจด้วย สร้างความดี ยาว... สร้างความดีนิดเดียว ไปสร้างความ ชั่วยาวกว่าความดี มันจะไปกันได้หรือ ไปไม่ได้<br /><br />พุทธคุณนี่คือคุณพระพุทธเจ้า เอาคุณพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ มีมานานแล้ว พระธรรมคุณ ก็หมายความว่าเอาธรรมะมาไว้ในใจ ปฏิบัติ สังฆคุณ ปฏิบัติได้แล้ว คือสังฆะแปลว่าสามัคคี กายสามัคคี จิตสามัคคี มีรูปแบบดีเป็นพฤติกรรม แสดงออกประพฤติดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ก็สอนตัวเองได้สอนคนอื่นต่อไปเรียกว่าสังฆคุณ พุทธคุณนี่ก็หมายความว่าเอาคุณพระพุทธเจ้า มาไว้ในใจ คุณพระพุทธเจ้าคืออะไร มี ๓ ประการทุกท่าน<br /><br />๑. พระปัญญาคุณ ๒. พระวิสุทธิคุณ ๓. พระมหากรุณาธิคุณ<br /><br />แต่ถ้าจะตีความให้ชัด เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ ว่าพุทธคุณเนี่ยคุณพระพุทธเจ้า ปัญญาคุณหมายความว่าไร คนไทยชาวพุทธไม่เข้าใจเยอะ ปัญญาเกิด ๓ ทาง ทางที่ ๑ คือ สุตะมยปัญญา แปลว่าสดับตรับฟัง สดับตรับฟัง ต้องมีครรลอง ๕ ประการ ๑. ศรัทธาฟัง ๒. สนใจฟัง ๓. จดหัวข้อไว้ ๔. ทบทวน ๕. ปฏิบัติทันทีอย่ารอรีแต่ประการใด เกิดปัญญาในการฟัง เดี๋ยวนี้ไปฟังเป็นนักเรียนก็ตาม ฟังหลับ แล้วก็ญาติโยมฟังเทศน์ก็หลับ นี่มันมีศรัทธาฟังไหม ไม่สนใจฟังเลย ไม่จดหัวข้อไว้ ไม่เกิดปัญญา ในการฟัง ๒. ก็ยัง ยังไม่ครรลอง ยังไม่เต็มคราบ ยังไม่เข้าจุด ต้องมี จินตามยปัญญา ต้องเอาฟังแล้วเนี่ยเอาไปคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ ริเริ่มดำเนินงานทันทีอย่ารอรีแต่ประการใดถึงจะเกิดปัญญา ถ้าฟังแล้วเอาไปทิ้ง มันไม่เกิดปัญญาจะไม่ได้คิดไม่ได้ริเริ่ม จึงเรียกว่าความคิด มันเกิดปัญญา เดี๋ยวนี้มีคนความรู้มากเป็นด๊อกเตอร์ก็เยอะ แต่ไม่มีความคิดอยู่ ประการที่ ๓ สู้ประการที่ ๓ ไม่ได้ ภาวนามยปัญญา สวดมนต์ไหว้พระ สวดมนต์ไหว้พระไว้ แล้วก็จะนึกถึงภาวนา เช่นเด็กดูหนังสือสามหนเรียกว่า ภาวนา ดูหนังสือหนเดียวเรียกว่าดูหนังสือพิมพ์ทิ้งขว้างไป ดูครั้งที่หนึ่ง หมายความว่า รู้นี่เรื่องพระเวสสันดร ยกตัวอย่าง ดูครั้งสองซ้ำไปมีกี่ตอน มีกี่กัณฑ์ ดูครั้งที่สามเนื้อหาสาระเป็นประการใด นี่เรียกว่าภาวนา<br /><br />ภาวนาแปลว่าอะไรอีก แปลว่า “สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน” ที่พูดมานานแล้ว ทำให้มันผุดขึ้นมาเอง และสามารถจะกำจัดความชั่วออกจากตัวได้ จึงเรียกว่าบริสุทธิ์ ในเมื่อเกิดบริสุทธิ์แล้ว บริสุทธิ์นี่ได้มาจากไหน ตีความต่อไป คนจะบริสุทธิ์ได้ก็ไม่เป็นคนหละหลวมเหลาะแหละเหลวไหลขึ้นห้วยลงเขา คนบริสุทธิ์นี่จะ คนมีจริงจัง จริงใจ ต่อตัวเอง จริงใจต่อคนอื่นเขา เรียกตีครรลองเป็นธรรมะให้เด็กเข้าใจ สัจจะ เมตตา สามัคคี มีวินัย ถึงจะบริสุทธิ์ได้ ถ้าไม่มีหลักสี่ประการเป็นการรับรองแล้ว คนนั้นไม่บริสุทธิ์และคนบริสุทธิ์แล้วที่มักจะมีเมตตา เรียกว่าพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่าพุทธคุณ นี่เอามาไว้ในใจ อย่างนี้ไง และธรรมคุณก็เช่นเดียวกัน พอมีพุทธคุณซะแล้ว ธรรมคุณมาเอง มีธรรมะมาเอง พอธรรมะมีแล้วพระสงฆ์มาเลยเรียกว่า พระรัตนตรัย ขอเจริญพร อย่างนี้ความหมาย ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: ประเด็นถัดมานะคะ สวดพาหุงฯ น่ะค่ะ มีความเกี่ยวเนื่องกันยังไงคะ ที่หลวงพ่อให้อุบาสกอุบาสิกาที่นี่สวดพาหุงฯ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพร ดีแล้ว ถามนี่ดีแล้วคนไม่เข้าใจเยอะ แล้วไปสวดอย่างอื่นกันลามปาม พาหุงมหากาฯ มันบทติดต่อกัน พาหุงฯ เนี่ยมันมีมานานแล้ว แต่เราก็ไม่ทราบต้นเหตุสาเหตุที่มันมาจากไหน ก็มี ในหนังสือสวดมนต์ก็เยอะแยะ คนเปิดข้ามหญ้าปากคอกแท้ ๆ พาหุงมหากาฯ ก็แปลว่าพระพุทธเจ้าพิชิตมาร เรียกว่าปางมารวิชัย ผจญมารมา ๘ บท อยู่ในนั้นเลยไปดูเอาหาดูได้ ผจญมาร พระพุทธเจ้า ชนะมารแล้ว เรียกว่าพาหุงมหากาฯ มหากาแปลว่าอะไร ชยันโตโพธิยาฯ ใช่ไหม สุนักขัตตัง สุมังคะลัง ทำดีตอนไหนได้ตอนนั้น “ฤกษ์” จึงเอามานิยมสวดมนต์ด้วยการเจิมป้าย และก็เปิดสำนักงานและก็วางศิลาฤกษ์ หมาย ความว่า (๑.) ฤกษ์คืออากาศดี (๒.) ยามแปลว่าเวลาว่าง ๓. เครื่องพร้อม ที่จะดำเนินงานได้ทันทีอย่ารอรีแต่ประการใด ถึงได้เริ่มดำเนินงานใด ๆ เรียกว่ามหากาฯ<br /><br />พาหุงฯ บทนี้คือพระพุทธเจ้าเราก่อนจะสำเร็จสัมโพธิญาณ พระองค์ผจญมารมาก มารมาผจญกับพระองค์มากมาย ใช่ว่าอธิบายทุกบททุกข้อ มันมี ๘ ข้อ แต่จะเสียเวลามากจะไม่สามารถจะจบในที่นี้ได้ ขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลายไปดูเอาในหนังสือสวดมนต์แปลในพาหุงมหากาฯ หรือ เรียกว่าฎีกาพาหุงฯ นี่อย่างนี้เป็นต้น<br /><br />แสดงว่าพระพุทธเจ้านั่งหลับตาก็ไปสู้มาร ไปต่อสู้กับมาร “มารไม่มีบารมีไม่เกิด ประเสริฐไม่ได้” พระองค์ผจญมารมาครบแล้วชนะรวด ชนะรวดเรียกว่าพาหุงฯ นี่ เรามีมานานแล้วแต่คนน่ะ ไม่สวดกัน ต้นสายปลายเหตุมาจากไหนเดี๋ยวค่อยถามทีหลัง บางคนไม่รู้จริง ๆ พาหุงมหากาฯ ไม่รู้เลย หญ้าปากคอกแท้ ๆ ข้ามไปหมด เราเนี่ย..เราเกิดมาเนี่ยขอฝาก ท่านนุ.. โยมด้วยว่า มารไม่มี บารมีไม่เกิด คนเกิดมาเนี่ยสร้างความดีต้องมีอุปสรรค ถ้าเป็นความชั่วจะไม่มีอุปสรรค มันจะไหลไปเลยนะ จะไหลไปเลยนะ คนเราเนี่ยไม่ตีความ ความชั่ว นี่มันก็ไหลไปเลยไม่มีใครมาขัดคอ ถ้าหากว่าท่านด็อกเตอร์สร้างความดีปั๊บมีคนขัดคอ มีมารผจญแล้ว ต้องสู้มารต่อไปคือขันติ ขันติความอดทนอดกลั้น อดออมประนีประนอมยอมความ ต้องตรากตรำลำบาก อดทนต่อการทำงาน อดทนต่อความเจ็บใจในสังคมด้วย นี่ถึงจะพ้นเรียกว่าพระพุทธเจ้าพ้นมาร แล้วก็ท่านเข้าสมาธิเดี๋ยวสาธิตให้ดู นั่งสมาธิหลับตามารมารอบด้าน มาทุกอย่างเลย จิญจมาณวิกาก็หาว่าพระพุทธเจ้าท้องกับเขา ท่านก็ไม่ว่า เอ้าแผ่เมตตาด้วย การสวดพาหุงฯ นี่ ท่านก็สวดไปสวดมาชนะ ชนะแล้วเนี่ย ชนะแล้ว สะดุ้งมาร เรียกว่าชนะเรียกปางมารวิชัย เนี่ยปางมารวิชัยชนะมารได้ นี่บทนี้ชนะมาร ถ้าบ้านสาธุชนได้สวดแล้วชนะมาร มารไม่มีบารมีไม่เกิด ถ้าคนไหนไม่มีมาร คนนั้นไม่มีบารมีนะ นี่ขอให้ท่านทั้งหลายไปตีความเอาเอง เพราะเวลามันจำกัด นี่พาหุงมหากาฯ เป็นอย่างนี้ ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: ทำยังไงคะ ที่จะสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นพุทธคุณก็ดีนะคะ พาหุงฯ ก็ดี มหาการุณิโกฯ ก็ดี ให้เป็นอานิสงส์กับตัวของเราค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: เพราะงั้นต้องมีศรัทธา..ต้องมีความเชื่อความเลื่อมใสในการสวด ถึงจะเป็นอานิสงส์ในศรัทธาของเขาก่อน แต่บางคนเนี่ยนะ.. ต่างชาติต่างภาษา เขาไม่เข้าใจเลย ถ้าสวดไปนาน ๆ จะรู้เองนะ ถ้าเกิดสมาธิจะรู้ว่าเนี่ยแปลว่ากะไร มีคนทำได้เยอะ แต่คนเราสวดจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ไปมันจะได้อะไร บางคนเนี่ยรู้ว่าสวดพุทธคุณ สวดมนต์ล่ะก็ดี สวดไปมันก็ไม่ดีเพราะอะไร จิตไม่ถึง เข้าไม่ถึงธรรมะ ถ้าจิตมีศรัทธาเลื่อมใส สวดให้มันเข้าถึง ๑. เข้าถึง ๒. จะซึ้งใจ ๓. จะใฝ่ดี ๔. จะมีสัจจะ พูดจริงทำจริงเลยเนี่ยนะออกมาชัดเลย นี่อานิสงส์ มีสัจจะ แล้วก็จะมี กตัญญูกตเวทิตาธรรม รู้หน้าที่การงานของตน นี่สวดเข้าไม่ถึงเนี่ย มันจะไปรู้ได้ยังไงจะซึ้งใจไหม ไม่มีศรัทธาเลยสวดจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ เหมือนพ่อค้า แม่ค้าไปแลกเปลี่ยนของในตลาดกันได้เป็นธุรกิจ การสวดมนต์ไม่ใช่นักธุรกิจ สวดมนต์เนี่ยต้องการให้ระลึกถึงตัวเอง มีสติสัมปชัญญะให้สวดเข้าไปสวดไป พอถึงจิตถึงใจแล้ว เหมือนอย่างเนี้ยยกตัวอย่าง เขายังท่องไม่ได้ อ่านไปยังไม่เป็นสมาธิ อ่านไปอ่านให้ดัง ๆ คล่องปาก พอคล่องปากแล้วก็คล่องใจ พอคล่องใจแล้วติดใจแล้วมันก็เกิดสมาธิ นี่.. พอเกิดสมาธิจิตก็ถึง พอถึงหนักเข้าแล้วจะซึ้งใจ พอซึ้งใจแล้ว.. ซึ้งธรรม ซึ้งธรรมะมันจะใฝ่ดี<br /><br />พิธีกร: ที่ว่าจิตเป็นสมาธินี่ก็คือว่า จิตเป็นหนึ่ง<br />หลวงพ่อจรัญ: จิตเป็นหนึ่ง นั่นเอกัตคตา ถ้าหากว่าจิตยังวุ่นวายหรืออะไร สวดมั่งแล้วก็ไปทำงานบ้างไม่ได้ผล<br /><br />พิธีกร: ในลักษณะนี้หลวงพ่อขา การที่สวดมนต์เนี่ยนะคะ พอจิตเป็นหนึ่งแล้วเนี่ย ก็มีคุณค่าเท่ากับทำสมาธิเหมือนกัน<br />หลวงพ่อจรัญ: ใช้ได้ ใช้ได้ นี่คือสมาธิ การสวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ทาไปก่อน สวดไปก่อน สวดแล้วเนี่ยมันซึ้งใจ จะเป็นต่างชาติ ต่างภาษา คนจีนหรือคนฝรั่งเขานิยมเนี่ย เขาสวดโดยไม่รู้เรื่อง แต่สวดไปสวดไปเกิดสมาธิน่ะสิ เกิดสมาธิเกิดจิตสำนึกเกิดหน้าที่การงาน และการงานนั่นคือกรรมฐานอันหนึ่ง เรียกว่าภาวนา สวดมนต์ เป็นภาวนา<br /><br />พิธีกร: แล้วหลวงพ่อจะให้ลูกสวดสักกี่จบคะ เห็นบอกว่าให้สวด เท่าอายุบวกกับหนึ่งหรือคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: คืออย่างนี้ ขอเจริญพร