วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

อัสสาสะ - ปัสสาสะ


(การหายใจเข้า - การหายใจออก)

พระเทพสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม)

เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีและเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน

อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

พสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 17603 โดย: หนุ่มน้อย 24 พ.ย. 48

การเดินจงกรมนี้ ขอให้ญาติโยมเดินให้ช้าที่สุด ก้าวขวาย่างหนอ ย่างไปแล้วหยุดหายใจ แล้วก็จะยกเท้าซ้าย มันจะมีน้ำหนักยกขึ้น ซ้ายมันจะกดทางขวา "ซ้ายย่าง" ขณะนั้นมันจะกดข้างขวาเข้าไว้ "หนอ" ลงซ้าย กระเบนเหน็บถึงปลายเท้ามันจะตึง จิตจะเป็นกุศล แล้วเดินจงกรมให้ช้า ถ้าเพ่งภาวนาอยู่ จิตจะไม่ฟุ้งซ่านเลย จิตมันจะไปถ่วงอยู่ที่ปลายเท้า ก็ทำให้อวัยวะปกติ

การเดินจงกรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ ในหลักสูตรของสติปัฏฐาน ๔ ถ้าเราเดินมีสติดี รู้ตัวขณะเดิน อวัยวะจะเข้าไปสู่สภาวะแห่งความเป็นปกติ ท้องจะเคลื่อนย้าย ท้องคือศูนย์สะดือที่ระหว่างท้องจะทำงาน การเดินจงกรมทำให้ช้า มันจะถ่วงอวัยวะไว้ดีมาก ท้องจะทำงาน ธาตุทั้งสี่ ที่เรียกว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็จะปกติ พยายามเดินให้ช้าที่สุด ทำให้จิตนี้ไม่ออกไปข้างนอก มันอยู่ที่ปลายเท้า แล้วก็ "ยืนหนอ" ๕ ครั้ง

วิธีปฏิบัตินั้นพูดกันมานานแล้วก็จริง เวลาจิตที่เรียกว่า คาบลม อัสสาสะ ปัสสาสะ อยู่ตรงนี้เองนะ อัสสาสะ-ปัสสาสะ หมายความว่ากระไร เคยถามผู้รู้เชี่ยวชาญวิชาการ ตอบไม่ได้เลย คำว่ายืนหนอ ยืนอย่างไร สำรวมปักจิตไว้ที่ปลายผมลงไปนั้น ก็มีการหายใจเข้าออกให้ได้จังหวะ เช่นสำรวมเท้าขึ้นมา หายใจอย่างไร "ยืนหนอ" หายใจขึ้น ยืนลงไปหายใจอย่างไร หายใจเข้า ยืนหนอขอให้ทำให้ได้ ยืนอีกหายใจออกให้ยาว เรียกว่าอัสสาสะ-ปัสสาสะให้ยาย หายใจยาว แล้วจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน

นี้พูดกันมานาน เท่าที่ถามโยม โยมตอบไม่ได้ แสดงว่าทำไม่ได้ตามจุดที่สอน ตรงนี้สำคัญมาก "ยืนหนอ" หายใจเข้าไว้ ยืนนี่ตั้งแต่ศีรษะให้หายใจเข้า หายใจเข้าไปเลย ให้ยาวไปถึงเท้า ยืนหายใจเข้ายาว ๆ สูดยาว ๆ อย่างที่ไสยศาสตร์เขาใช้กัน เรียกว่า คาบลม

คาบลมสำคัญมาก คาบลมนี่อยู่ในจุดสมาธิ เรียกว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำมา แต่ทุกคนหรือพระอาจารย์ที่ทำไม่เป็น ก็สอนกันอย่างนั้น หายใจเข้ายาว ๆ ไปถึงปลายเท้า แล้วก็ยืนสูดหายใจเข้ามาให้ยาวไปถึงกระหม่อม อัสสาสะ-ปัสสาสะ แล้วจิตจะเป็นกุศล ทำให้ยาวรับรองอารมณ์ของโยมที่เคยฉุนเฉียว จะลดลงไปเลย แล้วก็จิตจะไม่ฟุ้งซ่านด้าย โรคภัยไข้เจ็บมันจะค่อยเบา อวัยวะเลือดลมจะเดินได้อย่างปกติถึงศีรษะลงไปสู่ปลายเท้า ตจปัญจกกรรมฐานข้อนี้เอง พระพุทธเจ้าทรงสอนนักสอนหนา มูลกรรมฐานอยู่ตรงนี้ มูลฐานของชีวิตอยู่ตรงนี้ หายใจยาว ๆ ยืนหนอลงไป หายใจออก ยืนหนออย่างนี้เป็นต้น