ที่ว่าให้ว่าสวดเท่าอายุนี่ หมายความว่าอายุเท่าไหร่ ๒๐ ถ้าเราสวดแค่ ๑๐ เดียว มันก็ไม่เท่าอายุ สวดไปเนี่ยเท่าอายุก่อนนะมันคุมให้มีสติ แล้วก็เกินหนึ่งเพราะอะไร ที่พูดเกิน หนึ่งเนี่ยหมายความคนมักง่ายมักได้ คือมันมีเวลาน้อย ถ้าสวดแค่เกินหนึ่ง ทำอะไรให้มันเกินไว้ เหมือนคุณโยมเนี่ยไปค้าขาย ยังไม่ได้ขายได้สักกะตังค์เลย จะเอาอะไรไปให้ทาน ยังไม่ได้กำไรเลยต้องให้ตัวเองก่อนนะ นี่ต้องค้าขายต้องลงทุนนี่ ต้องลงทุนก็สวดไป แต่สวดมากเท่าไรยิ่งดีมาก ได้มีสมาธิมาก แต่อาตมาที่พูดไว้คือคนมันไม่มีเวลา ก็เอาเกินหนึ่งได้ไหม เกินหนึ่งได้ก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเกินถึง ๑๐๘ ได้ไหม ยิ่งดีใหญ่ ทำให้เกิด สมาธิสูงขึ้น<br /><br />พิธีกร: อันนี้หมายถึง สวดทั้งบทพุทธคุณ บทพาหุงฯ และก็บทมหาการุณิโกฯ<br />หลวงพ่อจรัญ: คืออย่างนี้ขอเจริญพร เพื่อต้องการอย่างนี้ เอาพุทธคุณ เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ ก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ หนึ่งจบแล้วใช่ไหม แล้วก็ย้อนมาพุทธคุณห้องเดียวเท่าอายุเกินหนึ่ง เนี่ยบางคนไม่เข้าใจเยอะ เลยไปเห็นว่า เอ้ยต้องสวดพาหุงฯ ด้วย ต้องเท่าอายุ เลยเลิกเลย ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ... จึงเลิกไป เลยทิ้งไปเลย หาว่ายาว ยาวอะไร เวลาไปนั่งแบะแซะดูทีวีไปนั่งโกหกมดเท็จเขาน่ะ ไม่ยาวเหรอ สร้างความดีน่ะนิดเดียว เวลาพระเทศน์น่ะ นี่พระเดชพระคุณเทศน์แค่ ๕ นาทีพอแล้ว เดี๋ยวผมจะไปรับแขก สร้างความดีนิดเดียว แล้วความไม่ดีมากกว่า บวกลบ คูณหารคอมพิวเตอร์จะตีมาว่ายังไงครับ จะตีออกมาแบบไหน ตีลบหรือตีบวกกันแน่ ขอเจริญพรอย่างนี้<br /><br />พิธีกร: เรื่องคาถาพระชินบัญชร เห็นคนสมัยนี้นิยมสวดกันมาก มีความเกี่ยวข้องอย่างไร กับที่เราจะสวดพุทธคุณกับพาหุงฯ ไหมคะ แล้วก็มีที่มาอย่างไร<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพรอย่างนี้นะ ส่วนมากจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ นิยมสวดชินบัญชรกันมาก แต่อย่าลืมว่าชินบัญชรนี่สมเด็จโต ท่านสวดบูชาพระอรหันต์ชั้นสูง แล้วเรายังไม่ได้ชั้นอะไร พุทธคุณสักข้อก็ไม่มี ธรรมะข้อเดียวไม่มีไปสวด อย่างคุณโยมนี่สมมุติยังไม่ได้ชั้นมัธยมเลย ขึ้นมหาวิทยาลัยเลยได้เหรอ ยังไม่ได้เลยต้องเอาไว้ก่อน ขั้นต้นของบันไดหญ้าปากคอก ต้องมีคุณพระพุทธเจ้าไว้ในใจ มีพระธรรมคุณ สังฆคุณ เรียกว่าพระรัตนตรัยยึดเหนี่ยวทางใจก่อน แล้วค่อยไปสวด อันโน้นน่ะได้ผลแน่ ถ้ายังไม่มีอะไรเลยพื้นฐานอะไรเลย สวดชินบัญชรสวดกันมาก แล้วก็ไม่ได้ผล สวดไม่ได้ผลแล้วก็มาว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าคนไหนมีธรรมะหรือบูชาพระอรหันต์ บูชาพระพุทธเจ้าได้แล้ว สวดได้แน่ ดีด้วย แต่ยังไม่รู้เรื่องเลย ก.ไก่ ก็ยังไม่รู้เรื่องเลยขึ้นมัธยมแล้ว ประถมยังไม่ผ่าน แล้วก็มัธยมไม่ผ่านผ่าเสือกไปมหาลัยเลย..ใช้ได้เหรอ แต่อาตมาว่าดีทั้งหมด ชินบัญชรก็ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่สมเด็จโตท่านบูชาพระอรหันต์ ท่าน ธรรมชั้นสูง<br /><br />พิธีกร: อยากให้หลวงพ่อเล่าเรื่องลุงพัดน่ะค่ะ ว่าลุงพัดเขาสวดพุทธคุณ แล้วเขารักษาตัวเค้าเองได้อย่างไรคะ ลุงพัดที่ว่าเป็นอัมพาตค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพร คุณโยมถามดีมาก เป็นเรื่องจริงที่ผ่านมาในกฎแห่งกรรม ลุงพัดอายุ ๗๐ เศษ แต่อาตมาจำเศษไม่ได้ แกเป็นอัมพาตแล้วต้องให้ลูกให้หลาน ต้องมาเช็ดก้นเช็ดตูด เดินไม่ได้ นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง แล้วก็เสียใจ คิดกินยาตาย กินยาตายก็ให้พวกเด็ก ๆ หรือลูกหลานหรือใครก็ไม่ทราบล่ะ ไปซื้อยา ยากะโหลกไขว้น่ะ ยาที่กินแล้วตายน่ะ เอามาจะกิน เลยครูอ่อนจันทร์ครูโรงเรียนทั้งผัวเมีย ก็ได้ข่าวบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็ไปเยี่ยมลุงพัด ไปเยี่ยมลุงพัดแล้วก็ถาม บอกลุง..ทำไมถึงกินยาตายล่ะลุง ลุงก็เป็นทายก แล้วก็เป็นผู้เสียสละเป็นนักธรรมะธัมโม แล้วจะกินยาตายด้วยประโยชน์อันใด ลุงพัดก็แก้ปัญหา บอกว่า ครู...ผมน่ะ ก็แก่แล้ว แล้วก็ลูกต้องมาเอาใจใส่หลานต้องมาดูแล จะไปโรงเรียนก็เสียเวลาเขา ต้องมานั่งเช็ดก้นเช็ดตูด แล้วมาป้อนข้าวผมเนี่ย เกรงใจ ลูกหลาน ผมตายเสียดีกว่า เลยครูอ่อนจันทร์ก็พูด อ้อนวอนว่า ลุง.. อย่าตายเลย ตายเป็นบาป..ลุงก็ทราบ แต่เราเกรงใจหลาน เขาต้องมานั่งดูแลเรา กลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาเช็ดก้นเช็ดตูด ต้องมาปฏิบัตินะ ต้องมาป้อนข้าว เลยก็ลุงก็อยากจะกินยาตายให้มันหมดสิ้นไป ลุงอย่าเพิ่งกินเลยสวดมนต์เถอะ สวดมนต์อะไรเล่า สวดพุทธคุณ ของหลวงพ่อวัดอัมพวัน ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ<br /><br />อ๋อ ลุงได้ แล้ว แต่ไม่ได้สวดเลยตาลุงก็เอ้าหันเหเร่ทิศตามครูอ่อนจันทร์ ที่เขาเคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ไง เลยก็สวด สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ แล้วก็สวดพุทธคุณเท่าอายุ ๗๐ เศษ เศษเท่าไร อาตมาจำไม่ได้ สวดไปแล้วหายใจยาว ๆ เจริญกรรมฐานไปด้วย ตาลุงนี่ก็เกิดปฏิกิริยาปวด ไปเรียกครูอ่อนจันทร์มา ปวดจัง ปวดจัง ขอเจริญพรคุณโยม ถ้าเป็นอัมพาตถ้าปวดต้องหายทุกราย ถ้าไม่ปวดไม่มีทางหาย เลยก็ลุงก็ปวดหนักเข้า ๆ ลุกนั่งดะแล้ว สรุปใจความว่าเดินได้ เดินได้ถีบจักรยานได้เลย และเป็นตัวตุ๊ย* ไปเลย เป็นพระเอกในเมืองหนองคายไป เลยก็ไปสอน บัดนี้บวชแล้ว ขี่จักรยานก็ได้ไปไหนก็ได้ เลยก็สอนเรื่องพาหุงมหากาฯ สวดกันใหญ่ <br /><br />พิธีกร: แต่ตอนนั้นไม่ได้มาหาหลวงพ่อนะคะ เพียงแต่ปฏิบัติตาม เท่านั้นเอง<br />หลวงพ่อจรัญ: ไม่ได้มา ไม่ได้มา ปฏิบัติตามเหมือนคุณตะกี้นี้ไง ได้แต่ปฏิบัติตามอย่างนั้น เลยก็สวดใหญ่เลย สวดใหญ่เลยก็เป็นหมอเอกไปเลย<br /><br />พิธีกร: อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณนี่นะคะ ได้แก่ตัวเราคนเดียว ทำให้คนอื่นได้ไหมคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ได้ สวดพุทธคุณเนี่ย อาตมาไปเห็นโยมแก่คนหนึ่งที่ สุพรรณบุรีนะ อายุ ๙๐ กว่า ไม่มีครอบครัวนะ อาตมาไปได้ตัวอย่างมา มีกับข้าวบริบูรณ์เลยอาตมาเอาแล่นเรือยนต์ไป พระตั้งหลายองค์แล้ว ก็ฆราวาสอีก ๘ แกไม่มีหม้อข้าวหม้อเตาไฟเลยนะ บอกนิมนต์ฉันเพล เราบอก เอ้ย ยายแก่นี่โกหกเราแล้ว เราจำเป็นเหลือ ๑๐ นาทีจะเพลแล้ว จะไปตลาดซื้อไม่ทันก็จอดเรือเข้าไปที่แพแก อายุมากแล้วสวยด้วย เดี๋ยวเพล ตึง ตึง ตึง กับข้าวมาเต็มเลย มาเต็มเลยอาตมายังจำได้ อ้าว คนนั้นส่งมาถ้วย แก.. อิติปิ โส ภควา อะระหังสัมมา สัมพุทโธวิชชา... แล้วแกก็เท ถ่ายแล้ว อิติปิ โส ภควา... จบแล้วก็บอกนี่เอาไปฝากแม่เธอด้วย ถาม อาตมาถามว่า ยาย...ทำไมต้องสวดสองหน อิ...(อิติปิโส) หนนึงเราต้องเอาก่อน อิ...(อิติปิโส) หนนี้ไปให้เขา ได้แน่ ได้แน่ ๆ นี่มันมีประโยชน์อยู่ นี่อาตมาก็จำไว้<br /><br />พิธีกร: อ๋อ หมายถึงว่าหลวงพ่อได้ฉันอาหารจากคุณยายคนนี้ ในลักษณะ อย่างนี้เหรอคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: เนี่ยกับข้าวเยอะเลย ถามบอก..ยายนี่มาไงกันเนี่ย แล้วก็ยายมีลูกไหม ฉันไม่มีครอบครัว มีนาอยู่เจ็ดแปดร้อยไร่ยกให้วัดและก็ยกให้เด็ก ๆ บ้านนี้หมด แล้วเขาก็มาปฏิบัติมานอนด้วยซักผ้าซักผ่อนให้ด้วย ขอเจริญพรพูดนอกนิดนึง บางคนเนี่ยกลัวไม่มีลูกมาปฏิบัติ มีลูกตั้งแปดเก้าคนไม่เคยมาเช็ดก้นเช็ดตูดเลยนะ เพราะเป็นเวรกรรมของแม่ไม่เคยทำต่อเนื่องกันมา แต่คุณยายเนี่ยไม่มีลูกไม่มีผัว นี่ขอพูดอย่างชาวบ้านนอก แต่มีคนปฏิบัติทั้งแถวเลย แล้วกลางคืนมีคนมานอน แล้วเสื้อผ้าซักรีดให้เสร็จแต่กับข้าวไม่มีเลย แต่ถึงเวลาเต็มเลย คนละถ้วยใช่ไหมทั้งแถวเลย เนี่ยแล้วแกก็ทำอย่างเนี๊ย ถามบอก ยาย..ทำไมต้องสวดสองหน อิ...(อิติปิโส) หนนึงเราต้องเอาไว้ก่อน เราต้องเอาเป็นบุญก่อน อิ...(อิติปิโส) หนที่สองเป็นกำไรให้เขาไป นี่อาตมาจำซึ้งมาแล้วก็ใช้ได้ผลอย่างนี้ ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: หลวงพ่อขาอานิสงส์ของพุทธคุณในการที่จะรักษาไข้เนี่ยนะคะ นอกจากจะรักษาไข้แล้วนี่ ยังเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ไหมคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากมาย เด็ก..ที่จะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยและฝรั่งมังค่าก็ตามนะ สวดเท่าอายุเกินหนึ่ง แล้วก็พาหุงมหากาฯ เข้าไว้ แล้วก็สวดเกินหนึ่งไป สอบไม่เคยตก นี่อานิสงส์สำหรับเด็ก สวดเข้ามันมีปัญญา มันมีปัญญามันมีความคิด และสามารถผจญมารได้ทุก ๆ บท ดีอย่างนี้ดีสำหรับเด็ก ให้เด็กสวดไว้ กล้ารับรองว่าเด็กเกเรเกเสน่ะพ่อแม่เอาใจใส่ลูกเป็นกรณีพิเศษ ให้ลูกสวดมนต์ไหว้พระไว้แล้ว ก็ไปสวดเท่าอายุ ไม่เคยพลาดเลยไปสอบไม่เคยตก ไปสอบสัมภาษณ์อะไรก็ไม่เคยตก ไปเมืองสหรัฐอเมริกาหรือไปกรุงปารีสไม่เคยตก ที่เป็นด๊อกเตอร์มานี่เขาสวดกัน ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: สำหรับคนที่อยากจะสวดพุทธคุณนะคะ แต่ยังไม่ได้รู้เบื้องต้นเลยนี่นะคะ หลวงพ่อจะกรุณาแนะนำอย่างไรบ้างคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ได้ได้ ถ้ายังไม่รู้อะไรเลยนะ ถ้าขอให้มีศรัทธาหน่อย มั่นใจหน่อย เพราะว่าศาสนาเนี่ยต้องการจะให้มีศรัทธาและมั่นใจ ถ้ามั่นใจเป็นตัวของตัวเองขึ้นมานะ อ่านไปก่อน จะขี้เกียจท่องอ่านทุกวัน เดี๋ยวมันจำได้ พอจำได้จิตมันเป็นสมาธิ เอกัตคตา ได้ผลตอนนั้น ได้ผลแน่ ๆ บอกขอให้ทำเถอะ สวดดีกว่าไม่สวด ดีกว่าไปเที่ยวเล่นชมวิวชมอะไร ไปช้อปปิ้งกันเสียเวลา ขอเจริญพรอย่างนี้<br /><br />หมายเหตุ ตัวตุ๊ยที่หลวงพ่อพูดถึงนั้น คือ ตัวตลก ในการสวดคฤหัสถ์ มีหน้าที่สร้างความขบขัน ความสนุกสนานให้แก่ผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นการพูดขัดแย้งหรือแสดงโลดโผนใด ๆ กับผู้สวดคนอื่น ๆ ที่มีทั้งหมด ๔ คนก็ได้ เพียงแต่ให้อยู่ในแบบแผนรักษาแนวทางมิให้ออกนอกลู่นอกทางไปเท่านั้น<br /><br />จากบทสัมภาษณ์ในรายการ “ชีวิตไม่สิ้นหวัง” ทางช่อง ๓<br />*บทความนี้ถอดตรงตามภาษาพูด จากบทสัมภาษณ์ ควรฟังจากเสียงธรรมะบรรยายอีกครั้งหนึ่ง<br /><br />ท่านสามารถรับฟังเสียงธรรมบรรยายได้ที่<br />ถามตอบเรื่องการสวดมนต์ โดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ ตอนที่ 1<br />ถามตอบเรื่องการสวดมนต์ โดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ ตอนที่ 2Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-38527881087179448392009-06-05T11:20:00.000+07:002009-06-05T11:21:02.484+07:00ถามตอบเรื่องการสวดมนต์พิธีกร: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: วันนี้ลูกอยากเรียนถามหลวงพ่อว่าการสวดพุทธคุณหมายความ ว่าอย่างไรค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพรพุทธคุณหมายความว่ากระไร พุทธคุณมีมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวพุทธคุณมันเรียกรวมกันเรียกพุทธคุณ ถ้าจะเรียกให้ครบถ้วนก็เรียกว่าไตรรัตน์ รัตนตรัย คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อยู่รวมกันเป็นพุทธคุณ เป็นอำนาจของพุทธคุณ อำนาจของพระพุทธเจ้า แต่ที่ว่าสวดพุทธคุณอานิสงส์หรืออะไรก็ตามมีความหมายยังไง มีความหมายมานานแล้วคนไทยชาวพุทธไม่ได้ศึกษา มาที่วัดกันเยอะแยะ อาตมาบอกว่าโยมไม่สบายใจสวดพุทธคุณสิ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ สวดพุทธคุณ ยาว.. ยาว... ไม่สวด แต่เสียใจด้วย สร้างความดี ยาว... สร้างความดีนิดเดียว ไปสร้างความ ชั่วยาวกว่าความดี มันจะไปกันได้หรือ ไปไม่ได้<br /><br />พุทธคุณนี่คือคุณพระพุทธเจ้า เอาคุณพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ มีมานานแล้ว พระธรรมคุณ ก็หมายความว่าเอาธรรมะมาไว้ในใจ ปฏิบัติ สังฆคุณ ปฏิบัติได้แล้ว คือสังฆะแปลว่าสามัคคี กายสามัคคี จิตสามัคคี มีรูปแบบดีเป็นพฤติกรรม แสดงออกประพฤติดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ก็สอนตัวเองได้สอนคนอื่นต่อไปเรียกว่าสังฆคุณ พุทธคุณนี่ก็หมายความว่าเอาคุณพระพุทธเจ้า มาไว้ในใจ คุณพระพุทธเจ้าคืออะไร มี ๓ ประการทุกท่าน<br /><br />๑. พระปัญญาคุณ ๒. พระวิสุทธิคุณ ๓. พระมหากรุณาธิคุณ<br /><br />แต่ถ้าจะตีความให้ชัด เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ ว่าพุทธคุณเนี่ยคุณพระพุทธเจ้า ปัญญาคุณหมายความว่าไร คนไทยชาวพุทธไม่เข้าใจเยอะ ปัญญาเกิด ๓ ทาง ทางที่ ๑ คือ สุตะมยปัญญา แปลว่าสดับตรับฟัง สดับตรับฟัง ต้องมีครรลอง ๕ ประการ ๑. ศรัทธาฟัง ๒. สนใจฟัง ๓. จดหัวข้อไว้ ๔. ทบทวน ๕. ปฏิบัติทันทีอย่ารอรีแต่ประการใด เกิดปัญญาในการฟัง เดี๋ยวนี้ไปฟังเป็นนักเรียนก็ตาม ฟังหลับ แล้วก็ญาติโยมฟังเทศน์ก็หลับ นี่มันมีศรัทธาฟังไหม ไม่สนใจฟังเลย ไม่จดหัวข้อไว้ ไม่เกิดปัญญา ในการฟัง ๒. ก็ยัง ยังไม่ครรลอง ยังไม่เต็มคราบ ยังไม่เข้าจุด ต้องมี จินตามยปัญญา ต้องเอาฟังแล้วเนี่ยเอาไปคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ ริเริ่มดำเนินงานทันทีอย่ารอรีแต่ประการใดถึงจะเกิดปัญญา ถ้าฟังแล้วเอาไปทิ้ง มันไม่เกิดปัญญาจะไม่ได้คิดไม่ได้ริเริ่ม จึงเรียกว่าความคิด มันเกิดปัญญา เดี๋ยวนี้มีคนความรู้มากเป็นด๊อกเตอร์ก็เยอะ แต่ไม่มีความคิดอยู่ ประการที่ ๓ สู้ประการที่ ๓ ไม่ได้ ภาวนามยปัญญา สวดมนต์ไหว้พระ สวดมนต์ไหว้พระไว้ แล้วก็จะนึกถึงภาวนา เช่นเด็กดูหนังสือสามหนเรียกว่า ภาวนา ดูหนังสือหนเดียวเรียกว่าดูหนังสือพิมพ์ทิ้งขว้างไป ดูครั้งที่หนึ่ง หมายความว่า รู้นี่เรื่องพระเวสสันดร ยกตัวอย่าง ดูครั้งสองซ้ำไปมีกี่ตอน มีกี่กัณฑ์ ดูครั้งที่สามเนื้อหาสาระเป็นประการใด นี่เรียกว่าภาวนา<br /><br />ภาวนาแปลว่าอะไรอีก แปลว่า “สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน” ที่พูดมานานแล้ว ทำให้มันผุดขึ้นมาเอง และสามารถจะกำจัดความชั่วออกจากตัวได้ จึงเรียกว่าบริสุทธิ์ ในเมื่อเกิดบริสุทธิ์แล้ว บริสุทธิ์นี่ได้มาจากไหน ตีความต่อไป คนจะบริสุทธิ์ได้ก็ไม่เป็นคนหละหลวมเหลาะแหละเหลวไหลขึ้นห้วยลงเขา คนบริสุทธิ์นี่จะ คนมีจริงจัง จริงใจ ต่อตัวเอง จริงใจต่อคนอื่นเขา เรียกตีครรลองเป็นธรรมะให้เด็กเข้าใจ สัจจะ เมตตา สามัคคี มีวินัย ถึงจะบริสุทธิ์ได้ ถ้าไม่มีหลักสี่ประการเป็นการรับรองแล้ว คนนั้นไม่บริสุทธิ์และคนบริสุทธิ์แล้วที่มักจะมีเมตตา เรียกว่าพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่าพุทธคุณ นี่เอามาไว้ในใจ อย่างนี้ไง และธรรมคุณก็เช่นเดียวกัน พอมีพุทธคุณซะแล้ว ธรรมคุณมาเอง มีธรรมะมาเอง พอธรรมะมีแล้วพระสงฆ์มาเลยเรียกว่า พระรัตนตรัย ขอเจริญพร อย่างนี้ความหมาย ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: ประเด็นถัดมานะคะ สวดพาหุงฯ น่ะค่ะ มีความเกี่ยวเนื่องกันยังไงคะ ที่หลวงพ่อให้อุบาสกอุบาสิกาที่นี่สวดพาหุงฯ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพร ดีแล้ว ถามนี่ดีแล้วคนไม่เข้าใจเยอะ แล้วไปสวดอย่างอื่นกันลามปาม พาหุงมหากาฯ มันบทติดต่อกัน พาหุงฯ เนี่ยมันมีมานานแล้ว แต่เราก็ไม่ทราบต้นเหตุสาเหตุที่มันมาจากไหน ก็มี ในหนังสือสวดมนต์ก็เยอะแยะ คนเปิดข้ามหญ้าปากคอกแท้ ๆ พาหุงมหากาฯ ก็แปลว่าพระพุทธเจ้าพิชิตมาร เรียกว่าปางมารวิชัย ผจญมารมา ๘ บท อยู่ในนั้นเลยไปดูเอาหาดูได้ ผจญมาร พระพุทธเจ้า ชนะมารแล้ว เรียกว่าพาหุงมหากาฯ มหากาแปลว่าอะไร ชยันโตโพธิยาฯ ใช่ไหม สุนักขัตตัง สุมังคะลัง ทำดีตอนไหนได้ตอนนั้น “ฤกษ์” จึงเอามานิยมสวดมนต์ด้วยการเจิมป้าย และก็เปิดสำนักงานและก็วางศิลาฤกษ์ หมาย ความว่า (๑.) ฤกษ์คืออากาศดี (๒.) ยามแปลว่าเวลาว่าง ๓. เครื่องพร้อม ที่จะดำเนินงานได้ทันทีอย่ารอรีแต่ประการใด ถึงได้เริ่มดำเนินงานใด ๆ เรียกว่ามหากาฯ<br /><br />พาหุงฯ บทนี้คือพระพุทธเจ้าเราก่อนจะสำเร็จสัมโพธิญาณ พระองค์ผจญมารมาก มารมาผจญกับพระองค์มากมาย ใช่ว่าอธิบายทุกบททุกข้อ มันมี ๘ ข้อ แต่จะเสียเวลามากจะไม่สามารถจะจบในที่นี้ได้ ขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลายไปดูเอาในหนังสือสวดมนต์แปลในพาหุงมหากาฯ หรือ เรียกว่าฎีกาพาหุงฯ นี่อย่างนี้เป็นต้น<br /><br />แสดงว่าพระพุทธเจ้านั่งหลับตาก็ไปสู้มาร ไปต่อสู้กับมาร “มารไม่มีบารมีไม่เกิด ประเสริฐไม่ได้” พระองค์ผจญมารมาครบแล้วชนะรวด ชนะรวดเรียกว่าพาหุงฯ นี่ เรามีมานานแล้วแต่คนน่ะ ไม่สวดกัน ต้นสายปลายเหตุมาจากไหนเดี๋ยวค่อยถามทีหลัง บางคนไม่รู้จริง ๆ พาหุงมหากาฯ ไม่รู้เลย หญ้าปากคอกแท้ ๆ ข้ามไปหมด เราเนี่ย..เราเกิดมาเนี่ยขอฝาก ท่านนุ.. โยมด้วยว่า มารไม่มี บารมีไม่เกิด คนเกิดมาเนี่ยสร้างความดีต้องมีอุปสรรค ถ้าเป็นความชั่วจะไม่มีอุปสรรค มันจะไหลไปเลยนะ จะไหลไปเลยนะ คนเราเนี่ยไม่ตีความ ความชั่ว นี่มันก็ไหลไปเลยไม่มีใครมาขัดคอ ถ้าหากว่าท่านด็อกเตอร์สร้างความดีปั๊บมีคนขัดคอ มีมารผจญแล้ว ต้องสู้มารต่อไปคือขันติ ขันติความอดทนอดกลั้น อดออมประนีประนอมยอมความ ต้องตรากตรำลำบาก อดทนต่อการทำงาน อดทนต่อความเจ็บใจในสังคมด้วย นี่ถึงจะพ้นเรียกว่าพระพุทธเจ้าพ้นมาร แล้วก็ท่านเข้าสมาธิเดี๋ยวสาธิตให้ดู นั่งสมาธิหลับตามารมารอบด้าน มาทุกอย่างเลย จิญจมาณวิกาก็หาว่าพระพุทธเจ้าท้องกับเขา ท่านก็ไม่ว่า เอ้าแผ่เมตตาด้วย การสวดพาหุงฯ นี่ ท่านก็สวดไปสวดมาชนะ ชนะแล้วเนี่ย ชนะแล้ว สะดุ้งมาร เรียกว่าชนะเรียกปางมารวิชัย เนี่ยปางมารวิชัยชนะมารได้ นี่บทนี้ชนะมาร ถ้าบ้านสาธุชนได้สวดแล้วชนะมาร มารไม่มีบารมีไม่เกิด ถ้าคนไหนไม่มีมาร คนนั้นไม่มีบารมีนะ นี่ขอให้ท่านทั้งหลายไปตีความเอาเอง เพราะเวลามันจำกัด นี่พาหุงมหากาฯ เป็นอย่างนี้ ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: ทำยังไงคะ ที่จะสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นพุทธคุณก็ดีนะคะ พาหุงฯ ก็ดี มหาการุณิโกฯ ก็ดี ให้เป็นอานิสงส์กับตัวของเราค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: เพราะงั้นต้องมีศรัทธา..