อาตมาไปฝึกหัดสมาธิ หุงน้ำมันมนต์ กับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุธยา ไปทำมาเดือนแล้วไม่ได้ ไม่มีอภินิหารของน้ำมัน เลยวันสุดท้ายจะขอลาท่านมาบอก "หลวงพ่อ ผมไม่ได้ผลเลย" คาถาเสกน้ำมันพุทธมนต์ก็ไม่มีอะไร คาถาพุทธคุณ ๑๐๘ พาหุงมหากานี่ แล้ว อะสังวิสุโล ปุตสะพุทภะ มะอะอุ อุอะมะ อะมะอุ อะไรทำนองนี้ ทำไม่ได้ น้ำมันเดือด แล้วจุ่มก็ไม่ได้ ใช้น้ำมันเปล่า ๆ ก่อน ใช้น้ำร้อนเดือด ๆ จุ่มก็พองหมด ลิ้นพองหมด ทำอย่างไร อ๋อ! ตรงนี้เอง อัสสาสะ-ปัสสาสะ ถึงจะเกิดสมาธิ ถึงจะเกิดจิตเป็นกุศล นี่หลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านก็สิ้นชีวิตไปนานแล้ว หลวงพ่อจาด จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่ออินทร์ หลวงพ่อเรือง หลวงพ่อเดิม อ๋อ! ใช้อย่างนี้เอง แล้วอาตมาก็ได้จุด

พอได้จุด ลองทำคืนนั้น หนึ่งเดือนที่ไปอยู่กับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง ก็ลงมือทำตอนตีหนึ่ง หายใจเข้า อ๋อ! ได้เลย หายใจออก ก็คาบลมมันก็เพ่งไปตามสมาธิถึงจุดนั้นเลย มันมีพลังสูงมาก มีพลังสูง อ๋อ! ได้ตรงนี้เอง เราว่าคาถาให้มันจบ มันก็ไม่ได้ผล เช่นยกตัวอย่าง หลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า เสกใบมะขามเป็นตัวต่อ เสกเข้าไปเถอะ ว่าคาถาถูกมันก็ไม่ได้ ไม่เท่ากัน เพราะอัสสาสะ-ปัสสาสะ ลมหายใจเข้าออกไม่เป็นคาบ ที่โบราณบอกคาบลม เช่น นะโมพุทธายะ หายใจออกไปให้จบนะโมพุทธายะ พอยะธาพุทธโมนะ หายใจเข้าให้ได้จบ อ๋อ! นี่อัสสาสะ-ปัสสาสะ มันจึงจะมีอภินิหารของอารมณ์ จิตถึงจะเป็นกุศล เท่าที่ได้ฟังพระอาจารย์สอนมาหลายองค์ท่านทำไม่ได้ ท่านก็ทำ บางทีเราทำขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ปากมันว่า จิตมันไม่ว่าอย่างนี้เอง จิตมันไม่ไป จิตไม่เป็นกุศล จึงไม่ได้ผลโดยวิธีนี้ประการหนึ่ง จึงไม่สามารถจะอดทนได้ มีหลายนัยมีความหมายอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปนะ ก็ขอให้ตั้งใจจริง ๆ มันจะได้ผล โรคภัยไข้เจ็บที่ว่าแบ่งโรคได้ ฝากโรคเก็บไว้ก่อน แล้วตัวเราก็ไปโดยไม่ต้องเก็บ นี่ใครเป็นคนทำได้ นี่ เจ้าคุณอุบาลีสิริจันโท วัดบรมนิวาส ที่ท่านสิ้นชีวิตไปนานแล้ว เป็นคนทำได้ อันนี้ก็ได้ผลอย่างนี้ อันนี้ขอให้ญาติโยมตั้งใจจริง ๆ ต่อไป เช่นโยมร้องไห้เก่ง ๆ ใจน้อยเศร้าใจ น้อยใจ มันจะไม่มีเพราะหายใจยาว ๆ ที่อาตมาบอกโยมให้หายใจยาว ๆ โยมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนี้จะเน้นหลักหนักไปทางนี้ให้มาก จะไม่พูดกันลามปาม ต้องทำแล้วให้ได้ด้วยโดยวิธีนี้