ต้องมีความเชื่อความเลื่อมใสในการสวด ถึงจะเป็นอานิสงส์ในศรัทธาของเขาก่อน แต่บางคนเนี่ยนะ.. ต่างชาติต่างภาษา เขาไม่เข้าใจเลย ถ้าสวดไปนาน ๆ จะรู้เองนะ ถ้าเกิดสมาธิจะรู้ว่าเนี่ยแปลว่ากะไร มีคนทำได้เยอะ แต่คนเราสวดจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ไปมันจะได้อะไร บางคนเนี่ยรู้ว่าสวดพุทธคุณ สวดมนต์ล่ะก็ดี สวดไปมันก็ไม่ดีเพราะอะไร จิตไม่ถึง เข้าไม่ถึงธรรมะ ถ้าจิตมีศรัทธาเลื่อมใส สวดให้มันเข้าถึง ๑. เข้าถึง ๒. จะซึ้งใจ ๓. จะใฝ่ดี ๔. จะมีสัจจะ พูดจริงทำจริงเลยเนี่ยนะออกมาชัดเลย นี่อานิสงส์ มีสัจจะ แล้วก็จะมี กตัญญูกตเวทิตาธรรม รู้หน้าที่การงานของตน นี่สวดเข้าไม่ถึงเนี่ย มันจะไปรู้ได้ยังไงจะซึ้งใจไหม ไม่มีศรัทธาเลยสวดจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ เหมือนพ่อค้า แม่ค้าไปแลกเปลี่ยนของในตลาดกันได้เป็นธุรกิจ การสวดมนต์ไม่ใช่นักธุรกิจ สวดมนต์เนี่ยต้องการให้ระลึกถึงตัวเอง มีสติสัมปชัญญะให้สวดเข้าไปสวดไป พอถึงจิตถึงใจแล้ว เหมือนอย่างเนี้ยยกตัวอย่าง เขายังท่องไม่ได้ อ่านไปยังไม่เป็นสมาธิ อ่านไปอ่านให้ดัง ๆ คล่องปาก พอคล่องปากแล้วก็คล่องใจ พอคล่องใจแล้วติดใจแล้วมันก็เกิดสมาธิ นี่.. พอเกิดสมาธิจิตก็ถึง พอถึงหนักเข้าแล้วจะซึ้งใจ พอซึ้งใจแล้ว.. ซึ้งธรรม ซึ้งธรรมะมันจะใฝ่ดี<br /><br />พิธีกร: ที่ว่าจิตเป็นสมาธินี่ก็คือว่า จิตเป็นหนึ่ง<br />หลวงพ่อจรัญ: จิตเป็นหนึ่ง นั่นเอกัตคตา ถ้าหากว่าจิตยังวุ่นวายหรืออะไร สวดมั่งแล้วก็ไปทำงานบ้างไม่ได้ผล<br /><br />พิธีกร: ในลักษณะนี้หลวงพ่อขา การที่สวดมนต์เนี่ยนะคะ พอจิตเป็นหนึ่งแล้วเนี่ย ก็มีคุณค่าเท่ากับทำสมาธิเหมือนกัน<br />หลวงพ่อจรัญ: ใช้ได้ ใช้ได้ นี่คือสมาธิ การสวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ทาไปก่อน สวดไปก่อน สวดแล้วเนี่ยมันซึ้งใจ จะเป็นต่างชาติ ต่างภาษา คนจีนหรือคนฝรั่งเขานิยมเนี่ย เขาสวดโดยไม่รู้เรื่อง แต่สวดไปสวดไปเกิดสมาธิน่ะสิ เกิดสมาธิเกิดจิตสำนึกเกิดหน้าที่การงาน และการงานนั่นคือกรรมฐานอันหนึ่ง เรียกว่าภาวนา สวดมนต์ เป็นภาวนา<br /><br />พิธีกร: แล้วหลวงพ่อจะให้ลูกสวดสักกี่จบคะ เห็นบอกว่าให้สวด เท่าอายุบวกกับหนึ่งหรือคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: คืออย่างนี้ ขอเจริญพร ที่ว่าให้ว่าสวดเท่าอายุนี่ หมายความว่าอายุเท่าไหร่ ๒๐ ถ้าเราสวดแค่ ๑๐ เดียว มันก็ไม่เท่าอายุ สวดไปเนี่ยเท่าอายุก่อนนะมันคุมให้มีสติ แล้วก็เกินหนึ่งเพราะอะไร ที่พูดเกิน หนึ่งเนี่ยหมายความคนมักง่ายมักได้ คือมันมีเวลาน้อย ถ้าสวดแค่เกินหนึ่ง ทำอะไรให้มันเกินไว้ เหมือนคุณโยมเนี่ยไปค้าขาย ยังไม่ได้ขายได้สักกะตังค์เลย จะเอาอะไรไปให้ทาน ยังไม่ได้กำไรเลยต้องให้ตัวเองก่อนนะ นี่ต้องค้าขายต้องลงทุนนี่ ต้องลงทุนก็สวดไป แต่สวดมากเท่าไรยิ่งดีมาก ได้มีสมาธิมาก แต่อาตมาที่พูดไว้คือคนมันไม่มีเวลา ก็เอาเกินหนึ่งได้ไหม เกินหนึ่งได้ก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเกินถึง ๑๐๘ ได้ไหม ยิ่งดีใหญ่ ทำให้เกิด สมาธิสูงขึ้น<br /><br />พิธีกร: อันนี้หมายถึง สวดทั้งบทพุทธคุณ บทพาหุงฯ และก็บทมหาการุณิโกฯ<br />หลวงพ่อจรัญ: คืออย่างนี้ขอเจริญพร เพื่อต้องการอย่างนี้ เอาพุทธคุณ เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ ก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ หนึ่งจบแล้วใช่ไหม แล้วก็ย้อนมาพุทธคุณห้องเดียวเท่าอายุเกินหนึ่ง เนี่ยบางคนไม่เข้าใจเยอะ เลยไปเห็นว่า เอ้ยต้องสวดพาหุงฯ ด้วย ต้องเท่าอายุ เลยเลิกเลย ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ... จึงเลิกไป เลยทิ้งไปเลย หาว่ายาว ยาวอะไร เวลาไปนั่งแบะแซะดูทีวีไปนั่งโกหกมดเท็จเขาน่ะ ไม่ยาวเหรอ สร้างความดีน่ะนิดเดียว เวลาพระเทศน์น่ะ นี่พระเดชพระคุณเทศน์แค่ ๕ นาทีพอแล้ว เดี๋ยวผมจะไปรับแขก สร้างความดีนิดเดียว แล้วความไม่ดีมากกว่า บวกลบ คูณหารคอมพิวเตอร์จะตีมาว่ายังไงครับ จะตีออกมาแบบไหน ตีลบหรือตีบวกกันแน่ ขอเจริญพรอย่างนี้<br /><br />พิธีกร: เรื่องคาถาพระชินบัญชร เห็นคนสมัยนี้นิยมสวดกันมาก มีความเกี่ยวข้องอย่างไร กับที่เราจะสวดพุทธคุณกับพาหุงฯ ไหมคะ แล้วก็มีที่มาอย่างไร<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพรอย่างนี้นะ ส่วนมากจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ นิยมสวดชินบัญชรกันมาก แต่อย่าลืมว่าชินบัญชรนี่สมเด็จโต ท่านสวดบูชาพระอรหันต์ชั้นสูง แล้วเรายังไม่ได้ชั้นอะไร พุทธคุณสักข้อก็ไม่มี ธรรมะข้อเดียวไม่มีไปสวด อย่างคุณโยมนี่สมมุติยังไม่ได้ชั้นมัธยมเลย ขึ้นมหาวิทยาลัยเลยได้เหรอ ยังไม่ได้เลยต้องเอาไว้ก่อน ขั้นต้นของบันไดหญ้าปากคอก ต้องมีคุณพระพุทธเจ้าไว้ในใจ มีพระธรรมคุณ สังฆคุณ เรียกว่าพระรัตนตรัยยึดเหนี่ยวทางใจก่อน แล้วค่อยไปสวด อันโน้นน่ะได้ผลแน่ ถ้ายังไม่มีอะไรเลยพื้นฐานอะไรเลย สวดชินบัญชรสวดกันมาก แล้วก็ไม่ได้ผล สวดไม่ได้ผลแล้วก็มาว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าคนไหนมีธรรมะหรือบูชาพระอรหันต์ บูชาพระพุทธเจ้าได้แล้ว สวดได้แน่ ดีด้วย แต่ยังไม่รู้เรื่องเลย ก.ไก่ ก็ยังไม่รู้เรื่องเลยขึ้นมัธยมแล้ว ประถมยังไม่ผ่าน แล้วก็มัธยมไม่ผ่านผ่าเสือกไปมหาลัยเลย..ใช้ได้เหรอ แต่อาตมาว่าดีทั้งหมด ชินบัญชรก็ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่สมเด็จโตท่านบูชาพระอรหันต์ ท่าน ธรรมชั้นสูง<br /><br />พิธีกร: อยากให้หลวงพ่อเล่าเรื่องลุงพัดน่ะค่ะ ว่าลุงพัดเขาสวดพุทธคุณ แล้วเขารักษาตัวเค้าเองได้อย่างไรคะ ลุงพัดที่ว่าเป็นอัมพาตค่ะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ขอเจริญพร คุณโยมถามดีมาก เป็นเรื่องจริงที่ผ่านมาในกฎแห่งกรรม ลุงพัดอายุ ๗๐ เศษ แต่อาตมาจำเศษไม่ได้ แกเป็นอัมพาตแล้วต้องให้ลูกให้หลาน ต้องมาเช็ดก้นเช็ดตูด เดินไม่ได้ นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง แล้วก็เสียใจ คิดกินยาตาย กินยาตายก็ให้พวกเด็ก ๆ หรือลูกหลานหรือใครก็ไม่ทราบล่ะ ไปซื้อยา ยากะโหลกไขว้น่ะ ยาที่กินแล้วตายน่ะ เอามาจะกิน เลยครูอ่อนจันทร์ครูโรงเรียนทั้งผัวเมีย ก็ได้ข่าวบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็ไปเยี่ยมลุงพัด ไปเยี่ยมลุงพัดแล้วก็ถาม บอกลุง..ทำไมถึงกินยาตายล่ะลุง ลุงก็เป็นทายก แล้วก็เป็นผู้เสียสละเป็นนักธรรมะธัมโม แล้วจะกินยาตายด้วยประโยชน์อันใด ลุงพัดก็แก้ปัญหา บอกว่า ครู...ผมน่ะ ก็แก่แล้ว แล้วก็ลูกต้องมาเอาใจใส่หลานต้องมาดูแล จะไปโรงเรียนก็เสียเวลาเขา ต้องมานั่งเช็ดก้นเช็ดตูด แล้วมาป้อนข้าวผมเนี่ย เกรงใจ ลูกหลาน ผมตายเสียดีกว่า เลยครูอ่อนจันทร์ก็พูด อ้อนวอนว่า ลุง.. อย่าตายเลย ตายเป็นบาป..ลุงก็ทราบ แต่เราเกรงใจหลาน เขาต้องมานั่งดูแลเรา กลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาเช็ดก้นเช็ดตูด ต้องมาปฏิบัตินะ ต้องมาป้อนข้าว เลยก็ลุงก็อยากจะกินยาตายให้มันหมดสิ้นไป ลุงอย่าเพิ่งกินเลยสวดมนต์เถอะ สวดมนต์อะไรเล่า สวดพุทธคุณ ของหลวงพ่อวัดอัมพวัน ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ<br /><br />อ๋อ ลุงได้ แล้ว แต่ไม่ได้สวดเลยตาลุงก็เอ้าหันเหเร่ทิศตามครูอ่อนจันทร์ ที่เขาเคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ไง เลยก็สวด สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ แล้วก็สวดพุทธคุณเท่าอายุ ๗๐ เศษ เศษเท่าไร อาตมาจำไม่ได้ สวดไปแล้วหายใจยาว ๆ เจริญกรรมฐานไปด้วย ตาลุงนี่ก็เกิดปฏิกิริยาปวด ไปเรียกครูอ่อนจันทร์มา ปวดจัง ปวดจัง ขอเจริญพรคุณโยม ถ้าเป็นอัมพาตถ้าปวดต้องหายทุกราย ถ้าไม่ปวดไม่มีทางหาย เลยก็ลุงก็ปวดหนักเข้า ๆ ลุกนั่งดะแล้ว สรุปใจความว่าเดินได้ เดินได้ถีบจักรยานได้เลย และเป็นตัวตุ๊ย* ไปเลย เป็นพระเอกในเมืองหนองคายไป เลยก็ไปสอน บัดนี้บวชแล้ว ขี่จักรยานก็ได้ไปไหนก็ได้ เลยก็สอนเรื่องพาหุงมหากาฯ สวดกันใหญ่ <br /><br />พิธีกร: แต่ตอนนั้นไม่ได้มาหาหลวงพ่อนะคะ เพียงแต่ปฏิบัติตาม เท่านั้นเอง<br />หลวงพ่อจรัญ: ไม่ได้มา ไม่ได้มา ปฏิบัติตามเหมือนคุณตะกี้นี้ไง ได้แต่ปฏิบัติตามอย่างนั้น เลยก็สวดใหญ่เลย สวดใหญ่เลยก็เป็นหมอเอกไปเลย<br /><br />พิธีกร: อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณนี่นะคะ ได้แก่ตัวเราคนเดียว ทำให้คนอื่นได้ไหมคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ได้ สวดพุทธคุณเนี่ย อาตมาไปเห็นโยมแก่คนหนึ่งที่ สุพรรณบุรีนะ อายุ ๙๐ กว่า ไม่มีครอบครัวนะ อาตมาไปได้ตัวอย่างมา มีกับข้าวบริบูรณ์เลยอาตมาเอาแล่นเรือยนต์ไป พระตั้งหลายองค์แล้ว ก็ฆราวาสอีก ๘ แกไม่มีหม้อข้าวหม้อเตาไฟเลยนะ บอกนิมนต์ฉันเพล เราบอก เอ้ย ยายแก่นี่โกหกเราแล้ว เราจำเป็นเหลือ ๑๐ นาทีจะเพลแล้ว จะไปตลาดซื้อไม่ทันก็จอดเรือเข้าไปที่แพแก อายุมากแล้วสวยด้วย เดี๋ยวเพล ตึง ตึง ตึง กับข้าวมาเต็มเลย มาเต็มเลยอาตมายังจำได้ อ้าว คนนั้นส่งมาถ้วย แก.. อิติปิ โส ภควา อะระหังสัมมา สัมพุทโธวิชชา... แล้วแกก็เท ถ่ายแล้ว อิติปิ โส ภควา... จบแล้วก็บอกนี่เอาไปฝากแม่เธอด้วย ถาม อาตมาถามว่า ยาย...ทำไมต้องสวดสองหน อิ...(อิติปิโส) หนนึงเราต้องเอาก่อน อิ...(อิติปิโส) หนนี้ไปให้เขา ได้แน่ ได้แน่ ๆ นี่มันมีประโยชน์อยู่ นี่อาตมาก็จำไว้<br /><br />พิธีกร: อ๋อ หมายถึงว่าหลวงพ่อได้ฉันอาหารจากคุณยายคนนี้ ในลักษณะ อย่างนี้เหรอคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: เนี่ยกับข้าวเยอะเลย ถามบอก..ยายนี่มาไงกันเนี่ย แล้วก็ยายมีลูกไหม ฉันไม่มีครอบครัว มีนาอยู่เจ็ดแปดร้อยไร่ยกให้วัดและก็ยกให้เด็ก ๆ บ้านนี้หมด แล้วเขาก็มาปฏิบัติมานอนด้วยซักผ้าซักผ่อนให้ด้วย ขอเจริญพรพูดนอกนิดนึง บางคนเนี่ยกลัวไม่มีลูกมาปฏิบัติ มีลูกตั้งแปดเก้าคนไม่เคยมาเช็ดก้นเช็ดตูดเลยนะ เพราะเป็นเวรกรรมของแม่ไม่เคยทำต่อเนื่องกันมา แต่คุณยายเนี่ยไม่มีลูกไม่มีผัว นี่ขอพูดอย่างชาวบ้านนอก แต่มีคนปฏิบัติทั้งแถวเลย แล้วกลางคืนมีคนมานอน แล้วเสื้อผ้าซักรีดให้เสร็จแต่กับข้าวไม่มีเลย แต่ถึงเวลาเต็มเลย คนละถ้วยใช่ไหมทั้งแถวเลย เนี่ยแล้วแกก็ทำอย่างเนี๊ย ถามบอก ยาย..ทำไมต้องสวดสองหน อิ...(อิติปิโส) หนนึงเราต้องเอาไว้ก่อน เราต้องเอาเป็นบุญก่อน อิ...(อิติปิโส) หนที่สองเป็นกำไรให้เขาไป นี่อาตมาจำซึ้งมาแล้วก็ใช้ได้ผลอย่างนี้ ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: หลวงพ่อขาอานิสงส์ของพุทธคุณในการที่จะรักษาไข้เนี่ยนะคะ นอกจากจะรักษาไข้แล้วนี่ ยังเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ไหมคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากมาย เด็ก..ที่จะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยและฝรั่งมังค่าก็ตามนะ สวดเท่าอายุเกินหนึ่ง แล้วก็พาหุงมหากาฯ เข้าไว้ แล้วก็สวดเกินหนึ่งไป สอบไม่เคยตก นี่อานิสงส์สำหรับเด็ก สวดเข้ามันมีปัญญา มันมีปัญญามันมีความคิด และสามารถผจญมารได้ทุก ๆ บท ดีอย่างนี้ดีสำหรับเด็ก ให้เด็กสวดไว้ กล้ารับรองว่าเด็กเกเรเกเสน่ะพ่อแม่เอาใจใส่ลูกเป็นกรณีพิเศษ ให้ลูกสวดมนต์ไหว้พระไว้แล้ว ก็ไปสวดเท่าอายุ ไม่เคยพลาดเลยไปสอบไม่เคยตก ไปสอบสัมภาษณ์อะไรก็ไม่เคยตก ไปเมืองสหรัฐอเมริกาหรือไปกรุงปารีสไม่เคยตก ที่เป็นด๊อกเตอร์มานี่เขาสวดกัน ขอเจริญพร<br /><br />พิธีกร: สำหรับคนที่อยากจะสวดพุทธคุณนะคะ แต่ยังไม่ได้รู้เบื้องต้นเลยนี่นะคะ หลวงพ่อจะกรุณาแนะนำอย่างไรบ้างคะ<br />หลวงพ่อจรัญ: ได้ได้ ถ้ายังไม่รู้อะไรเลยนะ ถ้าขอให้มีศรัทธาหน่อย มั่นใจหน่อย เพราะว่าศาสนาเนี่ยต้องการจะให้มีศรัทธาและมั่นใจ ถ้ามั่นใจเป็นตัวของตัวเองขึ้นมานะ อ่านไปก่อน จะขี้เกียจท่องอ่านทุกวัน เดี๋ยวมันจำได้ พอจำได้จิตมันเป็นสมาธิ เอกัตคตา ได้ผลตอนนั้น ได้ผลแน่ ๆ บอกขอให้ทำเถอะ สวดดีกว่าไม่สวด ดีกว่าไปเที่ยวเล่นชมวิวชมอะไร ไปช้อปปิ้งกันเสียเวลา ขอเจริญพรอย่างนี้<br /><br />หมายเหตุ ตัวตุ๊ยที่หลวงพ่อพูดถึงนั้น คือ ตัวตลก ในการสวดคฤหัสถ์ มีหน้าที่สร้างความขบขัน ความสนุกสนานให้แก่ผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นการพูดขัดแย้งหรือแสดงโลดโผนใด ๆ กับผู้สวดคนอื่น ๆ ที่มีทั้งหมด ๔ คนก็ได้ เพียงแต่ให้อยู่ในแบบแผนรักษาแนวทางมิให้ออกนอกลู่นอกทางไปเท่านั้น<br /><br />จากบทสัมภาษณ์ในรายการ “ชีวิตไม่สิ้นหวัง” ทางช่อง ๓<br />*บทความนี้ถอดตรงตามภาษาพูด จากบทสัมภาษณ์ ควรฟังจากเสียงธรรมะบรรยายอีกครั้งหนึ่ง<br /><br />ท่านสามารถรับฟังเสียงธรรมบรรยายได้ที่<br />ถามตอบเรื่องการสวดมนต์ โดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ ตอนที่ 1<br />ถามตอบเรื่องการสวดมนต์ โดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ ตอนที่ 2Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-64895519587584048512009-06-05T11:19:00.000+07:002009-06-05T11:20:21.877+07:00ลำดับการสวดมนต์“พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดู เคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ บอกว่า โยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด “พาหุงมหากาฯ” หายเลย สติก็ดีขึ้น เท่าที่ใช้ได้ผล สวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว (อิติปิโส ภะคะวา จนถึง พุทโธ ภะคะวาติ) ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล”<br /><br />ตั้งนะโม ๓ จบ <br />สวดพุทธัง ธัมมัง สังฆัง <br />สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ <br />สวดพุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) <br />สวดมหาการุณิโก <br />สวดพุทธคุณ อย่างเดียวเท่ากับอายุ บวก ๑ <br />เช่น อายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ อายุ ๕๔ ปี ให้สวด ๕๕ จบ เป็นต้น <br />แผ่เมตตา <br />อุทิศส่วนกุศ <br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule03r0801.html<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />เหตุใดต้องสวดพุทธคุณเท่าอายุเกิน ๑ (อิติปิโสเท่าอายุ+๑)<br /><br />"อาตมาเคยพบคนแก่อายุ ๑๐๐ กว่าปี มีคนเอากับข้าวมาให้ ก็สวด อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ๑ จบ ให้ตัวเองก่อน สวนอีกจบหนึ่งให้คนที่นำมาให้ เสร็จแล้วให้ถ้วยคืนไป อาตมาจับเคล็ดลับได้ จะให้ใครต้องเอาทุนไว้ก่อน ถึงได้เรียกว่า สวดพุทธคุณเท่าอายุเกินหนึ่งไงเล่า"<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง ทำความดีนี้แสนยาก โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule03r0801.html<br /><br /> <br /><br />"ที่ว่าให้ว่าสวดเท่าอายุนี่ หมายความว่าอายุเท่าไหร่ ๒๐ ถ้าเราสวดแค่ ๑๐ เดียว มันก็ไม่เท่าอายุสวดไปเนี่ยเท่าอายุก่อนนะมันคุมให้มีสติ แล้วก็เกินหนึ่งเพราะอะไร ที่พูดเกินหนึ่งเนี่ยหมายความ คนมักง่ายมักได้ คือมันมีเวลาน้อย ถ้าสวดแค่เกินหนึ่งทำอะไรให้มันเกินไว้ เหมือนคุณโยมเนี่ยไปค้าขาย ยังไม่ได้ขายได้สักกะตังค์เลย จะเอาอะไรไปให้ทาน ยังไม่ได้กำไรเลยต้องให้ตัวเองก่อนนะ นี่ต้องค้าขายต้องลงทุนนี่ ต้องลงทุนก็สวดไป แต่สวดมากเท่าไรยิ่งดีมาก ได้มีสมาธิมาก แต่อาตมาที่พูดไว้คือคนมันไม่มีเวลา ก็เอาเกินหนึ่งได้ไหม เกินหนึ่งได้ก็ใช้ได้นะ แต่ถ้าเกินถึง ๑๐๘ ได้ไหม ยิ่งดีใหญ่ ทำให้เกิดสมาธิสูงขึ้น"<br /><br />จากบทสัมภาษณ์ในรายการ “ชีวิตไม่สิ้นหวัง” ทางช่อง ๓<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />การเปลี่ยนจาก “เต” เป็น “เม” ในบทสวดมนต์<br /><br />“เม” คือ ข้า หมายถึง ผู้สวดนั่นแหละ ส่วน “เต” คือท่าน<br /><br />พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เทศน์ตอบผู้ให้สัมภาษณ์จากเทปธรรมบรรยาย “สวดมนต์จนหายป่วย” และ “มารไม่มี บารมีไม่เกิด”<br /><br />เราสามารถเลือกสวดได้ทั้ง “เม” และ “เต” แต่ขอฝากย้ำคำสอน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเรื่องการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล มาให้พิจารณาดังนี้<br /><br />“ท่านไปขุดน้ำกินเสียบ้านเดียว ท่านจะได้อะไรหรือ ขุดบ่อน้ำสาธารณะกินได้ทุกบ้าน ใครมาก็กิน ใครมาก็ใช้ ท่านได้บุญมาก มีถนนส่วนบุคคล ท่านเดินได้เฉพาะบ้านเดียว ไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป ท่านจะได้บุญน้อยมาก มีอานิสงส์น้อยมาก นี่เปรียบเทียบถวาย เรื่องจริงเป็นอย่างนั้น”<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule09p0301.html<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />วิธีการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล<br /><br />วันนี้จะขอฝากญาติโยมไว้ การอุทิศส่วนกุศล และการแผ่ส่วนกุศลไม่เหมือนกัน การแผ่คือการแพร่ขยาย เป็นการเคลียร์พื้นที่ แผ่ส่วนบุญออกไป เรียกว่า สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เรียกว่าการแผ่แพร่ขยาย แต่การอุทิศให้ เป็นการให้โดยเจาะจง ถ้าเราจะให้ตัวเองไม่ต้องบอก ไม่ต้องบอกว่าขอให้ข้าพเจ้ารวย ขอให้ข้าพเจ้าดี ขอให้ข้าพเจ้าหมดหนี้ ทำบุญก็รวยเอง เราเป็นคนทำ เราก็เป็นคนได้ และการให้บิดามารดานั้นก็ไม่ต้องออกชื่อแต่ประการใด ลูกทำดีมีปัญญา ได้ถึงพ่อแม่ เพราะใกล้ตัวเรา พ่อแม่อยู่ในตัวเรา เราสร้างความดีมากเท่าไรจะถึงพ่อแม่ มากเท่านั้น เรามีลูก ลูกเราดี