ดังนั้น "ยืนหนอ" กว่าอาตมาจะทำได้ ๑๐ ปี ที่ว่ากว่าจะรู้จากพระอุปัชฌาย์ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา ก็คือ "ยืนหนอ" ๕ ครั้ง นี่เอง กว่าจะรู้เรื่องใช้เวลานานเหลือเกิน "ยืน" หายใจยาว ๆ ฝึกตรงนี้หายใจลงไป สูดหายใจยืนหนอหายใจลงไปถึงเท้า หยุดลมหายใจ สูดลมหายใจสูดเข้ายาว ๆ

"ยืน" แล้ว ก็ "หนอ" ว่าในใจนะ ไอ้ปากว่านั่นมันฝึก ที่ครูเขาบอกว่า "ยืน...หนอ..." นี่ฝึกให้เราทำตามหลักวิชานี้ แล้วคนฝึกไม่เป็น ก็ว่าปากเอาเอาเลย ให้ว่าในใจว่า ยืน...หนอ... อย่างนั้นเอง ถ้าจิตไปได้สักครั้งหนึ่งนะ รู้ภาวะของเราเลย ยืนหายใจยาว ๆ ยืนอย่าให้ขาดลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ

ถ้าดูในประวัติพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาเคยไปถามพระอาจารย์กรรมฐานหลายองค์ว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะ ทำอย่างไรครับ ก็ได้รับคำตอบว่า ก็อัดลม อั้นลม อั้นที่ไหนเล่า ไม่ใช่อั้น อัสสาสะ-ปัสสาสะ คือคาบลม พระอาจารย์ไสยศาสตร์ท่านว่าอย่างนี้ บางทีคาถายาวตั้งวา ก็เรากว่าจะว่าจบนี่ก็หายใจตั้งหลายครั้ง แต่ข้อเท็จจริงหายใจครั้งเดียวจบแล้ว คือมันแม่น มันจำแม่น พรวดเดียวจบแล้ว หายใจออกไปหนึ่งจบ หายใจเข้ามาพรวดออกไปหนึ่งจบ มันจะมีพลังจิต อัสสาสะ-ปัสสาสะ ไม่ใช่ไปอั้นลมหายใจ บางคนตอบไม่ได้เลย เพราะทำไม่ได้ อันนี้สำคัญมาก ไม่ใช่ไปนั่งกรรมฐานเสร็จแล้วเราก็ไปสอนกัน อันนี้เราก็เน้นหลักหนักไปทางนี้ให้มาก

ยกตัวอย่าง อาตมาไปเรียนมากับ หลวงพ่อลี เคยตามท่านไปธุดงค์ กว่าจะรู้เรื่องนานเหมือนกัน ท่านบอกว่าอยากจะสะเดาะลูกกุญแจไหมเล่า เป่าลูกกุญแจให้หลุด ก็บอกท่านว่า "อยากครับ ทำอย่างไรครับ" ต้องใช้จิต เอาจิตไปไข เหมือนเอาลูกกุญแจไปไข โยมมีปัญหาในใจ เอาลูกกุญแจไขจิต ให้มันหลุด จิตนี่เป็นลูกดอกกุญแจไขปัญหา ลูกกุญแจ คือ อะไร คือ สติ ไขออกทุกราย คือแก้ปัญหา ไขปัญหา ไขความแก้ปัญหาชีวิตได้ ไม่ต้องไปถามหมอดูแล้ว อยู่ตรงนี้ คนที่ไปหาหมอดูคือคนโง่ โง่ที่สุด แก้ไขปัญหาไม่ได้ ไปหาหมอดูมากเท่าไร หาเจ้าเข้าทรงมากเท่าไร มีปัญหามากเท่านั้น มีปัญหาจริง ๆ