ลูกมีปัญญา พ่อแม่ก็ชื่นใจโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปบอก<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๖ เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule06p0101.html<br /><br /> <br /><br />ผู้ปรารถนาจะปลูกเมตตาให้งอกงามอยู่ในจิต พึงปลูกด้วยการคิดแผ่ ในเบื้องต้นแผ่ไปโดยเจาะจงก่อน ในบุคคลที่ชอบพอ มีมารดา บิดา ญาติมิตร เป็นต้น โดยนัยว่าผู้นั้น ๆ จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีสุขสวัสดี รักษาตนเถิด เมื่อจิตได้รับการฝึกหัดคุ้นเคยกับเมตตาเข้าแล้ว ก็แผ่ขยายให้กว้างออกไปโดย<br />ลำดับดังนี้ ในคนที่เฉย ๆ ไม่ชอบไม่ชัง ในคนไม่ชอบน้อย ในคนที่ไม่ชอบมาก ในมนุษย์และดิรัจฉานไม่มีประมาณ เมตตาจิต เมื่อคิดแผ่กว้างออกไปเพียงใด มิตรและไมตรีก็มีความกว้างออกไปเพียงนั้น เมตตา ไมตรีจิตมิใช่อำนวยความสุขให้เฉพาะบุคคล ย่อมให้ความสุขแก่ชนส่วนรวมตั้งแต่สองคนขึ้นไป คือ หมู่ชนที่มีไมตรีจิตต่อกัน ย่อมหมดความระแวง ไม่ต้องจ่ายทรัพย์ จ่ายสุข ในการระวังหรือเตรียมรุกรับ มีโอกาสประกอบการงาน อันเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และหมู่เต็มที่ มีความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขโดยส่วนเดียว<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๑๓ เรื่อง สุจริตธรรมเหตุแห่งความสุขที่แท้จริง โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule13p0303.html<br /><br /> <br /><br />สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เราไปสร้างกรรมมาครั้งอดีต รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง รู้เท่าทันหรือไม่เท่าทันก็ตาม ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้แล้ว ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า มันก็จะน้อยลงไป<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ เรื่อง กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule03p0201.html<br /><br /> <br /><br />“ตั้งสติหายใจยาว ๆ ตอนที่กรวดน้ำเสร็จแล้วอธิษฐานจิตไว้ก่อน อธิษฐานจิตหมายความว่า ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิต ได้ตั้งมั่นแล้ว จึงขอแผ่เมตตาไว้ในใจสักครู่หนึ่ง แล้วก็ขอ อุทิศให้บิดามารดาของเราว่า เราได้บำเพ็ญกุศล ท่านจะได้บุญได้ผลแน่ ๆ เดี๋ยวนี้ด้วย...”<br /><br />“หายใจยาว ๆ ตั้งสติก่อน หายใจลึก ๆ ยาว ๆ แล้วก็แผ่เมตตาก่อน มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้ว เราก็อุทิศเลย อโหสิกรรม ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่พยาบาทใครอีกต่อไป และเราจะขออุทิศให้ใคร ญาติบุพเพสันนิวาสจะได้ก่อน ญาติเมื่อชาติก่อนจะได้มารับ เราก็มิทราบว่าใครเป็นพ่อแม่ในชาติอดีตใครเป็นพี่น้องของเราเราก็ไม่ทราบ แต่ แล้วเราจะได้ทราบตอนอุทิศส่วนกุศลนี้ไปให้ เหมือนโทรศัพท์ไป เขาจะได้รับหรือไม่ เราจะรู้ได้ทันที”<br /><br />“นี่ก็เช่นเดียวกัน เราจะปลื้มปีติทันทีนะ เราจะตื้นตันขึ้นมาเลย ถ้าท่านมีสมาธิ น้ำตาท่านจะร่วงนะ ขนพองสยองเกล้าเป็นปีติเบื้องต้น ถ้าท่านมาสวดมนต์กันส่งเดช ไม่เอาเหนือเอาใต้ ท่านไม่อุทิศ ท่านจะไม่รู้เลยนะ... ”<br /><br />“วันนี้ท่านทำบุญอะไร สร้างความดีอะไรบ้าง ดูหนังสือท่องจำบทอะไรได้บ้าง ก็อุทิศได้ เมืองฝรั่งเขาไม่มีการทำบุญ เราไปทอดกฐิน ผ้าป่า ถวายสังฆทาน เขาทำไม่เป็น แต่ทำไมเขาเป็นเศรษฐี ทำไมเขามีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ทำไมถึงเจริญด้วยอารยธรรมของเขา เพราะเขามีบุญวาสนา เขาตั้งใจทำ มีกิจกรรมในชีวิตของเขา จะยกตัวอย่าง วันนี้เขาค้าขายได้เป็นพันเป็นหมื่นด้วยสุจริตธรรม เขาก็เอาอันนั้นแหละอุทิศไป วันนี้เขาปลูกต้นไม้ได้มากมาย เขาก็เอาสิ่งนี้อุทิศไป ว่าได้สร้างความดีในวันนี้ ไม่ได้อยู่ว่างแต่ประการใดเขาก็ได้บุญ ไม่จำเป็นต้องเอาสตางค์มาถวายพระเหมือนเมืองไทย ถวายสังฆทานกันไม่พัก ถวายโน่นถวายนี่แต่ใจเป็นบาป อุทิศไม่ออก บอกไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น จะไม่ได้อะไรเลยนะ ... ”<br /><br />“...ที่ผมแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล ไปเข้าบ้านลูกสาวญวนที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ทำอย่างนี้นะ เวลาสวดมนต์ อิติปิโส... ยาเทวตา... ตั้งใจสวดด้วยภาษาบาลีเช่นนี้ ที่หยุดเงียบไปน่ะ ผมสำรวมจิตตั้งสติ แผ่เมตตา จิตสงบดีแล้วจึงอุทิศไป”<br /><br />“… ที่ท่องจำโคลงให้ได้น่ะเพื่อให้คล่องปาก ว่าให้คล่องปาก แล้วก็จะคล่องใจ คล่องใจแล้วถึงจะเป็นสมาธิ เป็นสมาธิแล้วถึง จะอุทิศได้ ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะ”<br /><br />“เอาตำรามาดูกันก็ไม่ได้ผล แต่ดูตำราเพื่อให้ถูกวรรคตอน และให้คล่องปาก แล้วจะได้คล่องใจ เป็นสมาธิ ถึงจะมีกำลังส่งอุทิศ ไม่อย่างนั้นไม่มีกำลังส่งเลยนะ”<br /><br />“การอุทิศส่วนกุศล นี่สำคัญนะ แต่ต้องแผ่เมตตาก่อน แผ่เมตตา ให้มีสติก่อน แผ่เมตตาให้มีความรู้ว่าเราบริสุทธิ์ ใจมีเมตตาไหม และอุทิศเลย มันคนละขั้นตอนกันนะ แผ่เมตตากับอุทิศมันต่างกัน ทำใจให้เป็นเมตตาบริสุทธิ์ก่อน ไม่อิจฉา ไม่ริษยา ไม่ผูกพยาบาทใครไว้ในใจ ทำให้แจ่มใส ทำใจให้สบาย คือเมตตา แล้วเราจะอุทิศให้ใครก็บอกกันไป มันจะมีพลังสูง สามารถจะอุทิศให้คุณพ่อคุณแม่ของเรากำลังป่วยไข้ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น วีโก้ บรูน ชาวนอรเวย์ ที่เคยมาบวชที่วัดนี้ เป็นต้น”<br /><br />“เรามาสวดมนต์ไหว้พระกันว่า โยโสภะคะวา.... ใจเป็นบุญไหม สวากขาโต... สุปฏิปันโน... ใจเป็นบุญไหม ท่านจะฟุ้งซ่านไปทางไหน สำรวมอินทรีย์ หน้าที่คอยระวัง เอาของจริงไปใช้ อย่าเอาของปลอมมาใช้เลย ...<br /><br />ท่านทำประโยชน์อะไรในวันนี้ เอามาตีความ สำรวมตั้งสติไว้ก่อน ว่าขาดทุนหรือได้กำไรชีวิต และจะไปเรียงสถิติในจิตใจเรียกว่า เมตตา แปลว่าระลึกก่อน เมตตาแปลว่าปรารถนาดีกับตนเอง สงสาร ตัวเองที่ได้สร้างความดีหรือความชั่วเช่นนี้”<br /><br />“หายใจยาว ๆ ตั้งกัลยาณจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ไม่ใช่พูดส่งเดช จำนะ ที่ลิ้นปี่เป็นการแผ่เมตตา จะอุทิศก็ยกจากลิ้นปี่สู่หน้าผาก เรียกว่า อุณา โลมา ปจชายเต<br /><br />นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหน ตามเอามา แล้วก็อุทิศทันที จึงถึงตามที่ปรารถนา ไม่ว่าเป็นโยมพ่อ โยมแม่ จะให้น้องเรียนหนังสือ จะให้พี่เรียนหนังสือ หรือจะให้บุตรธิดาของตน จะได้ผลขึ้นมาทันที”<br /><br />“ลูกว่านอนสอนยาก ลูกติดยาเสพติด ถ้าทำถูกวิธีแล้ว มันจะหันเหเร่มาทางดีได้ พ่อแม่กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน ลูกจะไปสอนพ่อแม่ไม่ได้ มีทางเดียวคือ เจริญพระกรรมฐาน สำรวมจิตแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล<br /><br />นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ นะอยู่ที่ไหนตามเอามาให้ได้ หมายความว่ากระไร ถ้าท่านทำกรรมฐาน ท่านจะทายออก นะตัวนี้สำคัญ<br />นะ มีทั้งเมตตามหานิยม<br />นะ แปลว่า การกระทำอกุศลให้เป็นกุศล<br />นะ แปลว่า ทำศัตรูให้เป็นมิตร สร้างชีวิตในธรรม<br />แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไป”<br /><br />“… อย่าทำด้วยอารมณ์ อย่าทำด้วยความผูกพยาบาท อาฆาตต่อกัน ละเวรละกรรมเสียบ้าง แล้วจิตจะโปร่งใส ใจก็จะสะอาด แล้วก็อุทิศไป<br /><br />จิตมันไม่ติดไฟแดง จิตไม่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา จิตมันทะลุฝาผนังได้ ท่านเข้าใจคำนี้หรือยัง จิตมันตรงที่หมาย จิตไม่มีตัวตน จิตคิดอ่านอารมณ์ มีจิตโปร่ง ท่านจะทำอะไรก็โล่งใจ สบายอกสบายใจ นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ เอานะไปอุทิศให้ได้ ถ้าท่านมีครอบครัวแล้วโปรดตั้งปฏิญาณในใจว่า ให้บุตรธิดาของเรารวยสวยเก่ง เร่งเป็นดอกเตอร์ อย่างนี้ซิถึงจะถูกวิธีของผม”<br /><br />“ท่านไปขุดน้ำกินเสียบ้านเดียว ท่านจะได้อะไรหรือ ขุดบ่อน้ำสาธารณะกินได้ทุกบ้าน ใครมาก็กิน ใครมาก็ใช้ ท่านได้บุญมาก มีถนนส่วนบุคคล ท่านเดินได้เฉพาะบ้านเดียว ไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป ท่านจะได้บุญน้อยมาก มีอานิสงส์น้อยมาก นี่เปรียบเทียบถวาย เรื่องจริงเป็นอย่างนั้น”<br /><br />“…อย่าลืมนะ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ สำรวมเวลาสวดมนต์นั้นน่ะ ได้บุญแล้ว … แล้วสำรวมจิตส่งกระแสจิตที่หน้าผาก อุทิศส่วนกุศล เวลาแผ่เมตตาเอาไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมอินทรีย์ หน้าที่คอยระวัง นะอุ อุอะมะ อุอะมะ อะอะอุ นะอยู่ตรงไหน เอามาไว้ตรงไหน จับให้ ได้แล้วอุทิศไป”<br /><br />“ผมทำมา ๔๐ กว่าปีแล้ว ทำได้ผล ขอถวายความรู้เป็นบุญเป็นกุศล ให้ท่านได้บุญอย่างประเสริฐไป จะได้อุทิศให้โยมเขา เขาเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่เหลือวิสัยมันก็หายได้”<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule09p0301.htmlUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-53967057960309348752009-06-05T11:18:00.002+07:002009-06-05T11:19:29.424+07:00สวดให้คล่องปากสวดให้คล่องปาก<br /><br />วิธีในการสวดมนต์พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สอนไว้ว่า<br /><br />"เอาตำรามาดูกันก็ไม่ได้ผล แต่ดูตำราเพื่อให้ถูกวรรคตอน และให้คล่องปาก แล้วจะได้คล่องใจ เป็นสมาธิ"<br /><br />ท่านสามารถฟังเสียงสวดมนต์ บทพาหุง มหากาฯ ได้ที่นี่<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule09p0301.html<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />การวางจิต<br /><br />เมื่อสวดมนต์ได้ถูกวรรคตอน เป็นสมาธิดีแล้ว ก็วางจิตให้ถูกต้อง<br /><br />สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ (ลิ้นปี่)<br />อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตา... (ลิ้นปี่)<br />มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้วเราก็อุทิศเลย (อุณาโลม)<br /><br />“แผ่ส่วนกุศลทำอย่างไร อุทิศตรงไหน ทำตรงไหน และวาง จิตไว้ตรงไหน ถึงจะได้ อย่าลืมนะ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ สำรวม เวลาสวดมนต์นั้นน่ะ ได้บุญแล้ว ไม่ต้องเอาสตางค์ไปถวายองค์โน้น องค์นี้หรอก แล้วสำรวมจิต ส่งกระแสจิตที่หน้าผาก อุทิศส่วนกุศล..”<br />สวดมนต์เป็นนิจ (ลิ้นปี่)<br /><br />"ลิ้นปี่ จะอยู่ครึ่งทางระหว่างจมูกถึงสะดือ"<br /><br />“........อธิษฐานจิต หมายความว่า ตั้งสติสัมปชัญญะ ไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิตให้ตั้งมั่นแล้ว จึงขอแผ่เมตตาไว้ในใจ สักครู่หนึ่ง แล้วก็อุทิศให้มารดา บิดาของเรา ว่าเราได้บำเพ็ญกุศล ท่านจะได้บุญ ได้กุศลแน่ ๆ เดี๋ยวนี้ด้วย ผมเรียนถวายนะ มิฉะนั้นผมจะอุทิศไปยุโรปได้อย่างไร..........”<br />อธิษฐานจิตเป็นประจำ (ลิ้นปี่)<br /><br />แผ่เมตตากับอุทิศ มันต่างกัน ทำใจให้เป็นเมตตาบริสุทธิ์ก่อน ไม่อิจฉา ริษยา ไม่ผูกพยาบาทใครไว้ในใจ ทำใจให้แจ่มใส ทำให้ใจสบาย คือ เมตตาแล้วเราจะอุทิศให้ใครก็บอกกันไป มันจะมีพลังสูง สามารถจะอุทิศให้ คุณพ่อคุณแม่ ของเรากำลังป่วยไข้ให้หายจาก โรคภัยไข้เจ็บได้ เช่น วีโก้ บรูน ชาวนอรเวย์ที่เคยมาบวชที่วัดนี้ เป็นต้น...<br />อโหสิกรรมก่อนแล้วค่อยแผ่เมตตา<br /><br />“หายใจยาว ๆ ตั้งกัลยาณจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ไม่ใช่พูดส่งเดช จำนะ ที่ลิ้นปี่ เป็นการแผ่เมตตาจะอุทิศก็ยกจากลิ้นปี่ สู่หน้าผาก เรียกว่า อุณาโลมา ปจชายเต....”<br />แผ่เมตตา (ลิ้นปี่) อุทิศส่วนกุศล (อุณาโลม)<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๖ เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule06p0101.html<br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule09p0301.htmlUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-81092705006678885182009-06-05T11:18:00.001+07:002009-06-05T11:18:49.855+07:00วิธีการสวดมนต์สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมก่อนค่อยแผ่เมตตา<br /><br />การสวดมนต์เป็นนิจนี้ มุ่งให้จิตแนบสนิท ติดในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ จิตใจจะสงบเยือกเย็นเป็นบัณฑิต มีความคิดสูง ทิฏฐิมานะทั้งหลาย ก็จะคลายหายไปได้ เราจะได้รับอานิสงส์ เป็นผลของตนเองอย่างนี้ จากสวดมนต์เป็นนิจ<br /><br />การอธิษฐานจิตเป็นประจำนั้น มุ่งหมายเพื่อแก้กรรมของผู้มีกรรม จากการกระทำครั้งอดีต ที่เรารำลึกได้ และจะแก้กรรมในปัจจุบัน เพื่อสู่อนาคต ก่อนที่จะมีเวรมีกรรม ก่อนอื่นใด เราทราบเราเข้าใจแล้ว โปรดอโหสิกรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย เราจะไม่ก่อเวรก่อกรรมก่อภัยพิบัติ ไม่มีเสนียดจัญไรติดตัวไปเรียกว่า เปล่า ปราศจากทุกข์ ถึงบรมสุข คือนิพพานได้ เราจะรู้ได้ว่ากรรมติดตามมา และเราจะแก้กรรมอย่างไร ในเมื่อกรรม ตามมาทันถึงตัวเรา เราจะรู้ตัวได้อย่างไร เราจะแก้อย่างไร เพราะมันเป็นเรื่องที่แล้ว ๆ มา<br /><br />การอโหสิกรรม หมายความว่า เราไม่โกรธ ไม่เกลียด เรามีเวรกรรมต่อกันก็ให้อภัยกัน อโหสิกันเสีย อย่างที่ท่านมาอโหสิกรรม ณ บัดนี้ ให้อภัยซึ่งกันและกัน พอให้อภัยได้ ท่านก็แผ่เมตตาได้ ถ้าท่านมี อารมณ์ค้างอยู่ในใจ เสียสัจจะ ผูกใจโกรธ อิจฉาริษยา อาสวะไม่สิ้น ไหนเลยล่ะท่านจะแผ่เมตตาออกได้ เราจึงไม่พ้นเวรพ้นกรรมในข้อนี้ การอโหสิกรรมไม่ใช่ทำง่าย<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๔ เรื่อง แก้กรรมด้วยการกำหนด โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule04p0301.html<br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๙ เรื่อง ทำความดีนี้แสนยาก โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule03r0801.htmlUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-30515993276374159982009-06-05T11:10:00.000+07:002009-06-05T11:11:07.792+07:00สติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้ญาติโยมเอ๋ยโปรดได้ทราบไว้เถอะ บุญกรรมมีจริง บาปกรรมมีจริง ยมบาลจดไม่มี จิตนี้เป็นผู้จด จดทุกวัน คืออารมณ์ เรื่องจริงแน่ จดทุกกระเบียดนิ้ว บาปบุญคุณโทษบันทึกเข้าไว้ พอวิญญาณออกจากร่างไป มันก็ขยายออกมาใช้กรรมไป ถ้าเราทำดี ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรกไปแบบนี้<br /><br />อาตมามาคิดดูนะว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดินก็คงไม่ใช่ ดูตัวอย่างที่เคยเล่าให้ญาติโยมฟัง<br /><br />ตาเล่งฮ่วย ผูกคอตาย วิญญาณไปเข้ายายเภา ยายเภาเป็นคนไทยแท้ ๆ เกิดพูดภาษาจีนได้ ตอนนั้นอาตมาอยู่วัดพรหมบุรี<br /><br />มีคนมาตามอาตมาไป พอไปถึง ยายเภาพูดภาษาจีน เลยต้องให้เรือไปตามตาแป๊ะเลี่ยงเกี๊ยกไว้ผมเปีย เป็นลุงเขยอาตมาให้มาเป็นล่าม เขาบอกไม่ต้องไล่เขา เขาอยู่กับฮ่วยเซียเถ้า อยู่ตรงใกล้วัดพรหมบุรีนี่เอง<br /><br />“ชื่อ หลวงตามด เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางพรหมนคร อยู่เหนือตลาดปากบางนี่เอง อยู่ด้วยกัน ๒ คน ขุดดินถมถนนทุกวัน ถ้าไม่ขุดดินเขาเฆี่ยนตี และฮ่วยเซียเถ้าก็ขุดดินด้วย”<br /><br />อาตมาได้ถามคนเฒ่าคนแก่ชื่อ บัวเฮง อยู่ตลาดปากบาง บอกว่า ฮ่วยเซียเถ้ามีจริง ชื่อสมภารมด อยู่วัดกลางเป็นสมภารวัด จะสร้างถาวรวัตถุของวัด แต่เงินทองถูกมัคทายกโกงไปหมดไม่รู้จะทำอย่างไร เสียใจเลยผูกคอตาย<br /><br />“อั๊วมาบอกให้ลื้อไปบอกหลานสาวอั๊วนะ ว่าทำบุญไปให้อั๊วไม่ได้นะ อย่าทำเลย”<br /><br />“แล้วกินที่ไหนล่ะ”<br /><br />“อั๊วกับฮ่วยเซียเถ้าไปกินตามกองขยะที่เขาเอาเศษอาหารมาทิ้ง กินกับหนอน”<br /><br />“เอ้า! ที่ดี ๆ ทำไมไม่กินล่ะ”<br /><br />“ไม่มีใครให้กิน มีอีกพวกหนึ่งขุดถนนเหมือนกัน แต่เขามีข้าวกิน พวกอั๊วไม่มีข้าวกิน ต้องไปกินที่มันเหลือๆ จึงจะกินได้ ไปบอกหลานสาวอั๊วชื่อ “เจีย” นะ บอกว่าไม่ต้องทำบุญไปอั๊วไม่ได้ ถ้าลื้ออยากทำบุญให้อั๊วนะ ฮ่วยเซียเถ้ามดบอกกับอั๊ว บอกให้ลูกหลานเจริญวิปัสสนานะ และอั๊วจะได้”<br /><br />อาตมาถามว่า “ลื้ออยู่วัดไหนล่ะ”<br /><br />“อั๊วอยู่ตรงนี้เอง อั๊วเห็นลื้อทุกวัน ลื้อเดินไปอั๊วก็ทักลื้อ ว่าอีไปไหนนะแต่ลื้อไม่พูดกับอั๊ว”<br /><br />อาตมาถามว่า “ขุดถนนไปไหน” ก็ชี้ที่ตรงนั้น แต่ไม่เห็นมีถนน ก็ได้ความว่าเราเดินไปตลาดบ้านเหนือบ้านใต้ เขาเห็นเราหมด เขาทักแต่เราไม่รู้เรื่อง อาตมาถามต่อไปว่า<br /><br />“ลื้อมีความเป็นอยู่อย่างไร”<br /><br />เขาบอกว่า “ถ้าถึงวันโกนวันพระเขาให้หยุดงาน ที่มานี่เป็นวันโกนหยุดงานแล้ว เดี๋ยวอั๊วต้องรีบกลับ เดี๋ยวเขาจับได้เขาตี อั๊วหนีมาบอกหน่อยเท่านั้นเอง”<br /><br />สรุปได้ความว่า การที่ฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย ญาติพี่น้องทำบุญ ให้ไม่ได้ผลแน่ ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานแผ่ส่วนกุศล จึงจะได้รับผล เพราะผีมาบอกอย่างนี้ โยมจะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไรนะ ก็นึกว่าโยมทำวิปัสสนากรรมฐานไปก็จะได้รับผล ว่าบุญบาปมีจริง นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ประการใด<br /><br />วันนี้อาตมาก็ขออนุโมทนาสาธุการ ส่วนกุศล ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญกุศล เจริญวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี่ เจริญกาย เวทนา จิต ธรรม ตั้งพิจารณา โดยปัญญา ตลอดกระทั่ง ยืน เดิน นั่ง นอน จะคู้เขียดเหยียดขา