มาพูดให้เข้าใจ เดินจงกรมให้ช้าที่สุด เหมือนคนตาย เวลาจะ "ขวา...ย่าง" ไปกว่าจะลง "หนอ" มันจะถ่วงซ้าย นี่เห็นไหม เคยสังเกตไหม นี่ถ่วงไว้มันจะตึงเป๋งเลย ให้ช้า ขวาย่างไป ขาจะสั่นปั๊บ ๆๆ สติดีมันจะไม่สั่น มันจะตึงเปรี๊ยะ มันจะโน้มลงไป เวลาซ้ายจะย่าง ซ้ายมันจะยก มันจะหนักเข้าไปทางขวา แล้วเวลาย่างไปนี่ อวัยวะมันจะตั้งอย่างปกติไม่ได้ก้าวไป สติดี มันจะตั้งอยู่อย่างปกติ โรคจะลดน้อยลงไป โรคภัยไข้เจ็บในตัว มันจะค่อย ๆ หาย เส้นมันจะยึด แล้วก็หย่อนด้วยสภาวธรรม จากสติสัมปชัญญะนั่นเอง มันจะบอกชัดเลยนะ ขอให้เดินช้า ๆ อย่าเดินไวมันจะถ่วงซ้ายถ่วงขวาอย่างไร เดี๋ยวจะเห็นชัดในสภาวธรรม มันจะตึงไปหมด ปวดรวดร้าวสกลกาย มันสามารถจะมีอานิสงส์ยืดยาว เดินทางไกลได้โดยไม่เหนื่อย โรคภัยไข้เจ็บ อาพาธน้อยจริง ๆ เลือดลมจะเดินสะดวก คนที่เลือดลมไม่ดี ยกตัวอย่างพวกสาว ๆ ขอประทานโทษ ขออนุญาตกล่าว ประจำเดือนไม่ดี ปวดท้องเก่งนัก ปวดหัว เดินจงกรมช้า ๆ เดินให้มาก ๆ รับรองปวดท่อง ปวดประจำเดือน จะไม่เป็นต่อไป บางคนก็ไม่เอา เดินกันจ้ำ ๆ อย่างนั้นจะไปหายอะไร เพราะสติไม่ดี จิตมันไม่ไข ความมันจะไม่แจ้ง แสดงออกไม่ได้ ธรรมะมันจะไม่แดงแจ๋ อะไรทำนองนี้ ที่ฝากความเจ็บไว้ก่อนเอาตัวไปนะ แน่นอนนี่เรื่องจริง แยกเวทนาออกเป็นสัดส่วนได้เมื่อไรรับรองได้เลย อาตมาเคยถามมาหลายพระอาจารย์

ทำอัสสาสะ-ปัสสาสะให้ได้ ใครทำได้ โทรจิตได้ มันอยู่ตรงนี้ มันมีเทคนิคอยู่ตรงนี้ พระอาจารย์กรรมทฐานยังทำไม่ได้กันเยอะ เอาวิชาการมาสอนกันเยอะ การอยู่ปริวาสกรรม วัดโน้นวัดนี้ทำกันใหญ่โต น่าสงสารและเสียดายมาก มีจุดมุ่งหมายอยู่ตรงนี้เอง อันนี้อย่าลืมนะโยมนะ หายใจเข้ายาว ๆ จากกระหม่อมนี่เอง กระหม่อมนี่เป็นเซลล์ บางคนกระหม่อมบาง บางคนก็เซลล์บาง จะกระหม่อมอ่อน รับรองไหวติงง่ายจังเลย อยู่ตรงนี้มูลกรรมฐาน พระพุทธเจ้าละเอียดมาก แต่เราทำกันไม่ได้ พระอาจารย์กรรมฐานไม่รู้ กดตรงนี้ให้แรง ยืนกดอัสสาสะ-ปัสสาสะ "ยืน" หายใจเข้าไว้ "ยืนหนอ" พอสำรวมปลายเท้า หายใจออก" "ยืน" หายใจออกไป"หนอ" พอดีเลย ถ้าทำได้คล่องแคล่วว่องไวดี รับรอง อัสสาสะ-ปัสสาสะได้ สามารถจะส่งกระแสจิตได้ ตรงนี้นะอาตมาไม่ค่อยจะพูดให้ฟัง เพราะพูดแล้วไม่เข้าใจ ต้องทำให้ช่ำชองก่อนแล้วค่อยมาหัดเทคนิคตรงนี้ ได้ตรงนี้ที รับรองแยกเวทนาได้ ส่งแระแสจิตได้โดยวิธีนี้นะ หัดไว้เสียให้ได้ เรื่องไสยศาสตร์ก็เป็นเรื่องเล็กไป อาตมาไปฝึกกับหลวงพ่อลี ท่านบอกว่าอย่างเป่าลูกกุญแจ ที่คู่กับอาตมาก็คือพ.อ.ชม สุคันธรัตน์ แต่อาตมาเลิกแล้ว พ.อ.ชมท่านรู้ว่าอาตมาทำอะไรได้บ้าง ไปฝึกกันมาแล้ว ก็อัสสาสะ-ปัสสาสะนี่เอง มีอภินิหารทางโทรจิต