ทุกประการ ก็มีสติครบ<br /><br />รับรองได้เลยว่า ถ้าโยมทำถึงขั้น ปิดประตูอบายได้เลย นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน โยมจะไม่ไปภูมินั้นอย่างแน่นอน<br /><br />เพราะเหตุใด เพราะอำนาจกิเลสทั้งหลาย โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นโยมก็กำหนดได้ไม่มีโลภะ ขณะมีโลภะก็กำหนดโลภะ ก็หายไป<br /><br />จิตวิญญาณตายขณะมีโลภะตายไปเป็นเปรต กำลังมีโทสะ ตายไปขณะนั้นลงนรก มีโมหะรวบรวมอยู่ในจิตใจไว้มากต้องไป เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน<br /><br />ถ้ามีสติปัฏฐานสี่ มีสติสัมปชัญญะดี อบายภูมิก็ไม่ต้องไป ปิดนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานทางอายตนะ ธาตุอินทรีย์ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ทุกประการ<br /><br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่มที่ ๓ ภาคกฎแห่งกรรม เรื่อง สัญญาณมรณะ<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule03r0301.htmlUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-58880845625306148852009-06-05T11:09:00.000+07:002009-06-05T11:10:28.387+07:00ประโยชน์ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีประโยชน์มากมาย เหลือที่จะนับประมาณได้ จะยกมาแสดง ตามที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก สักเล็กน้อยดังนี้ คือ<br /><br />สัตตานัง วิสุทธิยา ทำกายวาจาใจ ของสรรพสัตว์ให้บริสุทธิ์ หมดจด<br />โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ ดับความเศร้าโศก ปริเทวนาการต่าง ๆ<br />ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ ดับความทุกข์กาย ดับความทุกข์ใจ<br />ญาณัสสะ อะธิคะมายะ เพื่อบรรลุมรรคผล<br />นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง<br /><br />และยังมีอยู่อีกมาก เช่น<br /><br />๑. ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท <br />๒. ชื่อว่าเป็นผู้ได้ป้องกันภัยในอบายภูมิทั้งสี่ <br />๓. ชื่อว่าได้บำเพ็ญไตรสิกขา <br />๔. ชื่อว่าได้เดินทางสายกลาง คือ มรรค ๘ <br />๕. ชื่อว่าได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยการบูชาอย่างสูงสุด <br />๖. ชื่อว่าได้บำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นอุปนิสัยปัจจัย ไปในภายหน้า <br />๗. ชื่อว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามพระไตรปิฎกโดยแท้จริง <br />๘. ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิต ไม่เปล่าประโยชน์ทั้งสาม <br />๙. ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัย อย่างถูกต้อง <br />๑๐. ชื่อว่าได้ปฏิบัติเพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ ๑๖ <br />๑๑. ชื่อว่าได้สั่งสมอริยทรัพย์ไว้ในภายใน <br />๑๒. ชื่อว่าเป็นผู้มาดีไปดีอยู่ดีกินดีไม่เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา <br />๑๓. ชื่อว่าได้รักษาอมตมรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นอย่างดี <br />๑๔. ชื่อว่าได้ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก <br />๑๕. ชื่อว่าได้เป็นตัวอย่างอันดีงามแก่อนุชนรุ่นหลัง <br />๑๖. ชื่อว่าตนเองได้มีธนาคารบุญติดตัวไปทุกฝีก้าว <br />จากหนังสือคู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี<br />โดย พ.ท.วิง รอดเฉย ปี ๒๕๒๙Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5210155164496378930.post-1493659121705346612009-06-05T11:08:00.000+07:002009-06-05T11:09:54.628+07:00กรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) โดยพระธรรมสิงหบุราจารย์เราเจริญกรรมฐานมา ๓๕ ปี เจริญ “อานาปา” มา ๒๐ ปี เศษ มโนมยิทธิมา ๑๐ ปีเศษ เพ่งกสิณได้ธรรมกายได้ ทำนองนี้ เป็นต้น มันต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้สอนเขาอย่างไร อย่างนี้นักปฏิบัติธรรมโปรดทราบ ต้องสอนตัวเองก่อนอื่นใด<br /><br /><br />ถ้าเจริญสมถภาวนา ก็พิจารณาตั้งมั่นในบัญญัติ เพื่อให้จิต สงบ มีอานิสงส์ให้บรรลุ ฌานสมาบัติ<br /><br /><br />ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนา สติพิจารณาตั้งมั่นอยู่ในรูปนาม เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีอานิสงส์ให้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน<br /><br /><br />กรรมฐาน ใช้หนี้ข้าวและน้ำนมแม่ ดีที่สุด และ กรรมฐาน เป็นบุญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับ ผู้ที่ฆ่าตัวตายจะได้รับบุญอื่นส่งไม่ถึง<br /><br /><br />การเจริญพระกรรมฐาน จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง วัฒนาสถาพร และจะรุ่งเรืองต่อไปถึงลูกหลาน โยมลองดูได้เลย<br /><br /><br />การบำเพ็ญจิตภาวนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของพระ พุทธเจ้าของเรานี้ วิธี ปฏิบัติ เบื้องต้น ต้องยึดแนวหลัก สติ เป็นตัวสำคัญ<br /><br /><br />สติ เป็นตัวกำหนด เป็นตัวหาเหตุเป็นตัวแจงเบี้ย บอกให้รู้ถึงเหตุผล สัมปชัญญะ รู้ ทั่ว รู้นอก รู้ใจ นั่นแหละคือตัวปัญญา ความรู้มันเกิดขึ้น สมาธิ หมายความว่า จับจุดนั้นให้ได้<br /><br /><br />เวทนาปวดเมื่อย เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติมาก จึงต้องให้กำหนด ไม่ใช่ว่ากำหนดแล้วมันจะหายปวดก็หามิได้ ต้องการจะใช้สติไปควบคุมดูจิตที่มันปวดว่ามันปวดมากน้อยแค่ไหน<br /><br /><br />อุเบกขาเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์ ใจลอยหาที่เกาะไม่ได้ ส่วนใหญ่ จะประมาทพลาดพลั้งในข้อนี้ จึงต้องกำหนด รู้หนอ รู้หนอ รู้หนอ ที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ ลึก ๆ สบาย ๆ<br /><br /><br />ถ้า ทบทวนอารมณ์ ก็ต้องไปกำหนดอย่างนี้ หายใจยาว ๆ นั่งท่าสบายอยู่ตรงไหนก็ตาม อยู่บนรถก็ได้ ทบทวนชีวิต ทบทวนอารมณ์ว่า อารมณ์ลืมอะไรไปบ้าง เลยก็หายใจยาว ๆ มีประโยชน์มาก ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ ดวงหทัยเรียกว่า เจตสิก อาศัยหทัยวัตถุอยู่ที่ลิ้นปี่ วิธีปฏิบัติอยู่ตรงนี้นะ หายใจลึก ๆ ยาว ๆ เข้าไว้ คิดหนอ คิดหนอ คิดหนอ เพราะทางปัญญาอยู่ตรงจมูกถึงสะดือของเรานะ สั้นยาวไม่เท่ากันอย่างนี้<br /><br /><br />การเจริญ สติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอกของพระพุทธเจ้านี้ ถ้าทำได้<br /><br />๑. ระลึกชาติได้จริง ระลึกได้ว่า เคยทำอะไรดีอะไรชั่วมาก่อน ไม่ใช่ระลึกว่าเคยเป็นผัวใครเมียใคร <br />๒. รู้กฎแห่งกรรม จะได้ใช้หนี้เขาไปโดยไม่ปฏิเสธทุกข้อหา <br />๓. มีปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิต ไม่ใช่ไปหาพระรดน้ำมนต์ ไปหาหมอดู <br /> <br /><br />จากหนังสืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ รวบรวมโดย คุณชินวัฒก์ รัตนเสถียร<br /><br />กลับสู่ด้านบน<br /><br /> <br /><br />อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม<br /><br />๑. มีวินัยในตัวเอง 3 ประการคือ<br /><br />๑ รู้จักระวังตัว <br />๒ รู้จักควบคุมตัวได้ <br />๓ รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ ถ้าเป็นเด็กจะไม่เถียงผู้ใหญ่ <br />๒. มีกิจนิสัย ๔ ประการ<br /><br />๑ ขยันไม่จับจด รักงาน สู้งาน <br />๒ ประหยัด รู้จักใช้ชีวิตและทรัพย์สินอย่างถูกต้องและคุ้มค่า <br />๓ พัฒนา รู้จักพัฒนาตัวเอง และอาชีพให้ดีขึ้น <br />๔ สามัคคี รักครอบครัว รักหมู่คณะ และรักประเทศชาติ <br />๓. มีลักษณะนิสัย ๔ ประการ<br /><br />๑ มีสัมมาคารวะ <br />๒ อุตสาหะพยายาม <br />๓ ปฏิบัติตามระเบียบวินัย <br />๔ รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ วางตัวได้เหมาะสม <br />๔. มีความรู้คู่กับคุณธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ๔ ประการได้<br /><br />๑ รู้จักคิด <br />๒ รู้จักปรับตัว <br />๓ รู้จักแก้ปัญหา <br />๔ มีทักษะในการทำงานและค่านิยมที่ดีงามในอนาคต เจ้านายทิ้งลูกน้องไม่ได้ ลูกน้องทิ้งเจ้านายไม่ได้ เข้าหลักที่ว่า ผู้ใหญ่ดึง ผู้น้อยดัน คนเสมอกันจะได้อุปถัมภ์ค้ำจุนต่อไป <br />๕. อานิสงส์ในการเดินจงกรม<br /><br />๑. อดทนต่อการเดินทางไกล <br />๒. อดทนต่อความเพียร <br />๓. มีอาพาธน้อย <br />๔. ย่อยอาหารได้ดี <br />๕. สมาธิที่ได้ขณะเดินตั้งอยู่ได้นาน (ในปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย เล่ม ๓๒) <br />จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่มที่ ๗ ภาคธรรมบรรยาย-ธรรมปฏิบัติ เรื่อง คติกรรมฐาน โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์<br />http://www.jarun.org/v6/th/lrule07p0601.htmlUnknownnoreply@blogger.com0