ยกตัวอย่างให้มัดตัว เวลาจะฝึกเป่าลูกกุญแจให้มัดตัวก่อน เอาเชือกมันขามันแขนก่อน แล้วเอาไปทิ้งไว้ในป่าช้า ให้ความกลัวหายก่อน ถ้าคนไหนยังกลัวโน่นกลัวนี่ไม่ขลังนะ ไม่ขลัง แล้วทำอย่างไร คาถาไม่มีอะไร นวรหคุณ ๙ ว่าถอยหลังกลับ ว่าคาบลมอย่างนี้เอง หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ พอหายใจเข้าแล้วอย่างมัดตัวนี่ มัดหลายเงื่อนกันจังเลย จะแก้อย่างไรได้ นี่ยกตัวอย่างให้โยมฟัง หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ พอพลังจิตมันสูง อัสสาสะ-ปัสสาสะมันสูง ความดันเพดาน เพดานนี้ตัน กระหม่อมจะแข็ง มาจากไหน มาจาก"ยืนหนอ" นี่เอง ยืนหนอพอหายใจเข้าเป็นคาบลม หายใจออกเป็นคาบลม สมาธิมันจะไปกับลมหายใจ มันจะพุ่งไปที่มือนี่แล้วมันจะหลุดไปเองเลย เชือกที่ผูกนี่หลุดเลย อย่างนี้เองแต่ทุกคนไม่รู้ ไปเรียนคาถาให้ว่าอีกกี่หมื่นปีก็ไม่สำเร็จ มันอยู่ที่คาบลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ อานาปานสติ ที่พระพุทธเจ้าสอนก็ได้จากสติปัฏฐาน ๔ ที่เราต้องทำกัน ถ้าหากนอกประเด็นที่ทำกัน ไม่ใช่ "พองหนอ-ยุบหนอ"

ถ้า "ยืนหนอ" ได้แล้วได้หมด ได้อย่างไร ขณะนั้นโยมกำลังคิดอะไรไม่ออก เสียใจ มันเกิดมีฟุ้งซ่านเข้ามาในใจ นั่งตรงไหนก็ได้ หายใจยาว ๆ จากจมูกถึงสะดือเท่านั้น และง่ายกว่ายืนหนอ ยืนหนอนี่ยาก ทำยืนหนอได้แล้ว ที่สั้น ๆ แค่จมูกถึงสะดือทำไมจะทำไม่ได้ หายใจยาว ๆ ไปถึงสะดือ หายใจออกไปถึงจมูก แล้วเอาจิตปักไว้ที่ลิ้นปี่ ตั้งสติให้มั่น คิดหนอ เสียใจหนอ จะถูกไขออกมาด้วยลูกกุญแจ เสียใจเรื่องนี้แก้อย่างนั้น นี่แก้ได้ผลอย่างนี้ ได้มาจากยืนหนอนะ

คาบลม มันมีพลังจิตสูง ผลพลอยได้เยอะหลายอย่าง ยกตัวอย่าง เราหลับตานึกถึงนาย ก. นาง ข. อยู่ตรงไหนนึกไว้ อัสสาสะ-ปัสสาสะมันมาแล้ว มันจะพุ่งไปตามลมหายใจ ถึงนาย ก. นาง ข. พอดี ให้เขาอยู่เป็นเป็นสุข ได้ผลเลยใจ จิตจะไม่เป็นอกุศลกรรม นี่วิธีนี้ ดังนั้นยืนหนอ ขอให้ทำช้า ๆ ไว้ หายใจยาว ๆ ไว

บางทีที่อาตมากล่าวไว้ ถีบจักรยานช้า ๆ ถีบยาก มันคอยจะล้มลงไป แต่ถ้าถีบยาก ๆ ได้แล้ว ไม่ล้มแล้ว เรื่องเร็วเรื่องเล็ก อายุมากแล้วเดินอย่างไรก็ไม่ล้ม ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์

พองหนอ-ยุบหนอ" ได้จังหวะ ลมหายใจอัสสาสะ-ปัสสาสะ จาก "ยืนหนอ" รับรองได้เลย โรคภัยไข้เจ็บไม่มี อย่าลืมนะคนที่มีโรคนั้นมาจากท้องนะ อวัยวะไม่ได้ตั้งอยู่ในความปกติ นี่อาตมาไม่ได้อธิบายลึกซึ้ง เราจะเห็นได้ว่า พวกฝรั่งเขาจะเอาศพไปไหน เขาจะผ่าท้องทิ้งเลยนะ จะล้างท้องให้หมดไปเลย แล้วเขาเอาพวกยาฉุน ๆ ยัดในท้องแล้วเย็บ รับรองศพไม่เน่าเลย คนเราจะเน่า เน่าที่ท้องนะ คนที่ธาตุไม่ปกติมักมีโรคแสดงออกทางกายชัด ถ้าท้องปกติจะไม่มีโรคนะ คือพองหนอยุบหนอ นี่สำคัญมากนะ ท้องนี่มีประโยชน์เหลือเกินนะ

เพราะฉะนั้น จะเสกอะไรต้องคาบลมอัสสาสะ-ปัสสาสะนี่ มีความหมายมาก บางทีน้ำกร่อย ๆ นี่ หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ โดยไม่ต้องใช้คาถาเลย อัสสาสะ-ปัสสาสะ เพ่งจิตออกไปตามลมหายใจ มันจะมีพลังที่น้ำ น้ำจะกลายรสทันที ใบพลูเอามา ๓ ใบ ใบพลูนี่มันเผ็ด ลองดูเลย หายใจเข้า ๑ จบ อัส-ปัส หายใจออก ถ้าเราจะใช้คาถาก็ได้ ใช้จิตเพ่งไปตามคาบลมให้ได้ระยะยาวไปที่ใบพลู ใบพลูจะเปรี้ยวทันที สูงกว่านั้นใบพลูจะหวาน นี่มาจากกรรมฐานทั้งหมด บางคนไม่รู้ รู้ไม่จริง คาถาโบราณเขาว่าอย่างนี้ ว่า คาถา อัส-ปัส อั้นลมแล้วเอาลิ้นกดเพดาน เขาว่าปืนยิงไม่ออก พลุยิงไม่ได้ จริงเลยเห็นจริง ถ้าจิตสงบนะ เป็นได้เลยนะ ถ้าว่าแต่คาถาหมื่นจบก็ไม่มีอะไร พลุมันก็ดัง ตะเกียงมันก็ไม่ดับ มันมีความหมายมาก ท่านครูบาศรีวิชัย ทำได้เก่งมาก ."ทีนี้เราทิ้งแล้ว เอาเรื่องจริงที่ทำให้พ้นทุกข์ดีกว่า "ทำไมจะไปตักจุดน้ำอยู่ต่อไปเล่า มีความหมายมาก ไม่ต้องไปเป่ายันต์ เป่าอะไรหรอก ใช้จิตเป็นกุศล แผ่เมตตาไปก็ใช้ได้

ดูอย่าง หลวงพ่อมี ท่านจะตายแล้ว เอ้า! ช่วยท่านหน่อย ถ้าจำเป็นจะตายก็ให้มีสติหน่อย รับสังฆทานก่อน แผ่เมตตาก่อน แล้วขอไปเยี่ยมท่าน แล้วแผ่เมตตา"อัส-ปัส" ลงไป ท่านลืมตาเลย พอตกกลางคืน พระอุปัฏฐากที่อยู่ที่วัดไม่ได้เจอกัน ท่านฝันว่า อาตมาไปบีบให้ ค่อยยังชั่วเลย ออกจากห้องไอ.ซี.ยู. เลยไปไว้ในห้องพักฟื้น นี่อายุ ๘๔ แล้ว นี่ทำให้ได้อย่างนี้ บางทีจะโทรจิตให้ลูกให้หลานอยู่ไกลแสนไกล ให้ทำอย่างนี้แผ่เมตตาออกไป มันมีความหมายมาก ขอให้ทำให้ได้นะ

โดย: หนุ่มน้อย 24 พ.ย. 48

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น